ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๑๕

 
khampan.a
วันที่  4 มิ.ย. 2566
หมายเลข  46049
อ่าน  1,434

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๑๕



~ เห็นคุณค่าอย่างยิ่งจากการที่ไม่รู้ เป็นรู้ได้ จากคำที่มาจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โอกาสของการฟังพระธรรมก็ไม่แน่ว่าจะนานเท่าไหร่ จะมากหรือจะน้อย แต่ทุกครั้งที่ได้ฟังประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ก็คือ ได้เข้าใจความจริง

~ ทำไมฟังธรรม ฟังทำไม? ถ้ามั่นคงก็ตอบได้เลย ฟังเพื่อเข้าใจ คำนี้สำคัญที่สุด ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลยทั้งสิ้น อยู่มาในโลกนานเท่าไหร่ตั้งแต่เกิด เข้าใจหรือเปล่า จนกว่าจะได้ฟังธรรม เพราะฉะนั้น ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ ชื่อเสียงหรืออะไรทั้งสิ้น แต่ฟังเพื่อเข้าใจ

~ ถ้าไม่เริ่มเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้ เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงแล้วทรงแสดง ก็ไม่มีการที่จะรู้จักธรรมได้เลย เพราะเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังมีจริงๆ แต่ไม่เคยเข้าใจถูกต้อง จึงฟังคำของผู้ที่ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

~ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม และทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่อยู่ในตำราเลย ขณะนี้ทางตาที่กำลังเห็นก็เป็นธรรม ทางหูที่กำลังได้ยิน ความคิดนึก ล้วนเป็นธรรมทั้งนั้น เพื่อจะเตือนให้เราทราบว่า พระธรรมที่ทรงแสดงไม่ใช่อยู่ในตำรา แต่เราอาศัยการฟัง หรือการอ่าน หรือการสนทนา เพื่อที่จะช่วยให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

~ รู้ว่า ธรรม ยาก ลึกซึ้ง ก็ฟังต่อไป พิจารณาต่อไป เพราะไม่มีใครจะไปทำให้ปัญญาความเข้าใจเกิดขึ้นมากกว่านี้ได้ นอกจากแต่ละครั้งที่ได้ฟังแล้ว เป็นผู้ตรง เข้าใจแค่ไหนก็ตามเหตุตามปัจจัย จึงฟังอีก เพราะถ้าไม่ฟังอีก ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจมากกว่านี้ได้

~ อยู่มานานแล้วยังจะต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก เมื่อหมดความเป็นบุคคลนี้ ชาติหน้าเกิดเป็นคนใหม่ ก็หมดอีก ชาติก่อนเป็นใครก็หมดแล้ว ไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้น มี เพื่อหมด ชั่วคราวที่เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป ถ้าเข้าใจอย่างนี้จะเป็นคนดีขึ้นไหม จะไปทำชั่วทำไม ในเมื่อความชั่วเป็นเหตุที่จะทำให้เกิดผลชั่วที่จะได้รับในภายหน้า

~ จะทำดีเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องคอยเวลา ทำได้เลยทันที ความดีทั้งหมดไม่ต้องคอยเวลา เพราะไม่แน่ว่าจะได้ทำหรือเปล่า ก็ทำเสียเลย

~ โอกาสที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์คือ ขณะที่ได้ยินคำว่า “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” ผู้ที่เริ่มรู้จักพระคุณที่ลึกซึ้งสูงสุดก็ต่อเมื่อได้เริ่มฟังคำที่พระองค์ตรัสให้เข้าใจความจริงซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน เพราะฉะนั้น ไม่รีบร้อนที่จะไปรู้เรื่องต่างๆ มากมายที่พระองค์ทรงแสดง ๔๕ พรรษา แต่ต้องเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำที่ได้ฟังในความลึกซึ้ง

~ ไม่ประมาททุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งยากที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้น ก็ต้องศึกษาด้วยความเคารพด้วยความเข้าใจจริงๆ เพราะเหตุว่า ธรรม (สิ่งที่มีจริง) ไม่เปลี่ยน ธรรมต้องเป็นธรรม ธรรมหลากหลาย แต่ละหนึ่งๆ ไม่ได้ปะปนกันเลย

~ ขณะใดที่ปัญญาเกิดขึ้น ขณะนั้นเห็นอกุศล และยังเห็นความน่ารังเกียจของอกุศล เห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ขณะนั้นเป็นผู้ที่คิดถูก ทำถูก พูดถูก

~ เคยโกรธใคร เกลียดใคร ไม่ชอบใคร เขาไม่ได้ตามไปโลกหน้า แต่ว่าความโกรธ ความเกลียด ความไม่ชอบ จะติดตามบุคคลนั้นไป ดีไหมล่ะ มากด้วยอวิชชาความไม่รู้และอกุศลทั้งหลาย? เพราะฉะนั้น พระธรรมเท่านั้นที่จะทำให้สามารถเห็นถูกเข้าใจถูก แล้วก็เริ่มรู้โทษของอกุศลแล้วก็เห็นประโยชน์ของการที่จะทำดี ไม่ใช่เพื่อเรา แต่เพราะเหตุว่าเป็นธรรมฝ่ายดีซึ่งตรงกันข้ามกับธรรมฝ่ายไม่ดี แล้วก็ต้องศึกษาธรรมให้เข้าใจขึ้น

~ จิตใจของคน ส่วนใหญ่แล้วอกุศลทั้งนั้น ทั้งวัน โอกาสของกุศลน้อยมาก เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีอธิษฐานบารมี ก็เป็นผู้รู้ตัวว่า กิเลสยังเยอะ เพราะฉะนั้น ยังจะต้องอาศัยความตั้งใจมั่นจริงๆ ในการเจริญกุศล มิฉะนั้นแล้ว ก็จะพลาดให้อกุศลทุกที นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ต้องเห็นความสำคัญของจิตใจไม่หวั่นไหว เมื่อมีความตั้งใจที่จะเจริญกุศล และเมื่อมีโอกาสที่จะทำกุศล ความตั้งใจมั่นนั้นก็เป็นปัจจัยทำให้กุศลนั้นเกิดและสำเร็จได้

~ ต้องเป็นกุศลทั้งหมด จึงจะเป็นธรรมที่เป็นที่พึ่งได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ไม่ท้อถอยในการที่จะให้กุศลเกิดขึ้นแทนอกุศล อกุศลไม่ต้องทำอะไรเลย เกิดได้บ่อยๆ เกิดเรื่อยๆ เกิดขึ้นขัดขวางการกระทำกุศลหลายประการ เพราะฉะนั้น เวลาที่จะกระทำกุศลแต่ละครั้ง จะเห็นได้ว่า จะต้องมีความบากบั่น มั่นคง ไม่ทอดธุระในธรรมที่เป็นกุศล

~ ถ้าเป็นอกุศล ก็ไม่สามารถจะเข้าใจธรรมได้ เดี๋ยวนี้กำลังเป็นธรรม เพราะฉะนั้น อกุศลไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ กุศลเท่านั้นที่จะรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้น พอเห็นประโยชน์อย่างนี้ กุศลทุกประเภท ถ้าไม่เจริญ ไม่ทำ ไม่คิดถึง แล้วจะเอากุศลมาแต่ไหน

~ มีความเข้าใจธรรมขณะใด ขณะนั้นกายงาม วาจางามด้วย แต่ถ้าในขณะนั้นเป็นอกุศล กาย วาจาก็ไม่งาม การกระทำทางกายก็อาจจะกระทบกระเทือนคนอื่น วาจาก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อนได้ เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับปัญญาความเข้าใจ ต้องเข้าใจด้วยว่า ปัญญาทำให้ทุกอย่างที่เป็นอกุศล ค่อยๆ ลดลง

~ การไม่เกิดเป็นสิ่งที่ยาก ยากกว่าการเกิด เพราะว่าเมื่อมีปัจจัยแล้ว สิ่งนั้นก็ต้องเกิดขึ้น เป็นธรรมดา แต่การที่จะไม่ให้สภาพธรรมซึ่งมีเหตุปัจจัยเกิดสืบต่อ แล้วดับหมด ไม่มีการเกิดอีกเลย ก็ต้องเป็นสิ่งที่ยากมาก ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงแสดง เราไม่สามารถที่จะพ้นจากการเกิดได้ เราก็ต้องเกิดอย่างนี้ เพราะว่าเคยเกิดมาแล้วนานแสนนาน ถึงแม้ว่าใครจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่มีเหตุที่จะให้เกิด ก็ต้องเกิดเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น

~ แน่นอนอยู่แล้ว เราก็ต้องตาย แต่ถ้าเราเห็นประโยชน์ของพระธรรม ชีวิตของเราจะมีค่าขึ้นอีก เมื่อเราสามารถที่ให้พระธรรมดำรงอยู่ต่อไป แต่ว่าไม่ใช่โดยการที่เราไปให้กับคนที่เขาไม่พร้อม หรือว่าคนที่เขาไม่ได้สะสมมา เพราะนอกจากเป็นการเสียเวลาทั้งเขาทั้งเรา สิ่งที่ทำก็ไม่เกิดประโยชน์ ก็เอาเวลานั้นทำสิ่งที่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นว่าใครพร้อม หรือว่ามีศรัทธาจริงๆ เราก็ช่วยกันทำให้เขามีความเข้าใจขึ้น

~ ถ้าเราเคยเข้าใจผิดมาก่อน เคยรู้ผิด ปฏิบัติผิด หลงผิดมา เมื่อรู้แล้วจะทิ้งไหม จะเริ่มเห็นประโยชน์ของการที่ว่า แม้ความรู้ถูกเพียงเล็กน้อย ก็มีประโยชน์กว่าความผิดซึ่งจะผิดต่อไปอีกมากและก็ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดต่อไปเรื่อยๆ ด้วย เพราะฉะนั้น กล้าที่จะเป็นผู้ตรงต่อความจริงไหม ว่า เมื่อความจริงเป็นอย่างไร ไม่เปลี่ยน แล้วก็ให้คนอื่นค่อยๆ ตรงต่อความจริง ผิดคือไม่มีประโยชน์เลยสักนิดเดียว มีแต่จะทำให้ผิดต่อไป ส่วนความเห็นถูกขึ้น จะไม่ให้โทษเลยเพราะว่าเป็นความจริง

~
ใครกล่าวธรรมไม่ตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสแล้วเพราะฉะนั้น ความคิดของบุคคลนั้นเอง ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากไปกลบ ไปทำลายทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นโทษอย่างยิ่ง

~
เป็นเพื่อนที่ดีไหม เป็นมิตรที่ดีไหมที่จะให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น เขาจะคิดอย่างไรไม่สำคัญ แต่เราเห็นประโยชน์ที่ว่าถ้าวันหนึ่งเขาเข้าใจถูก จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ถ้าพูดสิ่งที่ถูกต้อง จะเกรงกลัวอะไร ให้ประโยชน์ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ไม่หวั่นไหวที่จะตรงตรงต่อความจริง



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๑๔



... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 4 มิ.ย. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
jaturong
วันที่ 4 มิ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ภาคภูมิอรุณศรี
วันที่ 4 มิ.ย. 2566

คำจริงทุกคำไพเราะอย่างยิ่งครับ

กราบบูชาอาจารย์สุจินต์ และ คณาจารย์มูลนิธิฯ ทุกท่านครับ

ที่ทำให้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Lai
วันที่ 5 มิ.ย. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 5 มิ.ย. 2566

ขอบคุณ​และ​อนุโมทนา​ค่ะ​

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
มังกรทอง
วันที่ 5 มิ.ย. 2566

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
มังกรทอง
วันที่ 5 มิ.ย. 2566

ฟังธรรมที่ท่านให้ ไม่หยุด คงมั่นหาสะดุด หวั่นได้ พึงขอกราบในพุทธ ปีติ นั่นแล นบอาจารย์สุจินต์ไว้ ยกเกล้าตลอดมา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
kullawat
วันที่ 20 พ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Wisaka
วันที่ 3 ม.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ