ขอเรียนถามเรื่องที่ยังสงสัย - การเจริญสติปัฏฐาน

 
พุทธรักษา
วันที่  24 ส.ค. 2550
หมายเลข  4633
อ่าน  1,172

๑. การเจริญสติปัฏฐานต้องเข้าใจอรรถในพระอภิธรรมปิฎกทั้งหมด เช่น เรื่องกิจ หน้าที่ จำนวนของจิตทุกประเภท รวมทั้งเรื่องภพ ภูมิ ว่ามีกี่ชั้นๆ หรือไม่

๒. ผู้ที่บรรลุเป็นพระโสดาบันในครั้งพุทธกาล ท่านต้องมีความรู้แตกฉานเรื่องอภิธรรม ตามตัวอย่างในข้อ ๑ หรือไม่ ถ้าจะกล่าวว่า เข้าใจลักษณะของ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ก็เพียงพอต่อการเจริญสติปัฏฐานแล้ว ... ถูกต้องหรือไม่คะ

ขอบพระคุณมากค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 24 ส.ค. 2550

๑. ผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐานต้องเข้าใจปรมัตถธรรมอย่างถูกต้องและตรง เพราะอารมณ์ของสติปัฏฐานคือปรมัตถธรรม แต่ไม่ใช่ว่าต้องรู้ทั้งหมด

๒. ผู้ที่บรรลุเป็นพระโสดาบันในสมัยครั้งพุทธกาล ท่านต้องรู้ตัวอภิธรรมจริงๆ ท่านจึงบรรลุเป็นพระโสดาบันได้ ถ้าไม่รู้ตัวปรมัตถธรรม สภาวธรรมของปรมัตถ์ ไม่สามารถดับกิเลสเป็นพระอริยบุคคลได้ เพราะอริยสัจ ๔ ที่ท่านแทงตลอด ในขณะบรรลุก็เป็นอภิธรรมทั้งสิ้น ที่กล่าวว่า เข้าใจลักษณะของ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ก็เพียงพอต่อการเจริญสติปัฏฐานแล้ว? ยังไม่พอครับ ต้องศึกษาพระธรรมส่วนอื่นๆ ด้วย จึงจะเกื้อกูลต่อการอบรมเจริญปัญญาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 24 ส.ค. 2550

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ข้อ ๑. การที่เราศึกษาพระอภิธรรมเพื่ออะไร เพื่อให้เข้าใจความเป็นอนัตตา และเป็นเพียงสภาพธัมมะเพื่อเกื้อกูลในการเจริญสติปัฏฐาน จำได้หมด แต่ไม่เข้าใจว่าธรรมอยู่ในขณะนี้ ไม่ชื่อว่าศึกษาอภิธรรมเกื้อกูลสติปัฏฐานเลย เพราะยังไม่เข้าใจอภิธรรม เข้าใจชื่อ แต่ไม่เข้าใจว่า อภิธรรมก็อยู่ในชีวิตประจำวัน เพราะธรรมอยู่ในชีวิตประจำวัน

ดังนั้น ความเข้าใจกับความจำจึงต่างกัน การศึกษาอภิธรรมจึงไม่ใช่มุ่งเน้นที่จะให้ไปจำทุกอย่างที่มี แต่ศึกษาด้วยความเข้าใจ (ปัญญา) ว่าอภิธรรมอยู่ในขณะนี้ ที่กล่าวว่า จิตเห็น (จักขุวิญญาณจิต) มีเจตสิกเท่าไหร่ บางท่านจำไม่ได้แต่ศึกษาด้วยความเข้าใจว่า จิตเห็นอยู่ในขณะนี้ เป็นเพียงธรรมไม่ใช่เรา การศึกษาพระอภิธรรมอย่างนี้จึงถูกต้อง คือ เกื้อกูลในการเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งขณะที่สติปัฏฐานเกิดระลึกสภาพธัมมะที่เห็น ขณะที่ระลึกที่เห็น ขณะนั้น มาคิดว่า มีเจตสิกประกอบกี่ดวงไหม ไม่เลย แต่รู้ลักษณะของสภาพธัมมะที่เป็นจิตเห็นจริงๆ นี่แหละคือการศึกษาอภิธรรม ด้วยการรู้ลักษณะจริงๆ แต่ก็อาศัยขั้นการฟังหรืออ่านจากพระอภิธรรมด้วยเข้าใจว่า ธรรมหรืออภิธรรมอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะอ่านในส่วนใดของอภิธรรม ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 24 ส.ค. 2550

ข้อ ๒. ความแตกฉานในพระอภิธรรม ก็มี ๒ นัย แตกฉานด้วยการศึกษาเล่าเรียน จำได้มาก อธิบายเหตุผลได้ด้วยความเข้าใจ เป็นต้น กับแตกฉานพระอภิธรรม ด้วยการบรรลุ (ปฏิเวธ) แตกฉานอย่างไร คือ เข้าใจถึงลักษณะของสภาพธัมมะจริงๆ นั่นก็คือ อภิธรรมนั่นเอง อภิธรรมก็คือสภาพธัมมะที่มีจริงในขณะนี้ ไม่ใช่อยู่ในตำรา แต่สภาพธัมมะกำลังมี ลักษณะของสภาพธัมมะนั่นแหละ เป็นอภิธรรมเพราะเป็นสิ่งที่มีจริง ดังนั้น พระโสดาบัน หรือผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน ย่อมรู้ถึงลักษณะที่แท้จริงของสภาพธัมมะโดยไม่ใช่แค่ศึกษาชื่อ และที่เราจะบัญญัติชื่อขึ้นมาว่า จิตเห็น ก็ต้องมีลักษณะของเขา คือลักษณะเห็นนั่นเอง ดังนั้นตัวจริง (อภิธรรม) ก็คือลักษณะของสภาพธัมมะ ซึ่งพระอริยเจ้า แตกฉานด้วยการบรรลุ และรู้ลักษณะของสภาพธัมมะจริงๆ แตกฉานในปฏิเวธครับ

ส่วนความละเอียดที่เป็นไปในอภิธรรม เช่น ปัจจัยต่างๆ ซึ่งสามารถอธิบายได้นั้น ก็แล้วแต่การสะสมของแต่ละบุคคลที่จะมีความเข้าใจในอภิธรรมในเรื่องชื่อมามากน้อย แล้วแต่การสะสมครับ แต่ที่สำคัญ ขอย้ำว่า ต้องรู้จุดประสงค์ในการศึกษาพระอภิธรรมว่าเพื่ออะไร (เพื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธัมมะที่มีในขณะนี้ สติปัฏฐานนั่นเอง)

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 24 ส.ค. 2550

ถ้าจะกล่าวว่าเข้าใจลักษณะของ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ก็เพียงพอต่อการเจริญสติปัฏฐานแล้ว ... ถูกต้องหรือไม่คะ.

การที่สติปัฏฐานจะเกิดต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลายประการ และต้องรู้เหตุที่สติปัฏฐานเกิดคือ ศึกษาเรื่องสภาพธัมมะที่มีจริงในขณะนี้ รวมทั้งอบรมบารมี ๑๐ คือกุศลทุกประการ อันเนื่องมาจากการได้ฟังพระธรรมส่วนต่างๆ ของพระพุทธเจ้า ครับ

ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 25 ส.ค. 2550

การศึกษาพระอภิธรรม เพื่อให้เราเข้าถึงปรมัตถธรรรม (ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมที่มีจริง) ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นจิต เจตสิก รูป เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ ตราบใดที่เรายังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ เรายังตัองเป็นผู้ศึกษา และการศึกษาธรรม ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดคือไม่ใช่เราค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ไรท์แจกแล้วไง
วันที่ 25 ส.ค. 2550
เข้าใจเพียงชื่อและความหมายไม่พอ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 25 ส.ค. 2550

รู้ชื่อหรือเพื่อขัดเกลา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
wannee.s
วันที่ 26 ส.ค. 2550

รู้ชื่อ รู้อรรถ คือเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
พุทธรักษา
วันที่ 31 ส.ค. 2550

อนุโมทนาสหายธรรมทุกท่านค่ะ.

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ครูโอ
วันที่ 1 ก.ย. 2550

อ่านมาก จำเก่ง แต่ไม่เคยระลึกถึงสภาพธรรมตามความเป็นจริง หรือไม่อาศัยพระธรรมเพื่อเปลี่ยนนิสัยให้เป็นคนดีมากขึ้น การศึกษาอย่างนี้ไม่เกิดประโยชน์เกื้อกูลแม้แต่น้อย เพราะไม่เห็นธรรม และไม่เห็นพระตถาคตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 1 ก.ย. 2550

อนุโมทนาด้วยนะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
wannee.s
วันที่ 2 ก.ย. 2550

เคยฟังเทปที่ท่านอาจารย์สุจินต์ถามผู้ฟังว่า ระหว่างเป็นคนดี กับเป็นพระโสดาบัน คุณจะเลือกเป็นอันไหนก่อนค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
แวะเข้ามา
วันที่ 2 ก.ย. 2550

การเจริญสติปัฏฐาน คือ การเจริญความเข้าใจในโลกทั้ง ๖

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Komsan
วันที่ 5 ก.ย. 2550

ลักษณะของสภาพธรรมมีจริง และไม่ใช่เรา

ขออนุโมทนาทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 27 ก.ค. 2566

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ