ศรัทธาทำให้เกิดอำนาจจิตหรือปาฏิหาริย์จริงหรือ?
อยากฟังเหตุผล ไม่ใช่อ้างตำราให้เชื่อตาม อำนาจจิตที่ตั้งมั่น มีจริงหรือ มีได้อย่างไร หรือมีผู้ช่วยให้มีกำลัง มีอำนาจ เช่น เทวดา มาร พรหม และทำไมในพระพุทธศาสนาส่วนมากพูดถึงปาฏิหาริย์มาก แต่ในอภิธรรมจริงๆ มีหรือเปล่าไม่ทราบ
ขอบคุณครับ
ตามความเป็นจริง จิตที่ฝึกดีแล้ว เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้วไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ย่อมมีพลัง มีอำนาจ ทำให้กระทำสิ่งต่างๆ ที่คนทั่วไป ทำไม่ได้ เช่น หายตัวไปก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลง แม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ ฯลฯ คือเป็นอำนาจของจิตพิเศษ ที่เหนือความคิดคาดเดา ของผู้ที่ไม่มีจิตเช่นนั้น
แม้ในพระอภิธรรมกล่าวถึงอภิญญาจิต เช่นกันดังนั้นอิทธิปาฏิหาริย์ มีจริง อำนาจของกุศลมีจริง อำนาจของสัจจกิริยามีจริง
ในครั้งพุทธกาลอิทธิปาฏิหาริย์มีจริง ชาวบ้านก็เห็นเทวดา เห็นท่านผู้ทรงศีลเหาะเหินเดินอากาศได้ เขาเห็นกันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะรู้ว่าเป็นเรื่องของเหตุปัจจัยที่เขาทำมา
" อำนาจจิตจากศรัทธาทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้" ดูจะเป็นอะไรที่เหลือเชื่อก็จริงสำหรับปุถุชนในยุคปัจจุบัน ที่ส่วนใหญ่ล้วนเคยศึกษาในวิชาวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นความรู้ของชาวตะวันตก ถึงเราจะไม่ค่อยเชื่อในบุคคลที่พูดอ้างอิงจากตำราอื่นๆ เพราะพิสูจน์ไม่ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่สำหรับผู้ที่พูดโดยอ้างอิงจาก คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา คือ พระไตรปิฎก ถ้าเรายังไม่ปักใจเชื่อ เราก็สามารถที่จะฟังอย่างพิจารณาก่อน และตรวจสอบความจริงจากต้นฉบับว่าข้อความนั้นเท็จจริงประการใด แต่สำหรับบุคคลที่ยังไงก็ไม่เชื่อ ก็จะไม่ศรัทธาในพระศาสนา เมื่อเกินกำลังจะประจักษ์ได้ ก็ต้องคิดเอาเอง หาวิถีทางที่จะรู้ให้ได้เอาเอง จึงเชื่อแต่ในคำตอบที่ตัวเองค้นพบ แต่ไม่รู้ว่าตนกำลังสั่งสมความเห็นผิดอยู่ทุกขณะจิต
ปาฏิหาริย์ทุกอย่างในพระไตรปิฎกที่มีจริงได้ ก็ต้องมีปัจจัยที่บันดาลให้เป็นไป เมื่อมีเหตุก็ต้องมีผลแน่นอน เพียงแต่จิตของเราในขณะนี้ที่หนาไปด้วยกิเลส ไม่สามารถที่จะไปถึงขั้นที่จะรับรู้ความวิจิตรพิสดารนั้นๆ ได้ อย่าลืมว่า พระธรรมนั้นยังคงทนทานต่อการพิสูจน์ของผู้ที่มีศรัทธามั่นคง ไม่คลอนแคลน ถ้าหากต้องการจะรู้ความจริงนั้นโดยไม่เจริญเหตุที่ถูก ก็ยังคงเป็นโลภะที่อยากรู้ ซึ่งแม้จะอยากรู้เท่าไรก็ไม่มีทางรู้ หนทางเดียวที่จะรู้ คือ ศึกษาให้เกิดความเห็นถูกชัดเจนจนประจักษ์แจ้งในสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่ละขั้นๆ ก่อนเท่านั้น
ส่วนใครจะกล่าวอะไร พูดอะไร ก็ควรที่เราจะต้องพิจารณาโดยถี่ถ้วน เพราะถ้าเรายังไม่ได้ศึกษาพระธรรมโดยละเอียด แม้เขาจะพูดความจริงตามข้อความที่ยกมาจากพระไตรปิฏกเราก็อาจจะไปตีขลุมเอาว่า เขาพูดโกหกหรือพูดเรื่องที่เป็นไปได้ยากก็ได้ครับ
ปาฎิหาริย์ที่แท้จริงในพระศาสนานี้คือ สิ้นกิเลสด้วยปัญญาที่เห็นตามความเป็นจริงอย่างลึกซึ้ง
บางคนบอกว่าเขาไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าแรกประสูตินั้น สามารถเดินได้ ๗ ก้าว
ความจริงเป็นประการใดในพระไตรปิฎกมีกล่าวไว้หรือไม่ค่ะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ 89
พระโพธิสัตว์มองตรวจดูตลอดทิศให้ทิศเล็กแม้ทั้ง ๑๐ คือทิศใหญ่ ๔ ทิศเล็ก ๔ เบื้องล่าง เบื้องบน ก็มิได้ทรงมองเห็นใครที่เช่นกับตน ทรงดำริว่า นี้เป็นทิศเหนือแล้ว ได้เสด็จไปโดยย่างพระบาท ๗ ก้าว มีท้าวมหาพรหมกั้นเศวตฉัตร ท้าวสุยามเทวบุตรถือพัดวาลวีชนีและเทวดาเหล่าอื่นมีมือถือเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่เหลือเดินตามเสด็จ ต่อจากนั้นประทับยืนที่พระบาทที่ ๗ ทรงเปล่งอาสภิวาจา [วาจาแสดงความยิ่งใหญ่] เป็นต้นว่า เราเป็นผู้เลิศของโลก ทรงบรรลือสีหนาทแล้ว.
ผู้ที่ไม่เชื่อตอนนั้นท่านอยู่ในเพศบรรพชิต แต่ปัจจุบันท่านลาสิกขาแล้ว ตอนที่ท่านถามดิฉันตอบว่าเชื่อเพราะได้อ่านในพุทธประวัติและความศรัทธาที่มีต่อพระพุทธองค์ที่พึ่งอันสูงสุด