ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๒๐
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๒๐
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม คือ แสดงเรื่องของธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยให้ปัญญารู้ ไม่ใช่ให้ทำอย่างอื่น เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมเกิดแล้ว โดยความเป็นอนัตตา โดยเหตุโดยปัจจัย ไม่ใช่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดทำ เพราะฉะนั้น ปัญญาก็เพียงรู้ให้ถูกต้องตามลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีแล้วในขณะนี้
~ เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรมหรือไม่? ถ้าฟังอีกก็จะเข้าใจเพิ่มมากขึ้น ถ้าเห็นประโยชน์แล้วจะฟังแน่ๆ เพราะว่า เราฟังอย่างอื่นมามากแล้ว แต่การได้ฟังพระธรรม เป็นการฟังสิ่งที่มีประโยชน์กว่าสิ่งใดๆ ที่เราเคยฟังทั้งหมดทั้งสิ้น
~ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งอย่างยิ่ง ให้เห็นคุณค่าค่อยๆ ไตร่ตรอง ค่อยๆ เข้าใจ และความเข้าใจนั่นแหละจะทำให้เป็นคนดี เพราะปัญญารู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรเป็นโทษ อะไรเป็นประโยชน์
~ ถ้ามีความเข้าใจความจริงอย่างถูกต้อง ก็จะรู้ว่า ความไม่รู้เป็นเหตุนำมาซึ่งกิเลสซึ่งเป็นความไม่ดีงามทั้งหมด ความทุจริตทั้งหมด ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ ทั้งในการทำหน้าที่การงาน เรื่องครอบครัว ทุกอย่าง เป็นเพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริง ว่า ถูกคืออะไร ผิดคืออะไร และธรรมคืออะไร
~ ไม่เหลือเลยสักอย่างเดียว เป็นอย่างนี้โดยตลอด ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีอะไรเหลือเลย เห็นเมื่อกี้ หมดแล้ว ได้ยินเมื่อกี้ หมดแล้ว ทุกอย่างผ่านไป
~ เกิดคนเดียว ตายคนเดียว จะเป็นคนนี้ได้เพียงชาตินี้ชาติเดียว เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะทำความดี โอกาสที่จะเข้าใจธรรม ซึ่งเป็นหนทางที่จะแก้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ ควรที่จะต้องเร่งรีบทำ เพราะมิฉะนั้นแล้ว ก็ไม่สามารถจะแก้ไขอะไรได้ แต่ละคนเริ่มที่ตนเองแล้วต่อไปทั้งหมดก็จะมีกำลังขึ้น
~ หนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นหนทางที่ทำให้พ้นจากความไม่รู้ รวมถึงความติดข้องยินดีพอใจและกิเลสประการ
อื่นๆ ด้วย
~ ความตายจะเกิดเมื่อใด ก็เพียงหนึ่งขณะจิต เกิดแล้วก็ดับ จิตนั้นทำกิจหน้าที่เคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิง จะกลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลยแม้หนึ่งขณะ จะเอาเงินมากมายมหาศาลที่จะทำให้อยู่ต่อไปอีกหนึ่งขณะ ก็ไม่ได้
~ ไม่รู้ว่าจะจากโลกนี้ไปวันไหน สิ่งใดที่ควรทำ ก็ควรทำทันที จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
~ ยากที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และเมื่อเกิดมาแล้วทุกคนต้องตายแต่ก่อนตายควรที่จะได้เป็นคนดี ถ้าเข้าใจธรรมเป็นคนดีขึ้นแน่นอนในชีวิตนี้สิ่งที่สะสมสืบต่อที่ประเสริฐอย่างยิ่ง คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูกที่จะนำไปสู่คุณความดีทั้งปวง
~ ความเห็นที่ถูกต้อง ไม่พาไปในทางผิดเลย ไม่พาไปในทางทุจริตแต่ว่าสิ่งใดที่ผิด ความเห็นที่ถูกต้อง ละสิ่งนั้น ตามกำลังของความเข้าใจถูก ใครจะช่วยใครได้ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งสำหรับใคร? สำหรับตนเองที่จะขัดเกลากิเลส
~ ขณะที่เป็นโทสะ เป็นอกุศล จิตจะคิดเป็นไปในทางอกุศลมากมายหลายเรื่อง เป็นเรื่องร้ายทั้งหมด แต่ขณะใดที่คิดด้วยกุศลจิต จิตจะคิดในเรื่องที่ดีทั้งหมด แม้แต่การที่จะทำ หรือวาจาที่จะพูด หรือแม้แต่ความคิดนึกทางใจ ก็เป็นไปในทางกุศล
~ การดับกิเลสนั้นยาก ไม่ใช่ง่าย ซึ่งจะต้องสะสมอบรมเจริญไปเรื่อยๆ และอบรมเจริญกุศลทุกประการด้วย มิฉะนั้นแล้ว ไม่มีทางที่จะดับกิเลสได้เลย
~ ขณะที่มีเมตตา มีความเป็นเพื่อน ขณะนั้นเป็นกุศล แล้วถ้าเราเพิ่มความเมตตาขึ้นกับทุกๆ คนที่เราพบปะ นั่นคือ เราอบรมเจริญความสงบของจิต ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปนั่งท่องภาวนาอยู่ที่มุมหนึ่งมุมใด แต่พอพ้นจากห้องนั้นมาแล้ว เห็นคนอื่นก็หมั่นไส้หรือไม่ชอบหรือรำคาญ ขณะนั้นที่เราไปนั่งท่องตั้ง ๒๐ นาที หรือครึ่งชั่วโมง จะไม่มีความหมายเลย เพราะเหตุว่า ไม่เป็นการประพฤติปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน
~ ผู้ที่มีปัญญาไม่ติดในสักการะ แต่ผู้ไม่มีปัญญาขวนขวายเพียงที่จะได้สักการะ ปรารถนาที่จะได้การไหว้ การบูชาของคนอื่น โดยไม่รู้ว่า จะนำความทุกข์มาให้ ตั้งแต่เริ่มที่จะต้องทำสิ่งที่คนอื่นจะได้กราบไหว้บูชา ใช่ไหม? ซึ่งเป็นความยากลำบากทั้งนั้น เพราะฉะนั้น จึงแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่มีปัญญาจะไม่ติดแม้ในการกราบไหว้ การบูชาของคนอื่น
~ แต่ละชาติที่เกิดมา เมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรม เห็นค่าของพระธรรม เห็นหนทาง แล้วรู้ว่าไกล เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตนั้นก็เพิ่มความดี เพราะเหตุว่า ขณะใดก็ตามที่เป็นอกุศล ขณะนั้น ไม่ได้เข้าใจธรรมเลย และก็เพิ่มอกุศลอยู่ตลอดเวลา หนทางยิ่งยาวไปอีก ไกลไปอีก
~ จะไปสนใจความไม่ดีของคนอื่นทำไม ประโยชน์อยู่ตรงไหน? เสียเวลาหรือเปล่า? แต่การเป็นคนดี ไม่ว่าใครจะเป็นอย่างไรก็ตาม เราก็มีเมตตาและอบรมจิตใจให้มั่นคงในฝ่ายกุศล วันหนึ่งจะเป็นผู้ชนะกิเลสของตนเองจริงๆ และสบายใจด้วย
~ เป็นคนนี้ได้ชาตินี้ชาติเดียว ตายไปแล้วเป็นคนนี้อีกต่อไปไม่ได้เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะตาย เป็นคนดี ดีกว่าไหมและเข้าใจความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงในโลกตามความเป็นจริง
~ การศึกษาธรรม เป็นการขัดเกลาความไม่รู้ คนที่ไม่ศึกษาธรรม ไม่ฟังธรรม เพราะเขาไม่รู้ว่าคุณค่าสูงสุดในชีวิตทุกชาติ ก็คือ ได้มีความเห็นที่ถูกต้อง
~ เห็นประโยชน์ของความดีมากแค่ไหน ถ้าเห็นว่าความดีมีประโยชน์มาก มีหรือที่จะรีรอในการทำความดี เพราะฉะนั้น ก็เป็นไปตามความเข้าใจทั้งหมด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
~ จะเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ก็เป็นธรรมดา แต่ความเห็นผิด ควรอย่างยิ่งที่จะรีบละทิ้ง ไม่เก็บสะสมต่อไป เพราะเหตุว่า ถ้าสะสมต่อไป ก็เป็นโทษและไม่สามารถที่จะละได้
~ ถึงแม้จะมีทรัพย์สินเงินทองมากมายมหาศาล ก็ยังเป็นทุกข์ แสดงว่าทุกข์เพราะติดข้อง ถ้าสามารถละความติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่างได้ จะไม่มีความทุกข์เลย แต่ว่าตราบใดที่ยังมีความติดข้อง ไม่ว่าจะในอะไรทั้งสิ้น ก็ย่อมนำมาซึ่งความทุกข์
~ เขาเลวเรื่องเขา แต่เราขณะนั้นเป็นอะไร ยังเป็นมิตรหรือเปล่า คือไม่เป็นศัตรู ต่อให้ใครเลวกับเราเท่าไหร่ เราก็สามารถไม่เป็นศัตรูได้คือ ไม่คิดร้ายกับเขา นั่นคือ ความดีของเรา
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๑๙
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
ฟังธัมมาท่านให้ ไม่หยุด คงมั่นอันประดุจ เพชรได้ พึงขอกราบในพุทธ ปีติ นั่นแล นบอาจารย์สุจินต์ไว้ ยกเกล้าตลอดมา
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูง
ได้กล่าวคำจริงและไพเราะอย่างยิ่งครับ
เกิดคนเดียว ตายคนเดียว จะเป็นคนนี้ได้เพียงชาตินี้ชาติเดียว เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะทำความดี โอกาสที่จะเข้าใจธรรม ซึ่งเป็นหนทางที่จะแก้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ ควรที่จะต้องเร่งรีบทำ เพราะมิฉะนั้นแล้ว ก็ไม่สามารถจะแก้ไขอะไรได้ แต่ละคนเริ่มที่ตนเองแล้วต่อไปทั้งหมดก็จะมีกำลังขึ้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ