บรมโง่ (ยกกำลัง ไม่รู้จบ)

 
kanchana.c
วันที่  13 มี.ค. 2566
หมายเลข  45665
อ่าน  649

มีชีวิตเพื่อปัญญาปรากฏ มี.ค.2566

บรมโง่ไม่รู้จบ

ร่วมเป็นสมาชิกไลน์กลุ่ม “ศึกษาพระไตรปิฎก” ตามคำเชิญชวนของอาจารย์ฉัตรชัย กิติพรชัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้คำผิด เครื่องหมาย วรรคตอน จากพระไตรปิฎกที่ทำเป็นซีดีรอมแจกเป็นธรรมทาน และนำมาขึ้นเว็บไซต์บ้านธัมมะตามรูปแบบพระไตรปิฎกฉบับเก่า เพื่อสมาชิกชมรมบ้านธัมมะจะค้นหาพระไตรปิฎกสะดวกขึ้น แต่เมื่อร่วมทำงานได้ระยะหนึ่งก็พบว่า นอกจากคำที่พิมพ์ผิดแล้ว ยังมีข้อความบางตอนอ่านไม่เข้าใจ ต้องสอบถามผู้รู้บาลีใน มศพ. คือ อาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย และ พญ.ธิดา คงจรรักษ์ (คุณหมอจอย) ซึ่งท่านทั้งสองได้ไปค้นหาจากพระไตรปิฎกฉบับบาลี และพจนานุกรมบาลีไทย และหาคำแปลที่ถูกต้องแก้ไขไปด้วย

ต่อมาเมื่อทำงานไประยะหนึ่ง (อ.ฉัตรชัยและคุณโสภณ สิงห์แก้ว นำขึ้นเว็บไซต์ใช้เวลา 2 ปี และทีมงานเริ่มทำงานไปได้เกือบปี) ได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์มาเป็นประธานเพื่อปรึกษาหาแนวทางการทำงาน ทำให้ได้ข้อสรุปหลายอย่าง และในที่สุดท่านอาจารย์ก็สอบถามดิฉันว่า อ่านพระไตรปิฎกเป็นธรรมตรงไหน ดิฉันติดข้องอยู่กับคำสรรเสริญจากเพื่อนสมาชิกว่า หาข้อความที่ไม่เข้าใจทำให้ต้องเทียบเคียงกับฉบับบาลีได้หลายครั้ง จึงคิดว่า ท่านอาจารย์ถามถึงข้อความนั้น ดิฉันจึงตอบว่า มาจากเปตวัตถุซึ่งคืนเล่มพระไตรปิฎกไปที่ มศพ. แล้ว หาไม่ได้แล้วค่ะ ท่านอาจารย์บอกว่า ที่ทำไปแล้วล่ะ ดิฉันตอบว่า อยู่ในเครื่องคอมค่ะ ต้องใช้เวลาเปิดหา ท่านอาจารย์บอกว่า ไม่เป็นไร จะหานานเท่าไรก็ได้ ดิฉันก็ค้นหาในเปตวัตถุ ดีใจที่หาพบ เลยตอบท่านอาจารย์ว่า มีพระราชาชื่อว่า ...ท่านอาจารย์บอกว่า ไม่เอาชื่อพระราชา ดิฉันตอบว่า ถ้าไม่เล่าเรื่องก่อนก็จะไม่ต่อเนื่องกับข้อความที่ไม่เข้าใจค่ะ ท่านอาจารย์ถามว่า ตรงไหนเป็นธรรม ดิฉันตอบว่า ตรง “พระเจ้ารหัส” อ่านแล้วไม่เข้าใจค่ะ ท่านอาจารย์พูดว่า ไม่เอาพระเจ้าอะไรทั้งนั้น เป็นธรรมตรงไหน ดิฉันตอบไม่ได้ จึงกลบเกลื่อนด้วยการหัวเราะ ท่านอาจารย์คงสงสารเลยหัวเราะตาม สรุปแล้วยังไม่ได้ตอบว่า ในพระไตรปิฎกเป็นธรรมตรงไหน

ต่อมาไปสนทนาธรรมที่บ้านธัมมะภาคใต้ในงานประดิษฐานพระบรมสารีกธาตุ ที่สวนเทพหยา ตำบลป่าขาด อ.สิงหนคร จ.สงขลา เมื่อวันที่ 4 – 6 มี.ค. 2566 น้องอัมพิกาจากภูเก็ตออกมาถาม แต่ตื่นเต้นลืมคำถามไป จึงเรียนท่านอาจารย์ว่า จะสนทนาธรรมเรื่อง “อะไรก็ได้” ท่านอาจารย์จึงถามว่า “อะ” เป็นธรรมอะไร ทำให้งงกันไปทั้งศาลา ท่านอาจารย์พยายามพูดให้เข้าใจมากขึ้นว่า “อะ” เป็นเสียงและมีการได้ยินเสียง ... สำหรับเราก็ยังไม่เข้าใจกระจ่างชัด จนกระทั่งมาฟังสนทนาธรรมไทยฮินดีอีกครั้งจึงเข้าใจมากขึ้น และทำให้เข้าใจว่า ในพระไตรปิฎกเป็นธรรมตรงไหน ทำให้เข้าใจคำว่า “บรมโง่” และความลึกซึ้งของธรรมมากขึ้น

ท่านอาจารย์ถามและพูดบ่อยๆ ว่า ธรรมคืออะไร เราตอบได้ เขียนได้ แปลเป็นอังกฤษได้ แปลอังกฤษเป็นไทยได้ว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส คิดนึก สี เสียง กลิ่น รส สัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว คิดนึก โลภ โกรธ ฯลฯ เพิ่งรู้ว่า เป็นเพียงความจำ พูดตามได้เป็นนกแก้ว นกขุนทอง แต่เมื่อถามถึงธรรมในพระไตรปิฎก ตอบไม่ได้ คงเหมือนเด็กน้อยที่เริ่มท่องสูตรคูณ สองหนึ่งสอง สองสองสี่... พอครูถามว่า แม่ไก่ออกไข่วันละ 2 ฟอง ใน 1 สัปดาห์จะมีไข่กี่ฟอง ก็เอานิ้วมือนิ้วเท้าขึ้นมานับ วุ่นไปหมด แล้วตอบถูกบ้าง ผิดบ้าง เราก็เหมือนกันท่องได้ว่า ธรรมคืออะไร แต่พอถามว่า ในพระไตรปิฎกเป็นธรรมอะไร ก็นึกไม่ออกว่า เชื่อมโยงกับความหมายของธรรมอย่างไร ขนาดศึกษามาเกือบ 40 ปี ทั้งพูด ทั้งเขียน ทั้งแปล แต่ไม่เข้าใจอะไรเลย เข้าใจคำว่า “บรมโง่” แล้ว ซึ่งยังน้อยไป ต้อง “บรมโง่ ไม่รู้จบ (ไม่รู้จบ คือ infinity แต่หาเครื่องหมายไม่เจอค่ะ)

พระไตรปิฎกเป็นธรรมตรงที่เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นเห็น เป็นคิดนึก กระทบสัมผัสแข็ง รู้แข็ง แล้วแต่จะมีอะไรปรากฏในขณะนั้นทางทวารทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่เพราะความติดข้องในคำสรรเสริญของเพื่อนๆ ในกลุ่มว่า พี่แดงเก่ง สามารถหาข้อความที่อ่านแล้วไม่สอดคล้องกัน ทำให้ไม่เข้าใจได้ ก็เลยพยายามจะแสดงความเก่งให้ท่านอาจารย์เห็น ไม่ได้นึกถึงความหมายของธรรมเลยว่า คือสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เข้าใจคำว่า เนิ่นช้าเพราะความติดข้องบ้างแล้วค่ะ และเข้าใจคำว่า ขุดภูเขาสิเนรุอันสูงใหญ่ด้วยเล็บแล้ว ไม่ต้องหวังผลอะไรทั้งนั้น เพียงเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กละน้อย ก็ประเสริฐสุดแล้วค่ะ

กราบเท้าท่านอาจารย์ที่นำพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วมาย่อยละเอียดเป็นคำเล็กๆ ป้อนเด็กน้อยทีละคำ แต่เด็กน้อยนั้นก็ยัง “บรมโง่ไม่รู้จบแม้จะเพียงอาหารคำเล็กๆ ที่ย่อยละเอียดแล้ว ก็ยังไม่ได้เข้าไปในปากทั้งหมด ยังตกหล่นอยู่ข้างนอกมากกว่า ส่วนที่เข้าไปในปาก ก็อมเอาไว้ ไม่ได้เคี้ยวและกลืนลงไป จึงไม่ได้ประโยชน์จากสารอาหารเต็มที่ ด้วยความติดข้อง ด้วยความเป็นเรา และด้วยความเห็นผิดค่ะ

ขอนอบน้อมต่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า ต่อพระธรรมอันควรน้อมเข้ามาในตน ต่อพระสงฆ์อริยสาวกผู้สืบทอดคำสอนนั้นมาจนถึงทุกวันนี้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 13 มี.ค. 2566

กราบอนุโมทนาครับพี่แดงครับ ไพเราะลึกซึ้ง เตือนใจมากครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 13 มี.ค. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลวิริยะของอาจารย์กาญจนาด้วยครับ

อ่านดีมากๆ เป็นประโยชน์มากๆ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 14 มี.ค. 2566

กราบขอบพระคุณพี่แดงที่คอยเตือนเสมอๆ ให้น้องได้รู้สึกตัวว่า ตัวเองบรมโง่แค่ไหน หากไม่ได้รับคำเตือนจากท่านอาจารย์ในการศึกษาพระไตรปิฏกเพื่อเข้าใจความเป็นธรรม ไม่ใช่เพียงจำ และเรื่องราวของธรรม.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และกราบยินดีในกุศลจิตพี่กาญจนา ด้วยความเคารพค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
siraya
วันที่ 15 มี.ค. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 16 มี.ค. 2566

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Boonyavee
วันที่ 18 มี.ค. 2566

กราบขอบพระคุณคุณแม่แม่และกราบอนุโมทนา ท่านอาจารย์สุจินต์ ที่เมตตาให้ความกระจ่างธรรมเป็นเครื่องเตือนสติค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
AmpholSuttipo
วันที่ 2 เม.ย. 2567

กราบบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เมตตาสุดประมาณต่อชนผู้เห็นประโยชน์ในการรู้จักธรรมและเข้าใจธรรม กราบขอบพระคุณอาจารย์กาญจนา ที่คอยเป็นสะพานเชื่อมความรู้ที่ได้รับจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์มาแบ่งปันให้กับกัลยาณะปุถุชน ไม่ขาดตกบกพร่อง ขออนุโมทนาและขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ