Thai-Hindi 10 June 2023
Thai-Hindi 10 June 2023
- (คราวที่แล้วพูดถึงจิต และท่านอาจารย์ชี้ให้เห็นถึงเจตสิกและคราวนี้จะสนทนาต่อเรื่องเจตสิก)
- เรื่องอะไรก็ได้ที่จะต้องเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่เป็นธรรม ทุกเรื่องเป็นชีวิตประจำวันแต่ไม่มีใครได้รู้ความจริงจนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำ
- สุนัขมีปฏิสนธิจิตไหม (มี) แล้วปฏิสนธิจิตของสุนัขเป็นจิตอะไร (เป็นอกุศลวิบาก) เป็นจักขุวิญญาณได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นเป็นจิตอะไรที่เป็นปฏิสนธิของสุนัขของแมว (เป็นปฏิสนธิจิต) จิตประเภทไหนเป็นปฏิสนธิจิตของนก แมว ปลา ปู (เป็นอกุศลวิบาก) อกุศลวิบากมีกี่ดวงกี่ประเภท (มี ๗)
- เห็นไหม พอเราพูดเรื่องเจตสิกไม่ได้หมายความว่าให้ลืมเรื่องจิตหมด แต่ฟังแล้วต้องเข้าใจถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ได้ฟังแล้ว ฟังต่อๆ ไปก็ลืมอีก
- จำไว้ทำไมที่เราเรียนแล้ว เวลาเราพูดถึงเจตสิกพูดถึงจิตอีก เข้าใจแค่ไหนต้องไม่ลืมมิฉะนั้นการฟังไม่มีประโยชน์เลย
- เพราะฉะนั้นถามอีกครั้งว่า สุนัข แมว นก ปฏิสนธิจิตเป็นจิตอะไร ประเภทไหน (สันตีรณะ) สันตีรณจิตมีกี่ดวง (มี ๒) สันตีรณจิตมีกี่ดวง (เข้าใจแล้วว่ามี ๓) ๓ ดวงอะไรบ้าง (สันตีรณอกุศลวิบาก ๑ อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก ๑ โสมนัสสันตีรณกุศลวิบาก ๑) ทั้งหมดมีกี่ดวง (๓) อกุศลวิบากสันตีรณะเกิดเป็นคนได้ไหม (ไม่ได้) แล้วคนที่เกิดในโลกนี้ต่างกันมากมายคนที่เกิดเป็นปฏิสนธิจิตสันตีรณวิบากได้ไหม (ไม่ทราบเหมือนไม่เคยได้ยิน) เราพูดแล้วหรือยัง (คุณสุคินจำได้ว่าพูดแล้ว)
- เพราะฉะนั้นยังไม่ต้องพูดถึงเจตสิกดีไหม (ยังไม่ต้องรีบไปสนทนาเรื่องอื่น) จนกว่าสิ่งที่เขาฟังเป็นความเข้าใจไม่ใช่จำ
- วันนี้เราจะพูดเรื่องสันตีรณะที่เป็นวิบากจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ ๓ ดวง “อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก” คืออะไร (เป็นอกุศลวิบาก) หมายความว่าอะไร “อกุศลวิบาก” (เป็นผลของอกุศลกรรม) อกุศลกรรมอะไร (เป็นแบบไหนก็ได้)
- เป็นอกุศลกรรมทุกประเภทให้ผลเป็นอกุศลวิบากกี่ดวง (ทั้งหมด ๗ ดวง) น้อยกว่านั้นได้ไหม (ไม่ได้) มากกว่านั้นได้ไหม (ไม่ได้) สัมปฏิจฉันนะอกุศลวิบากทำกิจอะไร (พิจารณาอารมณ์) ขอโทษนะคะ สัมปฏิจฉันนะ (ยังสับสนอยู่)
- จักขุวิญญาณเป็นอกุศลวิบาก สัมปฏิจฉันนะเป็นกุศลวิบากได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นอกุศลวิบากทั้งหมดมีเท่าไหร่ (๗)
- เพราะฉะนั้นอกุศลวิบากให้ผลทำให้เกิดได้ไหม (ได้) สัมปฏิจฉันนะอกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิได้ไหม (ไม่ได้) จักขุวิญญาณทำได้กี่กิจ (๑) สัมปฏิจฉันนะทำกิจอะไรได้ (รับอารมณ์ต่อ) ทำกิจอื่นได้ไหม (ไม่ได้) สัมปฏิจฉันนะทำปฏิสนธิกิจได้ไหม (ไม่ได้) อกุศลวิบากทั้งหมดมีกี่ดวง (๗)
- เพราะฉะนั้นอกุศลวิบากที่ทำกิจปฏิสนธิได้แก่จิตอะไร (สันตีรณะ) สันตีรณะอกุศลวิบากทำกิจเกิดเป็นเทวดาได้ไหม (ไม่ได้) ทำกิจเกิดเป็นมนุษย์ได้ไหม (ไม่ได้)
- เพราะฉะนั้นอกุศลวิบากอเหตุกะมีกี่ดวง (๗) อกุศลวิบากสันตีรณะทำกิจอะไร (ทำกิจสันตีรณะกับปฏิสนธิ) ๒ กิจหรือ ทำกิจอะไรอีก (จำได้ว่าทั้งหมดมี ๕ แต่พูดถึง ๔ คือ ๑ สันตีรณะ ๒ปฏิสนธิ ๓ ภวังค์ ๔ จุติ อันที่ ๕ ยังไม่ได้พูดถึง) ที่พูดอย่างนี้เพื่อให้รู้ทุกครั้งที่เห็นสัตว์ เป็นนกเป็นปู เป็นปลา ให้รู้ว่าเป็นผลของกรรมที่ทำให้เกิดเป็นอย่างนั้น
- เพราะฉะนั้นเหมือนกับที่เราอาจจะพูดคราวนี้และเป็นคราวก่อนของคราวต่อไปแต่เขาก็ไม่รู้ เขาลืมแต่ต้องถามให้เขาคิดถึงจะรู้ว่า เขาจำได้แค่ไหน เขาเข้าใจละเอียดได้แค่ไหน เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของคนฟังที่จะต้องไตร่ตรอง ถ้าไปบอกเขาหมดคราวหน้าเขาก็ลืมเหมือนเราบอกเขาคราวก่อนและคราวนี้เขาก็ลืม แต่ว่าจะเตือนความจำโดยการที่ถามเพื่อที่จะรู้ว่า เขาจำได้แค่ไหน เขาลืมจุดไหน เขาเข้าใจมากน้อยเท่าไหร่ มิฉะนั้นเราจะไม่รู้จักคนที่เรากำลังพูดด้วยว่า เราจะช่วยให้เขาเข้าใจได้อย่างไร
- ถ้าเขาเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องคิดถึงชื่อ เพราะฉะนั้นเวลาที่เขาเห็นงูรู้เลยว่านี้เป็นผลของกรรมเป็นประโยชน์กว่าที่จะไปคิดว่า ปฏิสนธิจิตของงูเป็นอะไร
- งูไม่ใช่นก ไม่ใช่ตุ๊กแก ไม่ใช่จระเข้ เพราะแม้ปฏิสนธิเป็นจิตประเภทเดียว เป็นอกุศลวิบาก เป็นผลของอกุศลกรรม ขณะนั้นไม่ได้ทำหน้าที่เห็น ไม่ได้ทำหน้าที่ได้กลิ่น ไม่ได้ทำหน้าที่รับ แต่ขณะที่รับรู้ต่อขณะนั้นสามารถทำให้เกิดปฏิสนธิจิตและการที่สัตว์ต่างๆ หลากหลายแสดงให้เห็นกรรมที่หลากหลายมาก และจากคนก็อาจจะไปเป็นนก เป็นงู เป็นจระเข้ที่ไหนก็ได้ เป็นการเตือนให้เห็นโทษของอกุศล
- คุณอาช่าตายไปเกิดเป็นเสือได้ไหม (ได้) เสือก็มีหลายชนิด ไม่ใช่อย่างเดียวกัน เสือก็มีหลายประเภท เสือตาบอดก็มีได้ไหม (ได้) เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ อกุศลวิบากกรรมใดๆ ที่ได้ทำแล้วจะทำให้จิตที่เป็นผลเกิดได้เป็นจิตเพียง ๗ ประเภทเท่านั้น
- ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีความเมตตาใดๆ ในขณะที่เป็นผลที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเป็นอเหตุกอกุศลวิบากอุเบกขาสันตีรณะ
- เพราะฉะนั้นอีกครั้ง อเหตุกอกุศลวิบากสันตีรณะทำกิจปฏิสนธิเป็นอะไรบ้าง (เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต และทุกสัตว์ที่ต่ำกว่าเป็นเปรต เป็นสัตว์เดรัจฉาน)
- เพราะฉะนั้นจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ … จนถึงสัมปฏิจฉันนะมีเจตสิกเกิดไม่เท่ากันใช่ไหม (ไม่เท่ากัน) อะไรมากกว่า (สัมปฏิจฉันนะมีเจตสิกมากกว่า) นี่เป็นการเริ่มเข้าใจความต่างว่า จิตต่างกันเพราะเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยต่างกัน
- เพราะฉะนั้นการที่เราเรียนเรื่องเจตสิกเพื่อเข้าใจจิตเพิ่มขึ้นว่า จิตหลากหลายมากตามประเภทของจิตที่ประกอบด้วยเจตสิกต่างกัน เข้าใจไหม (เข้าใจ)
- เพราะฉะนั้นให้รู้ไม่ใช่ให้ไปนั่งนับเจตสิกแต่ให้รู้ว่า กรรมที่ได้กระทำแล้วทั้งหมดทำให้เกิดผลของกรรมนอกจากเกิด ไม่ใช่เกิดเป็นคน เกิดเป็นเทวดา ฯลฯ หรือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดในนรก แต่ยังทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นเพียงแค่เห็น การที่เราบอกว่า มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๗ ดวงแสดงให้เห็นว่า กรรมสามารถทำให้จิตและเจตสิก ๗ ดวงนี้เกิดขึ้นแสนสั้นและไม่สามารถจะคิดไม่สามารถจะเป็นกุศลอกุศลใดๆ เลย เพียงแค่เกิดขึ้นเห็น ๑ ขณะ เพราะฉะนั้นการศึกษาเรื่องจิตเจตสิกไม่ใช่ให้นั่งนับจิตเจตสิกแต่ให้เข้าใจว่าต่างกันอย่างไรแต่ละ ๑ ขณะ
- ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใครจะรู้ว่า เห็นเดี๋ยวนี้ ๑ ขณะนับไม่ถ้วนจนปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ เพื่อให้เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นรู้ไม่ได้ว่า จิตขณะนี้มีเท่าไหร่ จิตเพียงจิตเห็นอย่างเดียวนับไม่ถ้วน
- การศึกษาธรรมไม่ใช่ไปจำเจตสิกจำเรื่องราวต่างๆ แต่ให้มีความเข้าใจที่มั่นคงว่า ขณะนี้เป็น“ธรรม” แต่ละ ๑
- ถ้าไม่เข้าใจธรรมแต่ละ ๑ ละเอียดขึ้นชัดเจนขึ้นไม่สามารถจะละความเห็นว่า “เป็นเรา” เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เพื่อเข้าใจ” เป็นการศึกษาสิ่งที่กำลังมีซึ่งไม่เคยรู้มาเลยในชีวิตประจำวันทั้งหมด
- ธรรมไม่ใช่สำหรับจำ แต่ขณะใดก็ตามที่เห็นสามารถรู้ได้ว่า ไม่มีใครทำให้เห็นเกิดเลยนอกจากกรรมที่ได้กระทำแล้ว
- ไม่มีใครทำให้เห็นสิ่งที่น่าพอใจ แต่เมื่อสิ่งที่ปรากฏที่เห็นแล้วเป็นสิ่งที่น่าพอใจก็รู้ได้ว่า เพราะกรรมทำให้เห็นสิ่งนั้น ขณะที่เข้าใจอย่างนี้มีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยมากกว่าเห็นที่กำลังเห็น
- การฟังเรื่องเจตสิกไม่ใช่เพื่อ “เราเข้าใจเจตสิก” แต่เพื่อรู้ความจริงว่า เจตสิกไม่ใช่จิตและเจตสิกเกิดพร้อมจิต เพราะกรรมเป็นปัจจัยทำให้จิตที่เป็นผลของกรรมหรือวิบากเกิดขึ้นพร้อมวิบากเจตสิก ทั้ง ๒ อย่างที่เกิดอาศัยกันและกันเกิดโดยกรรมเป็นปัจจัย
- เป็นการยืนยันว่า แต่ละขณะไม่มีใครสามารถทำอะไรได้แต่แต่ละ เป็นธรรม ถ้าไม่รู้ก็ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นของของเรา
- เพราะฉะนั้น เรียนเรื่องจิตเพื่ออะไร (เพื่อเข้าใจความจริง) เมื่อไหร่ (ปัจจุบันตอนนี้) ปัจจุบันหมายความว่าอะไร (เช่นตอนนี้) ปัจจุบันไม่ใช่เช่น “เดี๋ยวนี้”
- (เห็น) ได้ยินด้วยหรือเปล่า (มีด้วย) ไม่ค่ะ เพื่อเข้าใจอะไร (เมื่อไหร่เข้าใจเห็นไม่ได้เข้าใจได้ยิน) ฟังดีๆ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจอะไร (เพื่อเข้าใจความจริงที่ปรากฏอยู่ตอนนี้) เพื่อเข้าใจเดี๋ยวนี้ แต่ว่ายังไม่ได้ประจักษ์แจ้งความจริงตามที่เข้าใจ
- เริ่มเข้าใจเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ทุกคนกำลังฟังและเข้าใจเป็นความจริงที่พระองค์ได้ทรงประจักษ์แจ้งทุกอย่างถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง
- พระองค์ทรงแสดงความเข้าใจตามลำดับ ถ้าไม่มีความเข้าใจจากการที่ได้ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงเลยสามารถจะรู้ความจริงของสิ่งที่เกิดแล้วดับขณะนี้ได้ไหม สิ่งที่มีจริงทุกขณะทั้งวันทุกวันเป็นธรรมแต่ละ ๑ ทั้งหมด ต้องฟังให้เข้าใจละเอียดขึ้นจึงจะละความสงสัยและความไม่รู้ได้
- คนที่เกิดในนรกขณะที่เกิดมีจิตไหม (มีจิต) มีเจตสิกไหม (มี) มีรูปไหม (มี) อะไรทำให้จิตเกิดทำให้เจตสิกเกิด ทำให้รูปเกิด (กรรมที่เกิดในชาติก่อน) อะไรเป็นปัจจัยให้เกิด (อกุศลกรรม) ถ้าไม่มีอกุศลกรรมจะเกิดในนรกได้ไหม (ไม่ได้)
- เพราะฉะนั้น จิตที่เป็นอเหตุกอกุศลวิบากเกิดเป็นมนุษย์ได้ไหม (ไม่ได้) แล้วอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากทำให้เกิดเป็นมนุษย์ได้ไหม (ได้)
- คุณอาช่าเกิดจากอเหตุกสันตีรณกุศลวิบากหรือเปล่า (เป็นไปได้) เดี๋ยวค่ะ คุณอาช่าเกิดเป็นสันตีรณกุศลวิบากจิตหรือเปล่า (คิดว่าอาจจะได้) ไม่มีคำว่า “อาจจะ” ได้หรือไม่ได้ (ไม่ทราบว่าใช่หรือไม่) และนอกจากอเหตุกกุศลวิบากที่ทำให้เกิดแล้ว เกิดเป็นมนุษย์เกิดเป็นเทวดาเพราะอะไร (ไม่ทราบ)
- คนที่เกิดมาต่างกันหรือเหมือนกัน (ต่างกัน) คนพิการตาบอดตั้งแต่เกิดมีไหม (มี) เป็นผลของกุศลหรือเปล่า (ถ้าเป็นมนุษย์ก็ต้องเป็นผลของกุศล) แล้วทำไมต่างกับคนอื่นที่ตาไม่บอดตั้งแต่เกิด (ต่างกันตรงกำลังของกุศล)
- เห็นไหม ถ้าคิดไตร่ตรองจะเห็นปัจจัยหรือเหตุว่า กุศลมีหลายระดับมาก เพราะฉะนั้น การให้ผลก็ต้องต่างกันด้วย เพราะฉะนั้น กุศลกรรมที่ทำอย่างอ่อนมากให้ผลทำให้เกิดได้เป็นมนุษย์ได้แต่ว่าพิการตั้งแต่กำเนิด ไม่เหมือนกุศลที่มีกำลังที่ไม่ได้ทำให้พิการ
- เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้เห็นอะไรก็รู้ในความเป็นธรรม เป็นจิตและเจตสิกที่ได้กระทำแล้วที่เป็นเหตุ นี่แสดงให้เห็นว่า การศึกษาธรรมเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีในโลกตามปกติที่ไม่เคยรู้
- คนที่เกิดเป็นมนุษย์ เราพูดถึงเฉพาะมนุษย์ก่อนก็ได้เพราะเราเกิดในโลกมนุษย์ ต่างกันหรือเหมือนกันที่ไม่พิการ (ต่างกัน) อะไรเป็นเหตุให้ต่างกัน (เป็นผลของกุศลกรรมที่ต่างระดับกัน) เริ่มเข้าใจว่าเมื่อกุศลกรรมที่เป็นเหตุต่างกัน ผลก็ทำให้เกิดต่างกัน
- เพราะฉะนั้น จิตที่ต่างๆ กันไปเพราะอะไร (เจตสิกที่เกิดกับจิตต่างกันจำนวนต่างกัน) เพราะฉะนั้นจิตเป็นจิตแต่จิตต่างกันเป็นประเภทต่างๆ เพราะเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยเป็นประเภทต่างๆ กัน
- เพราะฉะนั้น คนที่ไม่สนใจธรรมเลย ฟังธรรมไม่รู้เรื่องเลย พูดอะไรก็ไม่เข้าใจเลยมีไหม (มี) เวลาเขาทำกุศลเขารู้ไหมว่า เป็นกุศล (ไม่รู้) เพราะอะไร (เพราะไม่มีความเข้าใจ) นี่คือเริ่มรู้ว่า แม้ความเข้าใจก็เป็นเจตสิก ไม่เกิดแล้วจะให้รู้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟังได้อย่างไร
- เพราะฉะนั้น เราจะค่อยๆ เริ่มเข้าใจเจตสิกซึ่งไม่ใช่จิตแต่เป็นเจตสิกเฉพาะที่มีลักษณะแต่ละ ๑ ไม่ปะปนกัน เราต้องศึกษาเข้าใจสิ่งนี้เพื่ออะไร (เพื่อเข้าใจว่าอะไรที่เกิดขึ้นอยู่ไม่ใช่เราที่ทำแต่เป็นจิตเจตสิกที่เกิดทำหน้าที่ตัวเอง)
- ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสามารถรู้ไหมว่า ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑เท่านั้น (ถ้าไม่ได้ฟังคำสอนของพระพุทธองค์ไม่สามารถรู้ได้)
- รู้เพียงเท่านี้พอที่จะละการยึดถือว่าเป็นเราได้ไหม (ไม่ได้ ยังต้องฟังอีกเยอะ) นี่เป็นเหตุที่เห็นประโยชน์เพราะว่ามีความเห็นที่ถูกต้องเป็นเจตสิกเป็นปัญญาเจตสิกเกิด
- ขณะรับประทานอาหารรู้ไหมว่า ขณะนั้นอะไร (ไม่ทราบ) แสดงให้เห็นว่า ต้องฟังอีก เข้าใจอีก จนกว่าขณะนั้นเข้าใจว่า เป็นอะไร
- เพราะฉะนั้น ความเข้าใจพระธรรมจากการฟังเริ่มจากเป็นการเข้าใจ “เรื่องของธรรม” ที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ต้องมีความเข้าใจว่า สามารถที่จะระลึกได้ จำได้ เข้าใจได้ในสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ใช่เพียงแต่ฟังแล้วลืม
- กว่าจะเข้าใจมั่นคงจริงๆ ว่าไม่มีเรา สามารถที่จะรู้ในขณะที่เดี๋ยวนี้เป็นแต่ละ ๑ นานเท่าไหร่ (ไกลมาก) เพราะฉะนั้นจึงมีความเข้าใจธรรม ๓ รอบ
- รอบที่ ๑ ฟังเข้าใจ “เรื่องของสิ่งที่มีจริง” มั่นคง “อธิษฐานบารมี” สิ่งที่ได้ยินได้ฟังกำลังมีเดี๋ยวนี้ทุกขณะ กว่าจะรู้ตรงสิ่งที่มีทีละ ๑ เดี๋ยวนี้ เพิ่มความเข้าใจขึ้นจนประจักษ์แจ้งความจริงตรงตามที่ได้ฟังเป็นรอบที่ ๓
- ฟังอย่างนี้เข้าใจอย่างนี้เป็นรอบที่ ๑ หรือยังในอริยสัจ ๔ (รอบแรกก็ยังไม่เต็มที่) ถูกต้อง ต้องไม่ประมาทความลึกซึ้งของแต่ละคำที่ได้ฟัง ฟังจนกว่าจะเข้าใจมั่นคงในอริยสัจธรรม ๔ รอบที่หนึ่งคือมั่นคงว่าเป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น
- อริยสัจ ๔ ที่ ๑ คืออะไร (ทุกข์) ทุกข์คืออะไร (ทุกอย่างที่มีจริงคือทุกข์) ทุกข์อย่างไร ไม่มีคำตอบเพราะฉะนั้นถามว่า ทุกขอริยสัจจะคืออะไร (ทุกข์คือ ถ้าไม่รู้ความจริงคือทุกข์) นั่นไม่ใช่ “ทุกฺขอริยสจฺจ” เห็นไหมต้องเข้าใจความหมายของคำว่า “ทุกฺข” เข้าใจความหมายของ “อริยสจฺจ” (เข้าใจแล้วว่าทุกอย่างที่เกิดแล้วดับนั่นคือทุกข์)
- ทุกข์คือสิ่งที่มีจริงที่เป็น “อริยะ” คือประเสริฐที่สุดที่ใครเปลี่ยนไม่ได้ ธรรม ทุกขอริยสัจจะเป็นความจริงที่ใครเปลี่ยนไม่ได้ในสภาวะที่เป็นทุกข์
- อะไรที่เป็นทุกข์บอกมาทีละ ๑ (เห็น ได้ยิน สัมผัสทางกาย คิด) ทำไมว่า เห็นเป็นทุกข์ (เพราะเห็นเกิดแล้วดับ) เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นเกิดหรือเปล่าดับหรือเปล่า (เกิดแล้วดับ) เป็นอริยสัจจธรรมหรือยัง (ไม่ได้เป็นความเข้าใจระดับนั้น) นี่คือรอบที่ ๑ ของความเข้าใจอริยสัจจะข้อที่ ๑
- สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นทางตาเป็นทุกขอริยสัจจะหรือเปล่า (เป็นทุกขอริยสัจจะ) รอบไหน (รอบที่ ๑) เพราะฉะนั้น ต้องมั่นคงจริงๆ ต้องรอบรู้ไม่ว่าจะพบคำว่า ปฏิจสมุปบาท หรือขันธ์ ฯลฯ ก็คือ ธรรมทั้งหมดที่เกิดดับเป็นทุกขอริยสัจจะทั้งหมดแน่นอนเปลี่ยนไม่ได้
- เห็นเดี๋ยวนี้เป็นทุกขอริยสัจจะหรือเปล่า (เป็นแค่ขั้นฟัง) ต้องรอบรู้จริงๆ เพราะฉะนั้นเมื่อรู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นปริยัติรอบที่ ๑ รอบที่ ๒ จะคืออะไร (เข้าใจว่าขั้นปริยัติก็ต้องเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว มีความต่างกันฟังครั้งเดียวกับฟังหลายครั้งก็ต้องต่างกัน) เพราะฉะนั้นคำถามถามว่าอะไร (ถามว่าขั้นต่อไปเมื่อไหร่)
- เพราะเหตุว่า มีความเข้าใจธรรม ๓ ระดับใช่ไหม (ใช่) เห็นเดี๋ยวนี้เป็นธรรมหรือเปล่า (เป็นธรรม) เป็นสัจธรรมหรือเปล่า (เป็น) เป็นอริยสัจจธรรมหรือเปล่า (เป็น) เพราะฉะนั้น ความเข้าใจมั่นคงไหมว่า ทุกขอริยสัจจะคือสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เกิดดับ เพราะฉะนั้น อันนี้เป็นความเข้าใจในขั้นปริยัติรอบที่ ๑ ในอริยสัจจธรรมที่ ๑
- เพราะฉะนั้น อริยสัจรอบที่ ๑ ปริยัติในอริยสัจรอบที่ ๑ คือรู้ว่า ธรรมทั้งหมดที่เกิดต้องดับคือ อริยสัจรอบที่ ๑ แล้วรู้ไหมว่า ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่ปรากฏอย่างที่เป็นจริง (รู้ว่าเกิดแล้วดับแต่ยังไม่เห็นว่าเกิดแล้วดับ) นั่นคือความเข้าใจปริยัติรอบที่ ๑ ในอริยสัจข้อที่ ๑ ใช่ไหม
- ปริยัติคือรอบรู้ขั้นต้นในอริยสัจ ๔ ทั้ง ๔ แต่ที่เรากล่าวถึงเป็นความรอบรู้ในอริยสัจที่ ๑ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ยังไม่ได้รอบรู้ในอริยสัจที่ ๒ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น อริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง (๑ ทุกข์ ๒ เหตุ ๓ นิพพาน ๔ หนทาง)
- เขารอบรู้ในอริยสัจไหนบ้าง (รู้ว่า เห็นเป็นทุกข์และรู้ด้วยว่าที่เกิดและดับเพราะความติดข้องเท่ากับเข้าใจอริยสัจที่ ๒ ด้วย)
- จิตเห็นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดดับหรือเปล่า (เกิดดับ) แล้วอะไรเป็นเหตุ (ความติดข้อง) นี่เป็นการอ่านหนังสือแล้วก็คิดแต่ว่าตามความเป็นจริงขณะนี้สภาพธรรมเกิดดับแต่ไม่รู้ใช่ไหม แสดงว่าตราบใดที่ไม่รู้สภาพธรรมก็เกิดดับไปเรื่อยๆ ใช่ไหม นอกจากความไม่รู้แล้วยังพอใจติดข้องในสิ่งที่มีที่ไม่รู้ด้วย
- เพราะฉะนั้น มีความเข้าใจถูกต้องว่า ตราบใดที่ไม่รู้และติดข้องตราบนั้นก็เป็นอย่างนี้เป็นเหตุให้เกิดทุกขอริยสัจจะข้อที่ ๑ เหมือนที่เคยเกิดมาแล้วในแสนโกฏิกัปป์ในสังสารวัฏฏ์และก่อนนั้นก็เป็นอย่างนี้เพราะว่า ไม่รู้ความจริงและติดข้องเป็นเหตุให้เกิดสภาพธรรมที่เกิดดับตลอดเวลา
- ถ้าไม่รู้ความจริง ไม่ประจักษ์แจ้งความจริง สามารถที่จะไม่ให้สิ่งที่เกิดแล้วเกิดต่อไปอีกได้ไหม (ไม่ได้)
- เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่า ขณะนี้เองทุกอย่างที่ปรากฏเกิดแล้วก็ดับติดต่อกันเร็วมาก ไม่รู้ ถ้าประจักษ์แจ้งจริงๆ ก็จะค่อยๆ ละความไม่รู้และความติดข้องจนกว่าจะดับหมดเกิดอีกไม่ได้เลย เป็นไปได้ไหม (เป็นไปได้) เมื่อไหร่ (เมื่อความเข้าใจเจริญพอถึงขั้นนั้น) เมื่อไหร่พอ (เมื่อรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏเกิดแล้วดับ)
- ไม่ใช่เท่านั้นแล้วไม่เกิดอีกด้วย ขณะนั้นก็รู้แจ้งสภาพธรรมที่ดับกิเลสไม่เกิดเลยเป็น “นิพพาน” อริยสัจจะที่ ๓ เพราะฉะนั้นนี่เป็นปริยัติรอบที่ ๑ ในอริยสัจจะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓
- มีหนทางที่จะถึงการเข้าใจธรรมและประจักษ์แจ้งการเกิดดับและรู้ว่าตราบใดที่ยังติดข้องสภาพธรรมนั้นก็ต้องเกิดดับเพราะความไม่รู้ จนกระทั่งสามารถรู้ขณะที่สภาพธรรมที่ดับแล้วไม่เกิดอีกเลยเป็นอริยสัจที่ ๓ เพราะอะไรจึงเป็นอย่างนั้นได้ (โดยการฟังและสนทนาธรรม) มีหนทางอื่นไหม (ไม่มี)
- นี่คือความมั่นคง “อธิษฐานบารมี” รอบที่ ๑ ในอริยสัจ ๔ และความเข้าใจเดี๋ยวนี้ทุกขณะเป็นอริยสัจจธรรมที่จะนำไปสู่การประจักษ์แจ้งว่า หนทางอื่นไม่มี
- เพราะฉะนั้น การที่ไม่เข้าใจอะไรเลยแล้วไปปฏิบัติเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า (มานิชตอบว่าจะนั่งสิบปีร้อยปีถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีวันเข้าใจ) นี่คือความรอบรู้ในปริยัติรอบที่ ๑ ในอริยสัจ ๔
- ความรู้มีจริงๆ ไหม (มีจริง) ความรู้ความเข้าใจถูกมีจริงไหม (มี) ความเห็นผิดมีไหม (มี) เป็นธรรมหรือเปล่า (เป็น) เป็นธรรมอะไร (เจตสิก) ถูกต้อง นี่คือการเริ่มเข้าใจเจตสิกเป็นสภาพธรรมที่ไม่ได้มีชื่อไว้สำหรับเรียก แต่มีลักษณะเฉพาะแต่ละ ๑ ทำให้เป็นเจตสิกแต่ละ ๑
- เจตสิกเป็นจิตหรือเปล่า (ไม่) จิตเป็นเจตสิกหรือเปล่า (ไม่) จิตเป็นคุณมานิชหรือเปล่า (ไม่) เจตสิกเป็นคุณอาช่าหรือเปล่า (ไม่) ความไม่รู้เป็นคุณอาคิ่ลหรือเปล่า (ไม่) เวลาโกรธเป็นอะไร (เจตสิก) เป็นสุนัขโกรธ เป็นแมวโกรธหรือเปล่า (ไม่ใช่) เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นธรรมหรือบางอย่างไม่ใช่ธรรม (ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม)
- ธรรมเป็นโต๊ะหรือเปล่า (บางคนตอบว่าเป็น บางคนตอบว่าไม่เป็น) เป็นธรรมอะไรที่ตอบว่าเป็น (แข็งไม่ใช่โต๊ะ) แล้วโต๊ะเป็นธรรมหรือเปล่า (ไม่เป็น)
- เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่า ธรรมมีอะไรบ้าง ขณะที่เห็นมีเจตสิกไหม (มี) ขณะที่คิดมีเจตสิกไหม (มี) มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่ากันไหม (ไม่เท่ากัน) จิตไหนมีเจตสิกมากกว่า (คิด) นี่เป็นการที่เริ่มรู้เรื่องเจตสิก
- ทุกคนเริ่มเข้าใจดีขึ้นมั่นคงขึ้น นี่เป็นการศึกษาธรรมซึ่งเร็วมากสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ก็ยินดีด้วยกับกุศลทุกคนต้องมั่นคงในความลึกซึ้งของพระธรรม สวัสดีค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลคุณสุคินและผู้ร่วมสนทนาชาวอินเดียทุกท่าน
ขอบพระคุณและอนุโมทนา คุณอัญชิสา (คุณสา) คุณจิรัชพรรณ์ (คุณซี) ในความอนุเคราะห์ครับ
กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นในกุศลทุกประการครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดี
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ เป็นอย่างยิ่ง ที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ ทุกคำ เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง
และยินดีในกุศลของผู้ช่วยตรวจทาน และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ