ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๒๒

 
khampan.a
วันที่  23 ก.ค. 2566
หมายเลข  46290
อ่าน  5,177

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๒๒



~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ควรระลึกถึง เพราะว่า เป็นคุณค่าที่สูงที่สุดในสังสารวัฏฏ์ เป็นความจริงที่กำลังมีขณะนี้แต่ไม่รู้จักความจริงเลย ถ้าไม่มีผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อให้เราได้ฟัง เพราะฉะนั้น การที่มีพระบรมมสารีริกธาตุประดิษฐาน เพื่อเตือนให้ระลึกถึงทุกคำที่พระองค์ได้ตรัส เพื่อให้เข้าใจ

~ ไม่ใช่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไปหยิบยื่นปัญญาให้แก่ใคร แต่ แต่ละคำของพระองค์ ตรัสให้คนฟังได้ไตร่ตรอง ได้คิดได้พิจารณา ความเข้าใจที่ถูกต้องเกิดเมื่อไหร่ นั่นคือ สมบัติซึ่งหาอีกไม่ได้ในชาตินี้ซึ่งจะติดตามต่อไปทำให้ไม่เข้าใจผิด

~ ธรรม ยาก เพราะฉะนั้น ไม่มีตัวตนที่จะไปทำให้ง่าย หรือว่าไม่มีความเป็นตัวตนที่อยากจะได้ผลเร็วๆ แต่เป็นผู้ที่ตรงที่จะต้องสะสมความเข้าใจความละเอียดความลึกซึ้งของธรรมจนกว่าจะเป็นปัญญาของตัวเองที่ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้น

~ รักตัวมากเพราะเข้าใจผิดว่ามีตัว ไม่มีทางที่จะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้ายังคงทำทุกอย่างเพื่อตัว เพราะเหตุว่า กว่าปัญญาจะค่อยๆ เข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้แต่ละอย่างว่าไม่ใช่เรา ก็ต้องอีกนานมาก เพราะฉะนั้น รักตัว จนกระทั่งทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยิ่งแย่

~ จากที่มากไปด้วยความไม่รู้ มากไปด้วยความเห็นผิด แล้วได้ฟังความจริง ได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ย่อมมีความปลาบปลื้มที่ได้เข้าใจถูกเห็นถูก

~ ถ้าไม่อบรมเจริญกุศล ก็จะพ้นจากสภาพของจิตชั้นเลวไม่ได้ คือว่า ยังคงเป็นอกุศลจิตมากเหลือเกิน แล้วก็ยังมีความยินดีพอใจในอกุศลนั้นๆ ด้วยความไม่เห็นว่าเป็นโทษ

~ ปัญญา จะทำให้เป็นผู้ไม่เดือดร้อนเพราะการกระทำของคนอื่น แต่ว่า รู้หนทางที่จะละคลายกิเลสของตนเอง เพราะรู้แน่ว่ากิเลสของตนไม่ได้อยู่ที่คนอื่น และไม่ใช่คนอื่นนำมาให้

~ ไม่ให้อกุศลเกิด ห้ามไม่ได้ แม้แต่เดี๋ยวนี้อกุศลก็ยังเกิดได้ เพราะฉะนั้น พระธรรมเท่านั้นซึ่งน่าอัศจรรย์เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ปัญญาซึ่งเป็นความเห็นที่ถูกต้อง ก็จะทำให้ไม่หวั่นไหวหรือว่าหวั่นไหวน้อยลง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และทำสิ่งที่ถูกต้อง

~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ถ้าฟังแล้วก็มีความเข้าใจขึ้น ก็จะทำให้มีความมั่นคงในการที่จะฟังต่อไป เพื่อเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง เพราะว่า ถ้าไปคิดเรื่องอื่นจะไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง

~ ธรรมที่เป็นฝ่ายกุศลที่สะสมมายังไม่มากพอที่จะเท่ากับทางฝ่ายอกุศล ถ้าเห็นอย่างนี้จริงๆ ก็ยิ่งต้องเพิ่มความเพียรทางฝ่ายกุศลขึ้น ความเพียรขั้นต้นของการเจริญกุศล ก็คือ ต้องเพียรฟังพระธรรมให้เข้าใจเพิ่มขึ้น ไม่ใช่วันนี้วันเดียว แต่ว่าวันอื่นๆ ต่อไปด้วย

~ เวลาที่กุศลจิตเกิด สภาพของจิตผ่องใส ไม่มีความเดือดร้อนด้วยความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ไม่มีการที่จะขาดความเมตตาในบุคคลอื่น จะเห็นได้ว่า จิตที่ผ่องใส เป็นกุศลนั้น ไม่เป็นโทษเป็นภัย เพราะฉะนั้น ก็รู้ได้ว่า ด้วยจิตที่ไม่เป็นโทษเป็นภัยเป็นเหตุ ย่อมจะไม่ทำให้เกิดผลที่เป็นโทษภัย เพราะฉะนั้น กุศลทั้งหลายมีวิบากที่เป็นสุข ไม่ใช่นำมาซึ่งวิบากที่เป็นทุกข์

~ ถ้าพิจารณาโดยความเป็นธาตุ ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน อย่างการเห็นก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง การได้ยินก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง การได้กลิ่น ก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง เอาความเป็นสัตว์ เป็นตัวตน เป็นบุคคลออก ก็จะเห็นตามความเป็นจริงว่า แต่ละขณะนี้ก็เป็นเพียงแต่ละธาตุ ซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยต่างๆ กัน เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็ดับไป

~ ทุกคน มีใครบ้างไม่ตาย และวันไหน ใครรู้ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้เลย แต่ระหว่างที่ยังมีชีวิต สิ่งที่ประเสริฐที่สุด ก่อนจากโลกนี้ไป ไม่ใช่ตำแหน่งหน้าที่ยศถาบรรดาศักดิ์ เพราะเหตุว่าติดตามไปไม่ได้ แต่สิ่งที่ติดตามไปได้ คือ ความเห็นถูกความเข้าใจถูก ซึ่งถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ก็ไม่สามารถที่จะมีอะไรที่ประเสริฐที่จะติดตามไป

~ ชีวิตสั้นมาก ถ้าชีวิตสั้นอย่างนี้ แล้วชีวิตควรจะเป็นอย่างไร? จะมีการเบียดเบียนทำร้ายกันไหม? จะทำทุจริตกรรมต่างๆ ไหม? เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจ ขณะนั้นเป็นปัญญาหรือเปล่า?

~ อกุศลเป็นธรรมที่น่ารังเกียจ ที่เรามีไหม? เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ว่าที่ไหน อยู่ที่ไหน ก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืมว่า ธรรมที่น่ารังเกียจ คือ ธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหมด

~ ใครก็เปลี่ยนแปลงสภาพธรรมไม่ได้เลย แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริงว่าธรรมทั้งหมดแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ทำไมคนนั้นใจดีมาก มีความเมตตามีความเป็นมิตรมีความหวังดีมีความเป็นเพื่อน ไม่ว่าใครทั้งนั้น อีกคนหนึ่ง เห็นใครก็ไม่ชอบ ไม่ชอบไปหมด ทำไมถึงต่างกันอย่างนี้ ถ้าไม่มีการที่ไม่เคยที่จะไม่ชอบมาก่อนจนกระทั่งมั่นคง ติคนอื่นได้ทั้งวัน มีไหม? ดูไปติไป ไม่ว่าเขาเป็นใคร เรื่องอะไร เราดีหรือจึงติเขา? กำลังติ ดีหรือเปล่า? เห็นไหม? เพราะฉะนั้น ธรรมต้องเป็นธรรม เปลี่ยนไม่ได้เลย สะสมมาอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น

~ ธรรมต้องเป็นธรรมเปลี่ยนไม่ได้เลย สะสมมาอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เวลาเห็นพฤติกรรมใดๆ ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่ก็เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัยเพราะสะสมมา ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ยังจะสะสมความไม่รู้และความไม่ดีต่อไปไหม? ก็แล้วแต่ความไม่รู้ กับ ปัญญาที่จะมั่นคงว่าจะไม่รู้ต่อไป หรือ จะค่อยๆ เข้าใจความจริงขึ้น จะได้ไม่มีสิ่งที่ไม่ดีที่เกิดจากความไม่รู้

~ คนที่กำลังว่าเรา เป็นกุศลหรืออกุศล? ถ้าเราโกรธ เหมือนกันไหม?

~ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รักเราเลย ไม่ชอบเราเลย เห็นว่าเป็นศัตรูปานใด แต่ถ้าเราสามารถทำให้เขาเข้าใจถูกต้องได้ เราก็จะทำ นั่นคือความเป็นมิตรความหวังดี ถึงที่สุด คือ ไม่หวั่นไหวที่จะทำทุกอย่างให้คนอื่นได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง

~ ทุกอย่างที่จะเกิด ต้องมีปัจจัยที่จะเกิดกับแต่ละบุคคล แต่ละขณะ หลากหลายมาก เพราะอะไร? เป็นธรรมทั้งหมด แค่หนึ่งคนหลากหลายเท่าไหร่ ตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้และเมื่อวานนี้ก็ไม่ใช่วันนี้สะสมไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่เมื่อวานนี้ทั้งสองฝ่าย ทั้งความเข้าใจและความไม่รู้ ก็คิดดูก็แล้วกัน อะไรมากกว่ากัน แต่ก็มีวิริยะ (ความเพียร) มีขันติ (ความอดทน) ที่จะรู้ความจริง ไม่ได้ทิ้งเลย เพราะถ้าไม่รู้เดี๋ยวนี้ จะรู้เมื่อไหร่ ไม่มีทางที่จะรู้

~ เป็นคนนี้ได้อีกนานเท่าไหร่ ไม่มีใครรู้เลย แล้วพอเป็นอีกคนหนึ่งคนใหม่เกิดใหม่คนละโลกคนละคน หาคนเก่าอีกไม่ได้เลย

~ ทรัพย์สมบัติ รูปสมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียงใดๆ อยู่ไหน? ไม่ต้องคอยจนถึงวันที่พ้นจากความเป็นบุคคลนี้ แม้เดี๋ยวนี้ก็รู้ว่า ไม่มีเพราะว่า ต้องได้ยิน ใช่ไหม? ได้ยินดับ ต้องเห็น ใช่ไหม? เห็นดับ ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อรู้ความจริง ไม่ต้องไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะธรรมเกิดแล้วทุกขณะแต่ไม่รู้ ด้วยเหตุนี้ พร้อมที่จะรู้สิ่งที่มีเมื่อไหร่ ไม่เลือก ตามเหตุตามปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นปรากฏ แค่ปรากฏแล้วหมด น่าอัศจรรย์ไหม?



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๒๑



... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 23 ก.ค. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 23 ก.ค. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
มังกรทอง
วันที่ 23 ก.ค. 2566

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
มังกรทอง
วันที่ 23 ก.ค. 2566

ฟังเพื่อเข้าใจ ในธรรมในคำองค์พระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไตร่ตรองจนกว่าปัญญาจะเกิดมีขึ้น แล้วความไม่มีเราจะมีเอง ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 23 ก.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ก.ไก่
วันที่ 23 ก.ค. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Lai
วันที่ 23 ก.ค. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nattawan
วันที่ 25 ก.ค. 2566

รักตัวมากเพราะเข้าใจผิดว่ามีตัว ไม่มีทางที่จะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้ายังคงทำทุกอย่างเพื่อตัว เพราะเหตุว่า กว่าปัญญาจะค่อยๆ เข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้แต่ละอย่างว่าไม่ใช่เรา ก็ต้องอีกนานมาก เพราะฉะนั้น รักตัว จนกระทั่งทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยิ่งแย่

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของอ.คำปั่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 26 ก.ค. 2566


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลของ อ.คำปั่น และทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ