Thai_Hindi 11 March 2023
Thai-Hindi 11 March 2023
- (เรื่องปฏิสนธิเป็นผลของกรรม จะเกิดที่ภูมิไหนก็มีกรรมเป็นปัจจัยทำให้เกิดผลนั้น ถ้าจะสนทนาเรื่องนี้ต่อก็ดีแต่ก็แล้วแต่ท่านอาจารย์จะเห็นสมควร)
- เพราะฉะนั้นเขาเห็นการเกิดต่างๆ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นต้องรู้เหตุที่ทำให้เกิดการปฏิสนธิต่างๆ ใช่ไหม
- อกุศลกรรมทำให้เกิดเป็นมนุษย์ได้ไหม อกุศลกรรมทำให้เกิดในสวรรค์ได้ไหม และในโลกนี้มีกรรมที่ทำให้เกิดเป็นผลของอกุศลกรรมไหม (มีเยอะ) อะไรบ้าง (สัตว์ต่างๆ แมลง) ที่บ้านคุณอาช่ามีสิ่งที่เกิดเป็นผลของอกุศลกรรมไหม (มี เช่น สุนัข) แม้สุนัขก็ต่างกันใช่ไหม ทำไมสุนัขที่บ้านคุณอาช่าต่างกับสุนัขที่อยู่ตามถนน (สุนัขที่บ้านได้รับผลของกุศลกรรมมากกว่าสุนัขข้างถนน)
- เพราะฉะนั้นเขาเข้าใจความหมายของคำว่า “ปฏิสนธิจิต” ประมวลมาซึ่งกรรมที่สามารถจะให้ผลในชาตินั้นๆ ต่างๆ กันใช่ไหม คนก็หน้าตาต่างกัน ผิวพรรณต่างกัน สมบัติต่างกัน เพื่อนฝูงต่างกัน ญาติพี่น้องต่างกันใช่ไหม
- ชาติก่อนคุณอาช่าเกิดเป็นใครทำอะไรกี่ชาติๆ ไม่รู้เลยใช่ไหม แต่ชาตินี้เห็นผลของกรรมต่างกันแล้วใช่ไหม
- กรรมดีก็ให้ผลต่างกันตามลำดับ เพราะฉะนั้นเกิดเป็นคนเป็นผลของกรรมอะไร (กุศลกรรม) เพราะฉะนั้นมั่นคงว่า เกิดเป็นคนต้องเป็นผลของกุศลใช่ไหม แต่ทำไมบางคนเกิดมาตาบอดบางคนพิการ บางคนเป็นใบ้ (มีอกุศลกรรมมาให้ผลแทรก) เพราะฉะนั้นกุศลที่ทำให้กรรมอื่นมาแทรกให้ผลได้ต้องเป็นกุศลกรรมที่อ่อนมากใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นกุศลจิตเกิดตอนไหนตามที่เขาได้เคยเรียนมาแล้ว มีกี่ประเภทประกอบด้วยเวทนาเฉยๆ เวทนาที่โสมนัส ประกอบด้วยไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยกับมีปัญญาเกิดร่วมด้วย และเป็นการที่เป็นประเภทอ่อนกับเป็นประเภทกำลังกล้า หลากหลายมากเราไม่จำเป็นต้องไปคิดเลยเพราะเราไม่สามารถจะรู้ได้ แต่จะรู้ได้ว่า กุศลกรรมมีประเภทต่างๆ มีทั้งประเภทที่อ่อน มีทั้งประเภทที่เฉยๆ และมีทั้งประเภทที่เกิดกับปัญญาและไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย
- เพราะฉะนั้นเวลาที่กรรมที่ทำไปแล้วเป็นอกุศลกรรมให้ผลทำให้อะไรเกิดขึ้น (ตามที่เคยฟังมานอกจากปฏิสนธิ…)
- ขอโทษนะคะ ไม่ได้ฟังคำถาม คิดเอง เพราะฉะนั้นฟังคำถาม อกุศลกรรมทำให้จิตทำให้อะไรเกิดขึ้น อะไรเป็นผลของกรรม (เป็นอกุศลวิบาก) เป็นจิตหรือเป็นเจตสิกหรือเป็นรูป (จิตกับเจตสิก) เพราะฉะนั้นอกุศลกรรมที่ทำแล้วเป็นปัจจัยให้อะไรเกิด (อกุศลวิบาก) เท่านั้นหรือ? อะไรคืออกุศลวิบาก
- ขอโทษนะคะ ค่อยๆ คิด กรรมทำให้อกุศลวิบากอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้บอกให้ยกตัวอย่าง ถามว่าอะไร อกุศลกรรมที่ทำแล้วเป็นปัจจัยให้อะไรเกิดขึ้น (วิบากจิต) เท่านั้นหรือ? อกุศลกรรมทำให้อะไรเกิด (อกุศลวิบาก) ถามว่าอะไรเป็นอกุศลวิบาก (ยกตัวอย่างเวลาโดนตบ….)
- ขอโทษนะคะ ทำไมไม่ศึกษาทีละคำ ไปคิดถึงอะไรอีก ฟังคำถามและตอบให้ตรง อะไรเป็นอกุศลวิบาก (ไม่สามารถให้คำตอบได้ ได้แต่ยกตัวอย่าง)
- เขาคิดอะไร เขาฟังออกไหมว่าถามว่า อะไรเป็นอกุศลวิบาก? ไม่ได้ให้เล่าเรื่องอะไรเลย มิฉะนั้นจะรู้จักหรือว่าอะไรเป็นอกุศลวิบาก (เป็นจิตและเจตสิก) นั่นคือคำตอบ ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น
- เพราะฉะนั้นกรรมที่ได้ทำแล้วเป็นปัจจัยให้จิตและเจตสิกทั้ง ๒ อย่างเป็นผลของกรรมซึ่งทำให้เกิดขึ้นร่วมกัน
- นอกจากจิตและเจตสิกอะไรเป็นผลของกรรมอีก (เป็นทวาร ๕ ทวาร) เพราะฉะนั้นเราจะไม่พูดอะไรยาวเพราะเขาจะคิดเรื่องยาวไป ถ้าเขาคิดไม่ออกเราก็ถามว่า สิ่งที่มีจริงมีอะไรบ้าง ค่อยๆ แนะนำให้เขาคิดไตร่ตรองว่ามีอะไร ถ้ายังหาคำตอบไม่ได้ก็ทบทวนถึงว่า สิ่งที่มีจริงมีอะไรบ้าง (จิต เจตสิก รูป) นิพพานยังไม่พูดถึงเพราะฉะนั้นอะไรเป็นผลของกรรม? (อาคิ่ลก็ไม่ทราบ)
- คุณสุคินเห็นไหม เราจะต้องอดทนให้เขารู้ให้เขาเข้าใจไม่ใช่เพียงจำแล้วเราก็บอกไปเลยนอกจากให้เขาค่อยๆ คิด ตอนนี้ให้เขารู้ว่า ธรรมที่มีจริงมีจิต มีเจตสิก มีรูป มีนิพพาน ก็ถามเขาว่าอะไรเป็นผลของกรรมเขาตอบว่า จิต เจตสิก ใช่ไหม ถามเขาว่า รูปเป็นผลของกรรมหรือเปล่า จะได้ถามต่อไปให้ค่อยๆ คิด ค่อยๆ เขาใจขึ้น ไม่ใช่จำแล้วบอกไปมากๆ
- เพราะฉะนั้นจิต เจตสิกเป็นผลของกรรม “รูป” ไม่ใช่จิตไม่ใช่เจตสิกแต่รูปก็เป็นผลของกรรมที่ทำให้มีรูปร่างต่างๆ กัน นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องเข้าใจความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม กว่าจะละความเป็นเราเพราะไม่รู้มานานแสนนานเพราะว่าธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่งละเอียดกว่านี้มาก
- เพราะฉะนั้นเราเรียนให้เข้าใจธรรมคือ สิ่งที่มีจริงที่ไม่เคยรู้ว่าละเอียดลึกซึ้ง ไม่ใช่เรียนชื่อเรื่องราวแล้วก็จำแต่ไม่เข้าใจอะไรเลย
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เท่าที่เราสนทนากันมาแล้ว เราเข้าใจแล้วก็ยังต้องเข้าใจ แล้วก็ยังต้องเข้าใจอีกไม่ใช่หยุดเพียงแค่คิดว่า “เข้าใจแล้ว”
- เดี๋ยวนี้เองมีอะไรที่ทำให้เรารู้ว่า “เราได้เข้าใจบ้างแล้ว” (อาช่าตอบว่า รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร) มีสิคะ ต้องมีอะไรที่เขารู้ว่า “มีอะไร” แน่ๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ลึกซึ้งแต่ความเป็นจริงก็คือ เดี๋ยวนี้ต้องมีสิ่งที่มีจริงแน่นอน (เห็นและต่อมาก็มีเสียง) ทีละ ๑ ทำไมเราไม่พูดทีละ ๑ เพราะว่า ธรรมลึกซึ้งตอบมากๆ แล้วที่พูดมาเข้าใจมากน้อยแค่ไหนทีละ ๑
- เห็นมีจริงๆ เป็นผลของกรรมหรือเปล่า เห็นไม่ใช่คุณอาช่าแล้วเห็นเป็นอะไรที่เป็นผลของกรรม (เป็นจิต) ไม่มีเจตสิกหรือ? (มีเจตสิกแต่ถามถึงเห็น) ถูกต้องแต่ขณะนั้นเห็นมีอะไรบ้าง เป็นอะไรบ้างมีแต่จิตอย่างเดียวหรือ (มีเจตสิกด้วย) เจตสิกรู้สิ่งที่เห็นแต่ “ไม่เห็น” แต่รู้สิ่งที่เห็น เพราะฉะนั้นเจตสิกและจิตขณะนี้ใช่ไหมที่รู้สิ่งที่เห็น แต่จิตทำหน้าที่เห็นและเจตสิกที่เป็นผลของกรรมเท่านั้นหรือในขณะที่เห็น (มีสีที่ปรากฏ) สีเป็นผลของกรรมหรือ? (ไตร่ตรองว่าตอนที่เห็น จิตเจตสิกเป็นผลของกรรมแต่รูปที่เห็นก็น่าจะเป็นผลของกรรมเดียวกัน)
- ทำไม “น่าจะ” เอารูปที่เป็นผลกรรมจริงๆ ทำไม “น่าจะ” ผลของกรรมจริงๆ คืออะไร เห็นมั้ยว่าเราพูดยาวมากแล้วไปคิดยาว ทีละ ๑ สั้นๆ จะได้คิดละเอียด (ไม่แน่ใจ) เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่ไม่แน่ใจแต่อะไรอีกที่เป็นผลของกรรมขณะนั้น (คิดได้แล้วว่า ตา)
- เห็นไหม กว่าจะสั้นๆ ให้เขามาถึงที่เขาจะคิดเองได้ ไม่ต้องไปยาวเลย เพราะฉะนั้นขณะนี้ที่กำลังเห็น อะไรเป็นผลของกรรมบ้าง (ตา เห็นและเจตสิกที่เกิดกับเห็น)
- ตารู้อะไรหรือเปล่า (ไม่รู้) เพราะฉะนั้นกรรมทำให้เกิด จิต เจตสิกและรูปใช่ไหม?
- กำลังได้ยิน อะไรเป็นผลของกรรมบ้าง (หู ได้ยินและเจตสิกที่เกิดกับได้ยิน) หูไม่ได้ยินเป็นรูป (เข้าใจ)
- เขาเรียนแล้วใช่ไหมว่า กรรมทำให้เกิดรูปอะไรบ้าง (ทำให้เกิดวัตถุต่างๆ ) คำถามถามว่าอย่างไร เราเรียนมาแล้วใช่ไหมว่า “กรรม” ทำให้เกิด “รูป” อะไรบ้าง (คำตอบคือ ๖ รูป) ๖ รูปหรือ? (ไม่เคยเรียน)
- คิดว่าเคยเรียนว่ามีรูปกี่รูปที่เกิดจากกรรมเป็นปัจจัย (ไม่เคยเรียน) เพราะฉะนั้นตอนนี้เขารู้รูปอะไรบ้างที่เกิดจากกรรมเป็นปัจจัย (ปสาทรูป ๕ + หทยรูปเป็น ๖)
- แล้วหญิงกับชายต่างกัน มีรูปที่ทำให้เป็นหญิงกับรูปที่ทำให้เป็นชายไหม (นั่นก็เป็นรูป) เพราะฉะนั้นหญิง ๑ รูป ชาย ๑ รูป ใช่ไหม (ใช่)
- ต้นไม้ก็แข็ง รูปที่ตัวก็แข็ง ต่างกันอย่างไร (มีความต่าง) ต่างตรงไหน (รู้ว่าต่างแต่ไม่รู้ว่าต่างเพราะอะไร)
- เพราะฉะนั้นมีรูปที่เกิดจากกรรมทำให้ต่างกันเป็นหญิง เป็นชาย เป็นตา เป็นหูแล้วก็รูปใดก็ตามที่เกิดจากกรรมจะต้องมีรูปอีก ๑ รูปคือ รูปที่ทำให้รูปนั้น “มีชีวิต” เป็น “ชีวิตินทริยรูป”
- นกมี “ชีวิตรูป” ไหม (มี) เพราะฉะนั้นรูปที่เกิดจากกรรมต้องมีชีวิตตินทริยรูปอีก ๑ รูปที่ทำให้รูปนั้นมีชีวิต
- ขณะสุดท้ายของชาตินี้คือ “ตาย” กรรมไม่ทำให้อะไรเกิดอีกเลย เพราะฉะนั้นจิต เจตสิกและรูปที่เกิดจากกรรมเกิดไม่ได้ ขณะตาย จิตเกิดจากกรรม เจตสิกเกิดจากกรรม รูปที่เกิดจากกรรมดับหมดไม่มีเกิดอีกเลย
- เพราะฉะนั้นเขารู้จัก “โลก” ทั้งหมดก่อนนี้และเดี๋ยวนี้ว่า ไม่มีอะไรนอกจาก “ธรรม” ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งหมดที่เขาคิดว่า เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุจนกระทั่งเป็นโลกนั้นเป็นธรรมทั้งหมด
- เพราะฉะนั้น “เสียง” เกิดจากกรรมหรือเปล่า หรือ กรรมทำให้เกิดเสียงหรือเปล่า (ไม่)
- เพราะฉะนั้น “ธรรม” เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง เบื้องต้นเรารู้นิดๆ หน่อยๆ ตามสมควร ต่อไปจะเข้าใจมากขึ้นและลึกซึ้งขึ้น
- เพราะฉะนั้นจิตขณะแรกคือ ปฏิสนธิจิต มีธรรมอะไรบ้างขณะนั้น (มีจิต เจตสิก รูป) เพราะฉะนั้นเข้าใจแล้ว พูดเมื่อไหร่ก็ไม่ลืมเพราะเปลี่ยนไม่ได้แต่เข้าใจละเอียดขึ้นได้
- จิตที่ไม่ใช่ผลของกรรมมีไหม (มี) และเขาบอกเรียบร้อยเลยใช่ไหมว่ามีอะไรบ้าง หมายความว่าเข้าใจดีเรื่องจิตว่า ต่างกันเป็น ๔ ชาติ กุศลและอกุศลเป็นเหตุ วิบากเป็นผล และกิริยาจิตไม่ใช่กุศลและอกุศลและวิบาก
- เขารู้ว่ามีจิตเมื่อไหร่ (ตอนที่ปรากฏตอนนี้) อะไร (ที่เห็น) อะไรอีก (ที่ได้ยิน) เพราะฉะนั้นตลอดชีวิตมีจิตมากแต่ที่สามารถจะปรากฏเพราะมีทางที่จะรู้ว่ามีอะไร ๖ ทางเท่านั้น มากกว่านี้ได้ไหม
- เบื่อธรรมไหม (อาช่า อาคิ่ลตอบว่าไม่เบื่อ มานิชตอบว่าบางครั้งเบื่อ) เบื่อเป็นอะไร (อาช่าตอบแทนมานิชว่าเป็นเจตสิก) ก็ต้องเป็นธรรมแต่ไม่รู้เลย เป็นธรรมที่ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)
- เพราะฉะนั้นถ้าพระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงจะรู้ไหมว่า ไม่ใช่เราแต่เป็นธรรมที่ไม่ดี (ถ้าไม่ได้ฟังไม่สามารถตอบได้) และถ้าไม่เบื่อเป็นธรรมหรือเปล่า (เป็นธรรมอย่าง ๑)
- “ไม่เบื่อ” เป็นธรรมอย่าง ๑ เป็นธรรมที่ดีหรือไม่ดี (ดี) ทำไมดี (เพราะว่าถ้ามีความเข้าใจน้อยแค่ไหนก็เป็นกุศล)
- เพราะฉะนั้นธรรมละเอียดมาก เกิดดับเร็วที่สุด บางคนไม่เบื่อเพราะ “อยาก” ที่จะเป็น “ตัวเรา” ที่จะรู้มากขึ้น แต่ไม่เบื่อเพราะว่าเป็น “ความจริง” ที่มีโอกาสจะได้รู้อย่างนี้แสนยาก ถ้าเห็นประโยชน์อย่างนี้จะเห็นคุณค่าของพระธรรมเพราะไม่รู้ว่า ก่อนจะจากโลกนี้ไปจะมีความเข้าใจธรรมมากน้อยเท่าไหร่
- ทุกคนจะจากโลกนี้ไปเดี๋ยวนี้ก็ได้แต่เห็นประโยชน์ว่าถ้าได้เข้าใจธรรม ทุกโอกาสเป็นประโยชน์ที่สุดที่จะทำให้เพิ่มความเข้าใจขึ้นสะสมไปเป็นบารมี
- เพราะฉะนั้นฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่งว่า ธรรมลึกซึ้ง มีอีกมาก นี่เป็นการเริ่มต้นเท่านั้นแต่ต้องตรง ฟังแล้วเข้าใจจริงๆ จึงจะเป็นประโยชน์
- (หลังจากที่ฟังธรรมแล้วรู้ว่าการเกิดของปัญญาน้อยมากเพราะฉะนั้นหลังจากสิ้นชีวิตโอกาสที่จะเกิดเป้นมนุษย์และได้ฟังธรรมไม่รู้เมื่อไหร่ โอกาสยากมากเพราะฉะนั้นทำให้เห็นค่าของการฟังธรรม) เพราะฉะนั้นถ้าเพียงแต่จำชื่อ ชื่อไม่มีประโยชน์เลย แต่ต้องรู้ว่า สิ่งที่ได้ยินเดี๋ยวนี้มีจริงๆ และเป็นธรรมทั้งหมด
- เดี๋ยวนี้เข้าใจมั่นคงขึ้นว่า ทั้งหมดไม่ว่าโลกไหนก็เป็นธรรม “ไม่มีเรา” มีแต่กุศลธรรม อกุศธรรมวิบาก กิริยา จิต เจตสิก รูป
- ธรรมมีมากแต่ที่ปรากฏต้องเป็นทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง ขณะเกิดโลกนี้ปรากฏไหม ขณะแรกปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นโลกนี้ปรากฏไหม (ไม่ปรากฏ) เพราะฉะนั้นโลกเริ่มปรากฏเมื่อไหร่ (จิตแรกจะเริ่มรู้อารมณ์ของชาตินี้คือจิตที่เกิดต่อจากภวังค์ไม่รู้กี่ขณะที่เกิดหลังจากปฏิสนธิ)
- เพราะฉะนั้นขณะเกิดโลกนี้ไม่ปรากฏเพราะภวังคจิตเหมือนปฏิสนธิจิตเพราะมีอารมณ์เดียวกันคืออารมณ์ก่อนจุติของชาติก่อน เพราะฉะนั้นเกิดแล้วเริ่มรู้เมื่อไหร่ที่ปรากฏว่า เป็นโลก เป็นเราคือ “เป็น” สิ่งที่มี (ไม่ทราบ)
- เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดสืบต่อจากปฏิสนธิจิตยังรู้อะไรไม่ได้ สืบต่อจนกว่าจะมีการ “คิดนึก” ทางใจทางมโนทวารเป็นวิถีแรกของทุกชาติทุกภพ
- เพราะฉะนั้นต้องเริ่มเข้าใจทุกคำ ขณะที่ “เกิด” ปฏิสนธิจิตดับไปภวังคจิตเกิดสืบต่อไม่รู้อารมณ์ของโลกนี้เลย ไม่ใช่ “วิถีจิต” เพราะโลกนี้ไม่ปรากฏ
- จิต ๑ ขณะ ทุกๆ ขณะรู้มั้ยว่า มีอะไรในจิตนั้นแต่ละ ๑ ขณะทุกขณะบ้าง (ถ้าไม่มีความเข้าใจไม่สามารถรู้ได้) มีสิ่งที่สะสมมาจากที่เคยเห็น เคยได้ยิน เคยคิดนึก เคยชอบไม่ชอบ ทุกชาติสะสมมา อย่าลืม “อายูหนา” อยู่ในจิตพร้อมที่จะเกิดเมื่อมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นซึ่งไม่ใช่อารมณ์ของปฏิสนธิและภวังค์
- เพราะฉะนั้นขณะ ๑ ก็ถึงเวลาที่สิ่งที่สะสมมามากมายในจิตจะเกิดขึ้นเปลี่ยนจากการเกิดแล้วไม่รู้อารมณ์ของโลกนี้ ไม่รู้สึกตัวเลยว่า เป็นใครอยู่ที่ไหน ก็มีการที่สิ่งที่สะสมมาแล้วทำให้เกิดวิถีจิต” หมายความว่า รู้อารมณ์อื่นที่ไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์เพราะสะสมมาที่จะคิดถึงสิ่งนั้น
- จิตเกิดดับอย่างรวดเร็วมากไม่มีใครรู้ว่า ขณะนั้นเป็นอะไรแต่เป็น “วิถีจิต” หมายความว่า เป็นจิตที่รู้สิ่งซึ่งไม่ใช่อารมณ์ของปฏิสนธิจิต เพราะฉะนั้น ๒ คำ “จิตที่พ้นวิถี” ไม่ใช่วิถีเพราะไม่ได้รู้อารมณ์ของโลกที่ปรากฏแต่มีอารมณ์ของปฏิสนธิจิต และมี “วิถีจิต” ขณะนั้นไม่มีอารมณ์เดียวกับขณะที่ปฏิสนธิและเป็นภวังค์ แต่เริ่มที่จะนึกถึงหรือรู้อารมณ์ใหม่
- จิตนี้ทุกคนเหมือนกันหมด เกิดมาแต่ยังไม่รู้อะไรแล้วก็มีการนึกถึงหรือรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดขึ้นก่อน แต่ว่าเต็มไปด้วยความไม่รู้ก็จำไม่ได้ ไม่รู้ว่าคิดถึงอะไร หลังจากนั้นก็แล้วแต่ว่าผลของกรรมใดจะให้ผลทำให้รู้อารมณ์ทางตา ทางหู หรือจมูก หรือลิ้น หรือกาย เป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้
- ต่อจากนั้นก็ให้ทราบว่า ชีวิตเริ่มเกิดตามเหตุตามปัจจัยที่จะให้เกิดผลของกรรม และกิเลสที่สะสมมาก็เริ่มปรุงแต่งให้เป็นกรรม มีอะไรสงสัยไหม ชีวิตก็คือ จิตเจตสิกทำกิจภวังค์และก็มีอารมณ์ทางตา หรือหู หรือจมูก หรือลิ้น หรือกาย พอรู้ทางหนึ่งทางใดก็เป็นภวังค์และก็รู้ทีละ ๑ทางและก็เป็นภวังค์ แต่ทุกครั้งที่ทางตาเกิดดับแล้วจะรู้อารมณ์นั้นต่อทางใจ ไม่ว่าจะเป็นทางตาทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายดับแล้วก็เป็นมโนทวารเกิดสืบต่อ
- เดี๋ยวนี้ก็กำลังเป็นอย่างนีั เป็นอย่างนี้ไปจะกว่าถึงขณะจิตสุดท้าย จุติเกิด ดับ ปฏิสนธิจิตเกิดต่อเหมือนชาตินี้ ทุกขณะเป็นอย่างนี้ไม่สิ้นสุดจนกว่าจะหมดเหตุที่จะเป็นอย่างนี้เกิดไม่ได้
- ทุกขณะเกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลยเป็นคนนี้ได้ชาตินี้ชาติเดียว เพราะฉะนั้นคนนี้เป็นอย่างไรกุศลอกุศลมากหรือน้อยเป็นปัจจัยที่จะให้เกิดต่อไปในชาติต่อๆ ไป
- ความจริงเป็นอย่างนี้ใช่ไหม ชาติก่อนเป็นคุณอาช่าหรือเปล่าหรือเป็นอะไรก็ไม่รู้ จากชาตินี้ไปจะเป็นคุณอาช่าได้ไหม เป็นแมวได้ไหม เป็นเทพเทวาได้ไหม ไปนรกได้ไหม (ได้) เพราะฉะนั้นไม่ประมาทในกุศลทั้งปวงต้องทำกุศลทุกอย่างและกุศลที่ประเสริฐที่สุดคือ เข้าใจธรรมและเป็นคนตรงต่อความจริง มีอะไรสงสัยไหม
- (ทฤษฎีทางวิทยาศาตร์เรื่องมนุษย์วิวัฒนาการมาจากสัตว์กับความเข้าใจธรรมว่าเกิดเป็นมนุษย์เป็นผลของกรรมจะให้ความคิด ๒ อย่างนี้สอดคล้องกันได้หรือไม่) นักวิทยาศาสตร์รู้จักจิตเจตสิกรูปไหม (ไม่) ใครรู้จัก (พระพุทธองค์)
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ๔๕ พรรษาเพื่อให้คนอื่นค่อยๆ มีความเข้าใจที่ถูกต้องเพราะยากที่จะเข้าใจได้
- ทุกคนมีชีวิตที่สั้นมากเพียงชั่วขณะจิตเดียวเพราะฉะนั้นประโยชน์สูงสุดคือ จะฟังคำของใคร ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วรู้ได้เลย นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เลย
- เพราะฉะนั้นจะมีใครเป็นที่พึ่ง (พระพุทธองค์) โดยวิธีไหน (ค่อยๆ เข้าใจ) ฟังคำของพระองค์ทุกคำ รู้ความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ค่อยๆ เข้าใจขึ้นและก็จะรู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น
- พระธรรมที่ทรงแสดงเป็นคำตอบสำหรับทุกเรื่องที่คนไม่รู้ แต่คำของพระองค์ลึกซึ้งที่สุดเพราะให้เข้าใจความจริงที่ใกล้ที่สุดเดี๋ยวนี้ที่ทุกคนไม่เคยคิดเลย
- เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้คิดอะไร (คิดเรื่องที่เราสนทนากันอยู่) คิดมีจริงไหม? (มีจริง) อะไรคิด (เป็นจิต) จิตเจตสิกที่คิดเป็นผลของกรรมหรือเปล่า (ไม่)
- เพราะฉะนั้นจิตเห็นคิดได้ไหม (ไม่ได้) เห็นแล้วคิดได้ไหม? (คิดได้) คิดหลังจากที่เห็นเป็นกุศลหรืออกุศล เห็นเป็นกุศลหรือเป็นอะไร (ไม่ได้เป็นกุศลหรืออกุศล) เป็นอะไร? (เป็นวิบาก) เป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก (ได้ยินว่าเป็นผลของกุศลกรรม) ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นผลของอะไร
- เพราะฉะนั้นต่อไปให้ทุกคนคิดและไตร่ตรองเพื่อจะสนทนาต่อไปคราวหน้า เรื่องเมื่อเห็นแล้วคิด คิดเป็นอะไร เพราะอะไร?
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ยินดีด้วยในกุศลของคุณสุคินและผู้ร่วมสนทนาธรรมไทยฮินดีทุกท่าน