ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ร่วมเสวนา (ธรรม) กับข้าราชการและเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  11 พ.ค. 2566
หมายเลข  45900
อ่าน  1,645

วันพุธที่ ๑๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจาก คุณสมบุญ ม้าหาญศึก ผู้อำนวยการกองกฏหมาย กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กระทรวงยุติธรรม เพื่อไปร่วมเสวนา (ธรรม) เรื่อง "ชาวพุทธกับการละทุจริต" และ "รู้จักปัญญา และ สิ่งที่มีจริงช่วยละความไม่รู้" เพื่อป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ ให้กับข้าราชการและเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ณ ห้องรับรองชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร เวลา ๑๐.๐๐ น. - ๑๕.๓๐ น. โดยมี ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้การต้อนรับและอยู่ร่วมฟังการเสวนาในครั้งนี้จนจบ

สำหรับการเสวนา (ธรรม) ในครั้งนี้ นอกจากจะมีการถ่ายทอดสดทาง ZOOM โดยมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ไปยังทุกช่องทางของมูลนิธิฯ ที่สามารถติดตามรับชมรับฟังได้จากทั่วทุกมุมโลกแล้ว ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษเอง ก็ได้ทำการถ่ายทอดสดทางโปรแกรม cisco webex โดยมีข้าราชการและเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้าร่วมรับฟังทางออนไลน์ จำนวน ๑๑๗ ท่าน นอกเหนือไปจากข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ที่เข้าร่วมฟังและร่วมสนทนาในห้องรับรองชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ จำนวน ๑๓๓ ท่าน

การเสวนาครั้งนี้ ดำเนินรายการโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์อรรณพ หอมจันทร์ กรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม กรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ร่วมเสวนาด้วย ซึ่งจะขออนุญาตนำข้อความความการเสวนาบางตอน มานำเสนอทุกท่านเพื่อพิจารณา ดังนี้

คุณสมบุญ ม้าหาญศึก ผู้อำนวยการกองกฏหมาย กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)

ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ

พันตำรวจโท เสกสรร ศรีตุลาการ : ผมขออนุญาตถาม สิ่งที่ผมจะถามเป็นข้อเท็จจริง แล้วก็เป็นเรื่องปัจจุบัน ในช่วงเวลาที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือที่ชาวบ้านเรียก "ดีเอสไอ" ได้รับข่าวจากสื่อมวลชน ไม่ว่าจะจากทางทีวี ยูทูป หรือทางอะไรก็แล้วแต่ ก็คือจะมีมุมในเรื่องของการทุจริต ซึ่งอาจารย์ทั้ง ๓ ท่านก็อาจจะได้รับทราบบ้าง ผมอยากจะถามว่า ในมุมมองของท่าน ท่านรู้สึกอย่างไร ท่านคิดอย่างไร และท่านอยากจะแนะนำอย่างไร ให้กับข้าราชการ รวมถึงผู้บริหารของกรมฯ ว่าจะดำเนินการอย่างไร

ศาสตราจารย์พิเศษจรัญ ภักดีธนากุล : เรื่องข่าวทุจริตที่กระเทือนขวัญชาวพุทธมากที่สุด คือ การทุจริตของผู้ที่ปลอมบวชเข้ามาอยู่ในร่มผ้ากาสาวพัสตร์ ธงชัยของพระอรหันต์ คือ ถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไป บุคคลทั่วไปที่ไม่เคยรู้เคยฟังคำสั่งคำสอนของพระบรมศาสดา ทุจริตฉ้อฉล ตกเป็นทาส เป็นสาวกของตัณหาพญามาร นั่นเป็นเรื่องปกติ เราก็ได้แต่สมเพชเวทนา ว่าน่าสงสาร เพราะเขาไม่เคยได้รู้ ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเขา อะไรเป็นโทษ อะไรเป็นทางเจริญ อะไรเป็นทางเสื่อม เขาไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ เขาก็ต้องเดินไปในทางที่ผิด ตามกำลังของความไม่รู้และรู้ผิดของเขา

แต่พอเป็นคนที่เข้ามาอยู่ในร่มผ้ากาสาวพัสตร์ แล้วก็อยู่มาจนเป็นที่เชื่อถือเคารพศรัทธาของสาธุชน แล้วก็มาเกิดข่าวคราวเรื่องนี้ ไม่รู้จะพูดอย่างไรเลย นี่กระเทือนถึงความเชื่อถือศรัทธาของพุทธมามกะทั้งหลาย..เราปล่อยให้คนที่ไม่รู้เรื่อง ไม่มีความรู้ ไม่ได้ศึกษาคำสอนขององค์พระศาสดาให้เข้าใจจริงๆ แล้วก็เข้ามาบวช โดยไม่ต้องศึกษาเล่าเรียนมาก่อน แล้วก็ใช้วิธีประพฤติปฏิบัติ ถือวัตรปฏิบัติ ในทิศทางที่คนเชื่อว่าอย่างนี้เคร่ง ดี ก็คือ หลอกลวงเขามาตั้งแต่ต้น

นี่เป็นเหตุ เป็นปัญหาใหญ่ที่มีมาแต่ในอดีต คือพวกอลัชชีปลอมบวช พวกที่ไม่รู้จักอับอายขายหน้า ไม่มีหิริโอตตัปปะ ก็ปลอมบวชเข้ามาเพื่อประโยชน์ ๑๐๘ ที่เขาจะได้ มีกระทั่งเพื่อจะได้มารับการรักษาโรคจากท่านหมอชีวก บวชเข้ามาเพื่อจะได้ไม่ลำบากยากแค้นไปทำมาหากิน ผู้คนศรัทธาพระสมณโคดมก็บวชเข้ามาเป็นภิกษุของสมณโคดม แล้วก็อยู่ได้ ได้รับการเลี้ยงดูจากชาวบ้าน

แต่แท้ที่จริง ไม่ได้เข้ามาใกล้พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย นี่มีมาแต่ดั้งเดิม แล้วก็จะมีเรื่อยๆ ต่อไป ตราบใดถ้าชาวพุทธของเรา ทั้งพระภิกษุ ทั้งอุบาสก อุบาสิกา ไม่เรียนรู้ หลักธรรมคำสอน ที่ถูกต้อง พระธรรมวินัยที่แท้จริง ที่แทนองค์พระศาสดา ตามที่ท่านทรงมอบหมายไว้ ก็จะเปิดช่อง เปิดโอกาสให้คนปลอมบวชเข้ามา สร้างความเสื่อมเสีย ทำร้าย ทำลาย ความรู้สึกนึกคิดและความเชื่อถือศรัทธา ของชาวพุทธของเราอย่างนี้ ต่อไปก็ต้องมีอีก นี่เหตุที่หนึ่ง ถ้าห่วงใยเรื่องนี้ เราจะต้องหาทางช่วยกัน ทำอย่างไรที่จะมีกำแพงขวางกั้น คนพวกอลัชชีปลอมบวชอย่างนี้ เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ ๑๐๘ แล้วก็ทำลายความเชื่อถือศรัทธาของสาธุชน

เหตุที่ ๒ ผมเข้าใจว่า เป็นเพราะพวกเรา ชาวบ้าน อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีความศรัทธา มากมาย แต่ขาดความรู้ที่ถูกต้องในพระธรรมวินัย เอาเงินให้พระ หารู้ไม่ว่า นั่นน่ะ คือตัวที่จะไปกระตุ้น ให้กิเลสที่พระท่านยังเป็นปุถุชนอยู่ พระภิกษุที่ท่านยังเป็นปุถุชนอยู่ ท่านต้องต่อสู้กับกิเลสร้ายตัวนี้ ซึ่งมีไม่ได้น้อยไปกว่าพวกเราเลย พอพวกเราเอาเงินไปให้ท่าน เหมือนเอากำลังไปให้บริวารพญามาร ไม่มีทางสู้ได้เลย ท่านก็พ่ายแพ้ อย่างที่เห็นกัน แล้วๆ เล่าๆ นี่คือต้นเหตุ

สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน ท่านถึงได้ขอ ขอว่า อย่าเอาเงินให้พระเลย เพราะท่านเห็นอันตรายตัวนี้ แล้วนี่ก็คือสิ่งที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา โดยการชี้ทางของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ก็สอน เน้นย้ำ ชี้ทางพวกเราสานุศิษย์ว่า อย่าเอาเงินให้พระ เพราะเราก็นึกว่าเราทำบุญ แต่ที่แท้ เราทำให้พระดีๆ กลายเป็นพระที่ผิดพระวินัยขององค์พระศาสดา แล้วอย่างไร แล้วอนาคตหรือชีวิตข้างหน้าของภิกษุที่ละเมิดสิกขาบท พระวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เส้นทางชีวิตข้างหน้าในสัมปรายภพ จะเป็นอย่างไร

แม้พวกเราในชีวิตปัจจุบัน จะจับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน แต่กฏแห่งกรรม ๑๐๐ เปอร์เซนต์ ยุติธรรมยิ่งกว่าศาลใดๆ ในโลก ไม่มีเบี่ยงเบน นั่นเพราะอะไร เพราะ "เราอยากทำบุญไง!!" เราอยากทำบุญให้เราได้บุญ ไม่รู้จะเอาอะไรให้ท่าน ก็เอาเงินให้ท่าน แล้วก็แข่งกันด้วย ถ้าอยากได้บุญมากก็ต้องให้มากหน่อย อยากได้ผลทันใจก็ต้องก้อนใหญ่ๆ เดี๋ยวท่านจะได้ภาวนาให้ ผลมันก็เป็นอย่างนี้ นี่คือเรื่องเศร้า

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ : ธรรมเป็นเรื่องที่จะต้องไตร่ตรอง มิฉะนั้นจะไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยตัวเอง ได้แต่จำคำ "เขาว่า" แต่ว่าความเข้าใจจากการที่ได้ฟังนั้น มากน้อยแค่ไหน? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งหมด ไม่มีสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เลย

เพราะฉะนั้น เรื่องต่างๆ ที่เราได้ยินได้ฟังทุกวัน บางเรื่องก็ดี บางเรื่องก็ร้าย บางเรื่องก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย ก็เป็นไปแล้ว พิสูจน์คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิด ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น เกิดแล้วให้เห็น เป็นอย่างนี้ แต่ประโยชน์อะไรกับการที่ได้ยินได้ฟังเรื่องต่างๆ มากมาย แล้วขณะนั้น ท่านที่ถามเรื่อง "จิต" จิตขณะนั้น เป็นอย่างไร?

ขณะที่ยังไม่รู้จัก "จิต" แต่ก็ต้องใช้คำว่า "จิต" แล้ว เพราะเป็นธาตุที่รู้ เห็น ได้ยิน คิดนึก ห้ามไม่ได้เลย ว่าจะได้ "ฟังเรื่องอะไร" และจะ "รู้สึกอย่างไร" ในเรื่องนั้น แต่ทรงแสดง "ความจริงของขณะนั้น" ว่า "ไม่ใช่เรา" แต่ "เป็นธรรม"

การฆ่า การเบียดเบียน มีทุกระดับ ตั้งแต่ "ใจ" จนถึง "กาย" และ "วาจา" เคยคิดบ้างไหมว่า "วาจา" นี้ฆ่าคนได้ คนที่กำลังป่วยไข้ แม้ในครั้งพุทธกาล ถ้ามีการพรรณนาว่าจะขึ้นสวรรค์อย่างนั้นอย่างนี้ น้อมใจเขาให้ไปสู่การตาย ด้วยเจตนาอะไร

เพราะฉะนั้น "เจตนา" สำคัญมาก ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงจิต เมื่อเช้านี้เราก็ได้พูดถึงจิตแล้ว ว่าเป็น "ธาตุรู้" ถ้าไม่มีธาตุรู้ อะไรๆ ก็ไม่มี โลกก็ไม่มี ดีชั่ว คิดร้าย ทำร้าย กาย วาจา ใจ ใดๆ ไม่มีทั้งสิ้น แล้วธาตุนี้คือธาตุรู้ อยู่ไหน? อยู่ตรงนี้! เดี๋ยวนี้! ทุกขณะ! ที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ!! เพราะธาตุนั้นเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น

แม้แต่เรื่องร้ายๆ ที่เราได้ฟัง ก็ต้องมีเหตุปัจจัยให้ได้ยิน คนหูหนวกก็ไม่ได้ยิน แต่นี่ได้ยินแล้ว เป็นปัจจัยให้คิด "ต่างกันที่ความคิด" คิดอะไรที่จะเป็นประโยชน์ ที่จะไม่ให้โทษเลย ไม่ใช่โกรธแค้น คิดร้าย เบียดเบียน แต่ "เป็นธรรม" ที่เกิดขึ้นแล้ว ตามเหตุ ตามปัจจัย ไม่เป็นของใคร ตราบใดที่ยังมีความไม่รู้ความจริงถึงที่สุด ก็ยังไม่สามารถที่จะละความไม่รู้ได้

เพราะฉะนั้น ความประพฤติเป็นไปของแต่ละคน เป็นไปตามการสะสม ด้วยความไม่รู้ จึงผิดบ้าง ถูกบ้าง แต่ไม่ถึง "ระดับที่จะรู้ความจริง" ว่า "แล้วนั่นคืออะไร?" ไม่ใช่เรา!! ไม่เคยเลยวันนี้ที่จะคิดอย่างนี้ เมื่อกี้นี้ก็เรา เดี๋ยวนี้ก็เรา แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าเป็น "สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง" ซึ่งเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย

เพราะฉะนั้น ประโยชน์ที่สุด ไม่ว่าจะเห็นอะไร ได้ยินอะไร เรื่องร้าย เรื่องดี อย่างไรก็ตาม "จิตขณะนั้น" เป็นอย่างไร? ลืมคิด!! ส่วนใหญ่ ฟังข่าว ดูข่าวจากโทรทัศน์ จะได้ยินเสียงวิพากย์วิจารณ์ตลอดเลย ถึงสิ่งที่เห็นทางตา คนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น ประเทศนั้นเป็นอย่างนี้ ประเทศนี้เป็นอย่างนั้น แล้ว "ใจที่คิด" เป็นอะไร? ถ้าเรารู้ความจริง ทุกคนเป็นธรรมเหมือนกันหมด!! ไม่ใช่เขาเท่านั้นที่ไม่ดี เราก็ไม่ดี เพียงแต่ว่าขณะนั้น ดีหรือไม่ดี ตามเหตุตามปัจจัย

เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีความเข้าใจอย่างนี้ เราจะมีความเป็นเพื่อน เห็นใจ เข้าใจแต่ละคน เขาไม่อยากจะเป็นอย่างนั้นหรอก แต่ว่าเพราะความไม่รู้ เพราะการสะสมมาจึงเป็น ไม่เป็นไม่ได้ ตามเหตุตามปัจจัยที่สะสมมา คนดีก็ไม่ดีไม่ได้ สะสมมาที่จะดี คนไม่ดีก็จะดีไม่ได้ สะสมมาที่จะไม่ดี เพราะฉะนั้น อยู่ที่ "เหตุ"

ด้วยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงแสดงเหตุทั้งหมดของสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเกิดขึ้น ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะฉะนั้น ขณะที่ฟังเรื่องร้ายเรื่องดีต่างๆ ใจขณะนั้นเป็นอะไร เขาไม่ดี เขาไม่รู้ เขาจึงทำ น่าเห็นใจไหม? ในความที่สะสมมาในความไม่รู้ ที่ทำสิ่งที่เป็นโทษถึงอย่างนั้นได้ แล้วเราล่ะ ถ้าประมาท วันหนึ่งจะไม่เป็นอย่างนั้นหรือ? วาจาบางครั้งก็พลั้งพลาด พูดคำที่ไม่น่าพูดเลย แม้เล็กน้อยนิดเดียว แต่ทำให้คนอื่น สะเทือนใจ หรือว่า น้อยใจ หรือว่าขุ่นข้องใจแม้สักนิด ควรทำไหม?

เพราะฉะนั้น ความละเอียดของความเข้าใจธรรม จะทำให้คนนั้น เริ่มมีปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง ว่าสิ่งใดเป็นโทษ ควรเว้น แต่จะเว้นได้มากน้อยแค่ไหน แล้วแต่ความเข้าใจความจริงและการสะสมมา จึงมีบุคคลต่างระดับมาก เป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่ฟังอะไรเลย ไม่สนใจที่จะเข้าใจอะไรเลย ใครเปลี่ยนแปลงเขาได้? สะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น แต่อีกคนไม่เป็นอย่างนั้นเลย นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่เคยได้ยินมาก่อน ตรง อะไรถูกก็ถูก จะเป็นพระ จะเป็นคน อุบาสก อุบาสิกา อะไรก็แล้วแต่ทั้งหมด แต่ความจริงคือ ตรงต่อเหตุและผลว่า ดีคือดี ไม่ดีคือไม่ดี

เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ ถ้าไม่ฟังธรรมเลย แล้วจะบวช เพราะอะไร? ต้องมีต้นตอของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่พอใครจะบวชแล้วก็ดีใจ เขาจะบวช แต่เขาเข้าใจธรรมหรือเปล่า? แล้วเขาบวชเพื่ออะไร? เพื่อที่จะศึกษาเพราะเห็นโทษของความไม่รู้ หรือว่าเพราะไม่รู้จะทำอะไรก็บวช ออกจากงานแล้วก็บวช ว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไรก็บวช อย่างนั้นหรือ? ไม่เห็นประโยชน์ของคำว่า "สละ" ทุกอย่าง แม้แต่สิ่งที่เคยมีชีวิตที่สะดวกสบาย ก็เห็นโทษของการไม่รู้ความจริง แล้วจะรู้ความจริงได้ก็คือว่า เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น

ทำไมคนที่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไม่บวชกันให้หมด? เป็นไปได้อย่างไร ไม่ได้สะสมมา และรู้ว่าปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงได้ ไม่ต้องบวชก็รู้ได้ เพราะปัญญา แต่ถ้าบวชแล้วไม่ศึกษาธรรม ก็รู้ความจริงไม่ได้ ไม่ว่าใครทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น จึงเข้าใจถูกต้องทุกอย่าง ภิกษุคือใคร? ภิกษุในธรรมวินัย และ ภิกษุที่ไม่รู้ธรรมวินัย มีไหม? โดยเพศ แต่ว่า โดยความเป็นจริง ภิกษุคือผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ หญิงก็ได้ ชายก็ได้ เด็กก็ได้ ผู้ใหญ่ก็ได้ ที่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะการที่จะเห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ สังสาระ สืบต่อ วนเวียน ไม่รู้จบ ในสิ่งที่กำลังมีปรากฏในขณะนี้ เห็นแล้วเห็นเล่า ตั้งแต่เล็กจนโตก็เห็น ต่อไปจนกระทั่งตายก็เห็นอีก ไม่จบ ได้ยินอีก ได้กลิ่นอีก ลิ้มรสอีก รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสอีก เปลี่ยนไปเรื่อยๆ บังคับบัญชาเลือกไม่ได้ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แล้วรู้ไหมว่าอะไรเป็นเหตุที่หยุดยั้งไม่ได้ มีปัจจัยต้องเกิด แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เกิด ดับการเกิด

ต้องเข้าใจจริงๆ ยังไม่ถึงระดับนั้น ไม่ต้องห่วงใยว่าบวชไม่ได้ แต่ฟังธรรมได้ไหม เข้าใจได้ไหม รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า สามารถที่จะบวช ศึกษาธรรม อบรมปัญญา ในเพศบรรพชิต ได้ไหม? ถ้าไม่ได้ ไม่ต้อง!! ฟังธรรมเมื่อไหร่ เข้าใจเมื่อนั้น!!

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ตรัสรู้ ใช้คำว่าตรัสรู้ ไม่ใช่รู้เรื่องธรรมดาอย่างทั่วๆ ไป แต่ประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่เป็นจริงอย่างนี้ ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้น เมื่อรู้อย่างนี้ คนในสมัยโน้น หมอชีวกก็เป็นอริยสาวก ใครจะรู้บ้างว่าท่านรักษาโรค ท่านรักษาพระภิกษุ รักษาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วท่านก็เป็นพระโสดาบัน ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีผู้สร้างพระวิหารเชตวัน ก็เป็นพระโสดาบัน ไม่ต้องบวช ไม่ใช่บังคับฝืนใจว่า เรายังสนุกอยู่ เรายังชอบอยู่ อาหารยังอร่อยอยู่ แล้วจะให้เราไม่ชอบ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสอย่างนั้น ไม่ได้ให้ใครทำอะไรเลย ด้วยความไม่รู้ แต่สามารถที่จะรู้ ขณะที่กำลังโกรธ จริง ขณะนั้นเกิดแล้ว ไม่ใช่เรา ลักษณะนั้นเปลี่ยนไม่ได้ ขณะที่กำลังเพลิดเพลินสนุกสนาน จะฟังดนตรีหรือจะอะไรก็ตามแต่ ขณะนั้นจริง เกิดแล้ว ให้เห็นว่าเป็นความจริง บังคับบัญชาไม่ได้ แต่เป็นธรรม

เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ความจริง จนกระทั่งละความไม่รู้และความเห็นผิดว่าเป็นเราต้องไม่เหลือเลย เดี๋ยวนี้ตามปรกติในชีวิตประจำวัน เห็นความลึกซึ้งไหม กิเลสหนาเท่าไหร่ เหนียวแน่นเท่าไหร่ อยู่มานานเท่าไหร่ในสังสารวัฏฏ์ จะมีใครบอกว่าให้ละเสีย ละเสีย ละอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่าให้ละก็ยังไม่รู้เลยว่า ละอะไร? อย่างนั้น ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แน่นอน

คุณสมบุญ ม้าหาญศึก : กราบเรียนท่านอาจารย์สุจินต์ ท่านศาสตราจารย์พิเศษจรัญ ภักดีธนากุล และอาจารย์อรรณพ

เพื่อนๆ ชาวดีเอสไอครับ คำจริง ความจริง ไม่ใช่ของที่จะรู้ได้ง่ายๆ แต่ก็มีความจริงที่เราจะรู้ได้ ความจริงที่ผมรู้ เพื่อนๆ ลองคิดดูว่าจริงไหม หลังจากที่ผมได้ศึกษาแล้วบ้าง ผมก็พบความจริงก็คือ คุณพ่อคุณแม่ผม ไม่สามารถสร้างโรงพยาบาลที่ผมคลอดออกมาได้ด้วยเงินของท่านทั้งหมด มีเงินคนอื่นด้วย ผมเรียนประถม เรียนมัธยมที่โรงเรียนนั้น คุณพ่อคุณแม่ผมก็ไม่มีความสามารถที่จะสร้างโรงเรียนเหล่านั้นให้ผมเรียน ด้วยเงินของท่านเองทั้งหมด ซึ่งก็เป็นเงินของคนอื่นด้วย มหาวิทยาลัยที่ผมเรียนก็เหมือนกัน คุณพ่อคุณแม่ผมก็ไม่สามารถสร้างมหาวิทยาลัยสำหรับผมเรียนได้ ด้วยเงินของท่านเองทั้งหมด ก็อาศัยเงินของคนอื่นเหมือนกัน นี่ก็เป็นความจริง

จนกระทั่งผมมาประกอบสัมมาอาชีพ มารับราชการ เงินเดือนของแต่ละเดือน แต่ละบาท แต่ละบาท ก็ไม่ใช่เงินของคุณพ่อคุณแม่ผมอีกทั้งหมด เป็นเงินของคนอื่นด้วย นี่ก็เป็นความจริง เพราะฉะนั้น ความจริงที่เป็นพื้นฐานอย่างนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือธรรม เบื้องหลังของความจริงเหล่านี้ก็คือธรรม และความจริงเหล่านี้จะเห็นเลยว่า อาชีพของพวกเรา กับ พระภิกษุ คล้ายกันอยู่อย่างหนึ่ง คล้ายกันตรงที่ อาศัยก้อนข้าวของชาวบ้านเขา

ในพระธรรมวินัย ทรงแสดงให้เห็นว่า ภิกษุอาศัยก้อนข้าวของชาวบ้าน เพราะฉะนั้น ถ้าพระภิกษุนั้น ไม่มีคุณธรรมสูงพอ ตามที่ชาวบ้านคิด การอาศัยก้อนข้าวนั้น ก็คือมหาโจร แล้วก็ทำให้ผู้คนที่เป็นเจ้าของข้าวเหล่านั้น เขาไม่ได้ประโยชน์ ไม่ได้นาบุญเลย

ในขณะเดียวกัน เราข้าราชการก็เหมือนกัน เราก็อาศัยเงินของประชาชนคนอื่นๆ ด้วย เพราะเงินของคุณพ่อคุณแม่เรา ไม่สามารถมาถึงวันนี้ แล้วก็ไปถึงวันที่เรายังเกษียณอีก ดังนั้น ความที่เมื่อเราต้องอาศัยก้อนข้าวของชาวบ้านเหมือนกับที่พระภิกษุท่านอาศัยเหมือนกัน พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงว่าภิกษุต้องมีคุณธรรมของบรรพชิต ข้าราชการก็ต้องมีคุณธรรมของข้าราชการเหมือนกัน ให้สมกับก้อนข้าวที่เขาให้เรากิน จนกว่าวันที่เราจะลาจากโลกนี้ไป

เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้ความจริงอย่างนี้ เข้าใจความจริงอย่างนี้ และถ้าท่านเห็นว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง จริงๆ มีความเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ เวลาภิกษุท่านเป็นอลัชชีหรือไม่เป็นภิกษุในพระธรรมวินัย เราก็เพ่งโทษ เราก็โจทย์ หรือถึงกับต้องพ้นความเป็นภิกษุ แต่นั่นยังไม่น่ากลัวเท่ากับท่านไปอบาย ไปทันที ไปทันทีไม่มีอะไรคั่นกลาง ถ้ายังอยู่ในเพศนั้น!!

เราข้าราชการก็เหมือนกัน เราลองนึกดูว่า ถ้าเราไม่มีคุณใดเลยในระหว่างที่เราเป็นข้าราชการ แล้วเราก็กินเงินของเขา กินเงินของเขาอยู่ตลอดเวลา เราคิดหรือว่าเราจะไปที่ไหน? เป็ด ไก่ หมู ในเครือของที่เขาขายกัน เราอาจจะไปเป็นสมาชิกที่นั่นก็ได้ ทุกๆ บาท ทุกๆ บาท บาทละชาติ บาทละชาติ ก็ได้ อันนี้ก็เป็นความจริงที่พวกท่านอาจจะยังไม่เชื่อ ไม่เป็นไร เพราะวันที่ไปเป็นแล้ว เดี๋ยวท่านก็รู้ ท่านก็จะเชื่อเอง แต่อย่าให้ถึงวันนั้นเลย เพราะว่าถ้าเรามีปัญญา แล้วเราเข้าใจความจริงตรงนี้ เพียงแค่เราคิดจะหักหลังประชาชน คิดจะทุจริตต่อเงินตรงนั้น บางทีเราก็อาจจะหยุดลง เราไม่ได้บอกว่าเราเป็นคนดีที่ไม่คิดชั่ว มันสำคัญอยู่ที่ว่า เวลาคิดชั่วแล้ว เรารู้ไหมว่ามันชั่ว เพราะถ้ารู้ว่ามันชั่ว เราก็จะชะลอหรือยับยั้งไม่ทำ


ขอเชิญติดตามชมและฟังบันทึกการสนทนาในครั้งนี้ ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
napachan
วันที่ 12 พ.ค. 2566

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Selaruck
วันที่ 12 พ.ค. 2566

กราบแทบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์ที่เคารพยิ่ง

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลทุกประการของอาจารย์อรรณพ คุณวันชัยและทีมงานทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Kalaya
วันที่ 12 พ.ค. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ ที่ชาวพุทธมีโอกาสได้ฟังธรรม สนทนาธรรมเป็นมงคล สาธุค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ