กรรมที่ได้สะสมมา
ไม่เข้าใจกรรมที่ได้สะสมมาจากชาติก่อนๆ .ปรากฏเป็นวิบากในชาตินี้อย่างไร?..ช่วยอุปมาอุปมัย.ให้ความเข้าใจหน่อยครับ..เช่น.คนนี้ในชาตินี้มีลาภยศสรรเสริญดี เพราะในชาติก่อนเขาได้ทำกรรมดีไว้มาก ... ไม่เข้าใจคำว่าชาติก่อน กับ คำว่า.สะสม.คืออย่างไร.ช่วยอธิบายเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายนะครับ.กราบขอบพระคุณครับ.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ต้องเข้าใจก่อนว่า กรรมมีจริงๆ เป็นธรรม ว่าโดยสภาพธรรมแล้วคือเจตนาเจตสิก เกิดกับจิตทุกขณะ ไม่มีเว้นเลย แต่กรรมที่จะเป็นเหตุในภายหน้าต้องสำเร็จเป็นกุศลกรรม หรือ อกุศลกรรมบถ เช่น ถ้าเป็นกุศลกรรม ก็อย่างเช่น ให้ทาน รักษาศีล การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น ฟังพระธรรม เป็นต้น แต่ถ้าเป็นทางฝ่ายอกุศลกรรม เช่น ฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ ลักทรัพย์ผู้อื่น เป็นต้น เมื่อเหตุมีแล้ว ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้เกิดผลในภายหน้าได้ แต่ถ้าเป็นเพียงอกุศลจิตที่เกิดขึ้น เช่น ขุ่นเคืองใจ หรือ ติดข้องยินดีพอใจ โดยไม่ได้ล่วงออกมาเป็นอกุศลกรรมบถประการต่างๆ เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น ก็ไม่เป็นเหตุให้เกิดผลคือวิบากในภายหน้า แต่ก็เป็นการสะสมสิ่งที่ไม่ดี เพราะถ้าสะสมมากขึ้น ก็อาจจะล่วงเป็นอกุศลกรรมบถได้ ซึ่งจะประมาทกำลังของกิเลสไม่ได้เลย
ตั้งแต่เกิดจนตาย เรียกว่า หนึ่งชาติ ในหนึ่งชาตินั้น ทำอะไรบ้าง ทั้งดี ทั้งไม่ดี สิ่งที่ได้ทำแล้วนั้น ไม่หายไปไหนเลย สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกๆ ขณะ แต่ละคนเกิดมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว สิ่งที่สะสมมา ถูกเก็บรักษาอย่างดีในจิต สืบต่อมาในจิตแต่ละขณะๆ จึงทำให้แต่ละคนมีพฤติกรรมหลากหลายมากตามการสะสม สำหรับกรรรมที่ได้กระทำแล้วก็เช่นเดียวกัน ไม่สูญหายไปไหน สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกๆ ขณะเลย เมื่อถึงคราวที่กรรมใดจะให้ผล ผลก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นไปตามควรแก่เหตุ อกุศลกรรม ให้ผลที่เป็นทุกข์ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย ที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่าใคร่ไม่น่าพอใจ ในทางตรงกันข้าม กุศลกรรมให้ผลที่เป็นสุขเท่านั้น แม้แต่การที่กล่าวถึง การได้รับลาภ ยศ สรรเสริญ ต่างๆ นั้น ก็ต้องมาจากเหตุ คือ กุศลกรรม ถ้าไม่มีเหตุที่ดี คือ กุศลกรรม จะทำให้เกิดผลที่ดีไม่ได้เลย แล้วกุศลกรรม อยู่ไหน ถ้าไม่สะสมสืบต่ออยู่ในจิต โดยนัยของอกุศลกรรม ก็เช่นเดียวกัน แต่เป็นคนละส่วนกัน ไม่ปะปนกันอย่างเด็ดขาดระหว่างกุศลกรรมกับอกุศลกรรม
เมื่อได้ศึกษาเรื่องกรรมและผลของอกุศลกรรม ก็ย่อมจะเป็นประโยชน์เกื้อกูล ทำให้เป็นผู้ที่มีความละอาย มีความเกรงกลัวต่อการทำอกุศลกรรม เพราะอกุศลกรรม ให้ผลเป็นทุกข์เท่านั้น ไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ เลยแม้แต่น้อย และเป็นผู้เห็นคุณประโยชน์ของการทำกุศลกรรม
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นเครื่องเตือนที่ดีสำหรับทุกแง่มุมของชีวิต จึงควรอย่างยิ่งที่ทุกคนจะได้พิจารณาว่า เกิดมาแล้วต้องละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้เลย ควรที่จะเห็นโทษของอกุศลที่เป็นเหตุให้กระทำอกุศลกรรมแล้วจะเป็นเหตุให้ได้รับผลที่ไม่ดีในภายหน้า โดยไม่เพียงแค่กลัวผลของอกุศลกรรมเท่านั้น ต้องกลัวที่เหตุคืออกุศลกรรม ด้วย ดังนั้น เมื่อจะสะสมกรรมที่จะทำให้เกิดผลในภายหน้า ก็พึงสะสมเฉพาะกรรมอันงาม คือ กุศลกรรม เท่านั้น ส่วนสิ่งที่ไม่ดีคืออกุศลทั้งหลายซึ่งไม่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนและแก่บุคคลอื่น ไม่ควรที่จะสะสมให้มีมากขึ้น เพราะเหตุว่า อกุศลทั้งหลาย เป็นที่พึ่งไม่ได้ แต่สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้านั้น ก็คือ กุศล ความดีทั้งหลายเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือปัญญา ซึ่งเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกจากการได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้วซึ่งจะเกื้อกูลให้คุณความดีทั้งหลายเจริญขึ้นในชีวิตประจำวัน ค่อยๆ ขัดเกลาละคลายอกุศลไปทีละเล็กทีละน้อย เป็นประโยชน์เกื้อกูลโดยตลอด ครับ
... ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...