[คำที่ ๖๐๖] โมหสมฺพนฺธน

 
Sudhipong.U
วันที่  7 เม.ย. 2566
หมายเลข  45773
อ่าน  515

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “โมหสมฺพนฺธน

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

โมหสมฺพนฺธน อ่านตามภาษาบาลีว่า โม - หะ - สำ - พัน - ทะ - นะ มาจากคำว่า โมห (ความหลง, ความไม่รู้) กับคำว่า สมฺพนฺธน (เครื่องผูกพัน) รวมกันเป็น โมหสมฺพนฺธน แปลรวมกันได้ว่า มีโมหะเป็นเครื่องผูกพัน แสดงถึงความเป็นจริงของกิเลสประการหนึ่ง คือ โมหะหรืออวิชชา ความหลง ความไม่รู้ ซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตที่เกิดกับอกุศลจิตทุกขณะ ขณะที่โมหะเกิดขึ้นครอบงำจิต ก็เรียกว่า เป็นบุคคลผู้มีโมหะเป็นเครื่องผูกพัน ตราบใดก็ตามที่ยังมีโมหะอยู่ ก็ยังเป็นเหตุทำให้ท่องเที่ยววนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ต่อไป เมื่อโมหะเกิดขึ้น ก็ผูกพันสัตว์ไว้ในความไม่รู้ประการนั้นๆ ผูกพันไว้ไม่ให้เป็นกุศล ผูกพันไว้ไม่ให้ออกไปจากสังสารวัฏฏ์ และโมหะก็เป็นรากเหง้าของความไม่ดีทั้งหมด ที่มีการกระทำในสิ่งที่ไม่ดีประการต่างๆ ก็เพราะโมหะ ผู้ที่จะดับโมหะได้อย่างหมดสิ้น คือพระอรหันต์เท่านั้น พระอรหันต์เป็นผู้ห่างไกลแสนไกลจากกิเลสทั้งปวง

ข้อความในปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน อุเทนสูตร แสดงถึงความเป็นจริงของผู้ที่มีโมหะเป็นเครื่องผูกพัน ดังนี้

สัตว์โลกแม้นั้น มีโมหะเป็นเครื่องผูกพัน คือเกลือกกลั้วไปด้วยโมหะ เมื่อไม่รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์แก่ตน จึงไม่ดำเนินไปในสิ่งที่เป็นประโยชน์ สั่งสมแต่สิ่งที่มิใช่ประโยชน์ อันนำความทุกข์มาให้ และพอกพูนอกุศลเป็นอันมาก


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทุกคำเป็นคำจริง เป็นคำหวังดี เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูล เป็นประโยชน์ทำให้ผู้ฟังผู้ศึกษาได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นกัลยาณมิตรสูงสุด เพราะเหตุว่า ทุกคำจริงของพระองค์ไม่ได้มีความประสงค์ให้ใครเข้าใจผิดเลยแม้แต่น้อย แต่พระองค์ทรงแสดงธรรมโดยนัยต่างๆ มากมาย หลากหลาย โดยประการทั้งปวง ที่จะทำให้ผู้ฟังผู้ศึกษาค่อยๆ เข้าใจขึ้น เข้าใจในความเป็นจริงของธรรม ตามความเป็นจริงตามกำลังปัญญาของผู้ฟัง แม้แต่ในเรื่องของโมหะ ซึ่งเป็นความหลง ความไม่รู้ พระองค์ทรงใช้พยัญชนะมากมากที่แสดงถึงความจริงของธรรมประเภทนี้ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้สิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง เป็นสภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน คือไม่รู้ตามความเป็นจริง ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นอย่างอื่น เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น

โมหะหรืออวิชชา เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้ในสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา สำหรับสิ่งที่มีจริงนั้นมีจริงๆ ในขณะนี้ ทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่พ้นจากธรรมเลย ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหน เพราะมีจริงทุกขณะ ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรมโดยนัยใดๆ ก็ตาม ก็ไม่พ้นไปจากธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ขณะนี้มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ไม่มีขณะไหนเลยที่ไม่ใช่ธรรม ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย คิดนึก ขณะกุศลจิตเกิด ขณะอกุศลจิตเกิด เป็นต้น เป็นธรรมที่มีจริง ธรรมจึงไม่ได้อยู่ในหนังสือหรือตำราแต่อย่างใด แต่มีจริงในขณะนี้ โดยไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนด้วย หากไม่ศึกษาพระธรรม ไม่ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เข้าใจว่า อะไรคือธรรม ธรรมอยู่ในขณะไหน เป็นต้น ก็จะไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงได้เลย เมื่อไม่เข้าใจความจริง กล่าวคือ ไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม จึงหลงยึดถือในสิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หลงติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะเหตุว่าแท้จริงแล้ว สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งนั้น จากไม่มี แล้วมีเหตุปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ก็เกิดมี เมื่อมีแล้วก็ดับไปหมดไปไม่เหลือเลย สิ่งที่ดับแล้วจะไม่กลับมาอีกในสังสารวัฏฏ์ เมื่อถูกโมหะผูกพันไว้ เกลือกกลั้วไปด้วยโมหะ ก็ไม่รู้ความจริง แม้ธรรมกำลังปรากฏในขณะนี้ ก็ไม่รู้ จึงทำให้ยังต้องเกิดอีกร่ำไป และจะต้องประสบกับความทุกข์ทั้งกายและใจอันเนื่องมาจากการเกิดอีกมากมายนับประมาณไม่ได้

อกุศลจิตทุกขณะ ทุกประเภท เกิดเพราะโมหะ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล ไม่รู้ว่าอะไรเป็นผลที่มาจากเหตุ ไม่รู้โดยประการทั้งปวง ความเป็นจริงของโมหะ ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นอย่างอื่น เกิดขึ้นเมื่อใด ย่อมทำกิจหน้าที่ไม่รู้ความจริง เมื่อนั้น โมหะ เป็นอกุศลธรรมที่มีโทษ เป็นอันตรายมาก เพราะไม่รู้ จึงทำทุจริตประการต่างๆ ไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด ไม่รู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ เมื่อไม่รู้อย่างนี้ ก็ทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ โดยไม่รู้ว่าผลที่เกิดจากการทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์นั้น ร้ายแรงขนาดไหน ซึ่งมีแต่โทษเท่านั้นจริงๆ

ในชีวิตประจำวัน อกุศลจิตเกิดบ่อยมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ โมหะจึงเกิดกับขณะจิตมากมายอย่างนับไม่ถ้วน ซึ่งถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จะไม่มีทางเข้าใจเลยว่า ตนเองมากไปด้วยโมหะเป็นอย่างมาก สะสมสิ่งที่มีโทษทุกครั้งที่เป็นอกุศล ดังนั้นหนทางที่จะค่อยๆ ขัดเกลาละคลายโมหะซึ่งเป็นความหลง ความไม่รู้ได้นั้น ก็ด้วยการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้น ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันไม่ได้เลยทีเดียว เมื่อเห็นคุณค่ามหาศาลของแต่ละคำที่เป็นคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะไม่ละเลยโอกาสที่จะฟังที่จะศึกษาต่อไป เพราะทุกครั้งที่ได้ฟัง ก็ได้เริ่มสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย เมื่อได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก ก็จะเห็นความน่าอัศจรรย์ของพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า สามารถเปลี่ยนจากผู้ที่มากไปด้วยโมหะความไม่รู้ ทำให้ค่อยๆ ขัดเกลาละคลายโมหะได้จริงๆ

ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..

บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เฉลิมพร
วันที่ 11 ก.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 11 ก.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
talaykwang
วันที่ 26 ก.ค. 2567

กราบขอบพระคุณและยินดียิ่งในกุศลค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
kaeboon
วันที่ 9 ส.ค. 2567

ขอบพระคุณคะ สำหรับคำอธิบายที่ชัดเจน แจ่มใส เป็นแนวทางสะสมแห่งปัญญา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
kaeboon
วันที่ 9 ส.ค. 2567

มีคำถามคะ ขณะที่โมหะเกิด ครอบงำจิต ก็เรียกว่า เป็นบุคคลผู้มีโมหะเป็นเครื่องผูกพัน บุคคล คือใคร มีตัวตนมั้ย คืออะไร เป็นอนัตตามั้ย

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 9 ส.ค. 2567

ในชีวิตประจำวัน อกุศลจิตเกิดบ่อยมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ โมหะจึงเกิดกับจิตมากมาย อย่างนับไม่ถ้วน ซึ่งถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จะไม่มีทางเข้าใจเลยว่า ตนเองมากไปด้วยโมหะ

โมหะ เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ เป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และเป็นอนัตตา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 9 ส.ค. 2567

ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ไม่มีตัวตน แต่มีสภาพธรรม เพราะฉะนั้นก็จะเข้าใจในความหมายที่ว่า ทุกอย่างหรือว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สิ่งที่มี ไม่ใช่ไม่มี แต่เป็นอนัตตา มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ที่จะละความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราได้ ก็ต้องมีความรู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

ที่มา ...

ต้องเข้าใจว่าไม่มีตัวตน

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ