ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจคืออย่างไร!!

 
nattawan
วันที่  24 ส.ค. 2566
หมายเลข  46439
อ่าน  657

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สนทนาธรรมที่ ร้านบิสโตรพาเลท 9 ส.ค. 66 เช้า

ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจคืออย่างไร!!

ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจก็คือเพื่อเข้าใจ ... แต่ไม่พอ ... เข้าใจอะไร!! ไม่เช่นนั้นก็ เข้าใจอะไรเพื่ออะไร มิฉะนั้นก็ไม่เข้าใจ!! ต้องตรง!!

ฟังเพื่อเข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจให้ถูกต้องเช่น กำลังตื่นเต้น ... เพื่อเข้าใจใช่ไหม!! ตื่นเต้นมีจริงๆ แต่ละคำต้องไตร่ตรอง ละเอียดมาก เพื่อเข้าใจก็คือเพื่อเข้าใจ

เริ่มรู้ใช่ไหม!! ค่อยๆ ละเอียดขึ้น ต้องตรงว่าฟังเพื่อเข้าใจอะไร!! เข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้คือเห็น เข้าใจเห็นว่าเห็นมีจริงหรือยัง!! พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะในภาษาที่คนฟังเข้าใจ ... ไม่ใช่ภาษาไทย แต่เขาเข้าใจอย่างที่เรากำลังเข้าใจในภาษาไทย

พระองค์ตรัสถึงความละเอียดอย่างยิ่งเพื่อให้เห็นว่าต้องละเอียด!!!

ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มีอะไร ... มีเห็น ... เข้าใจเห็นว่าอะไร!! ฟังเพื่อเข้าใจเห็น ... แล้วเริ่มต้นเข้าใจเห็นแล้วหรือยัง!!! เพราะเห็นมีตั้งนาน ... แต่ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น เริ่มต้นเข้าใจเห็นหรือยัง!! (ขั้นฟังเข้าใจว่าเห็นเป็นธรรมะ) ไปถึงธรรมะแล้ว นี่แหละไปจำคำ แต่ถามว่าเริ่มเข้าใจเห็นหรือยัง จะตอบได้เลยว่าเริ่มหรือยัง ... เริ่มเข้าใจหรือยัง!! (เริ่มเข้าใจว่าเห็นมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ก็เห็น) แน่นะ ... ทุกคนกำลังไม่สนใจอย่างอื่นเลย ฟังเพื่อเข้าใจเห็น ... แล้วเราจะไปไหน!! เมื่อเราบอกว่าเห็นมีจริงและเห็นมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้จักเห็นเลย มีแต่เห็นๆ ๆ ๆ ๆ ตลอด ... แต่ไม่รู้จักเห็น!!!

ได้ยินคำว่าเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริง ... ถ้าไม่เคยฟังธรรมะเลย ... ตอบไม่ได้ว่าสิ่งที่มีจริงคืออะไร!! พอได้ฟังบ้างก็เริ่มตอบตามความจำ ... ให้รู้ไว้ว่านี่เป็นความจำว่า ฟังเพื่อให้เข้าใจเห็นและยังจำต่อไปว่าเห็นเป็นธรรมะ ... เห็นมีจริง!!

ถ้าเราบอกว่าเห็นเป็นธรรมะ เป็นธรรมะโดยคำ แต่เดี๋ยวนี้เห็นมีจริงเริ่มคิดถึงเห็น เริ่มที่จะเข้าใจเห็นว่าเห็นกำลังเห็น แต่ไม่เคยรู้ว่าเห็นเป็นอะไร!!! (เห็นเป็นจิต)

มาอีกคำแล้ว!! อย่างนี้แหละอย่างนี้!! เพราะฉะนั้น ก็มีแต่คำตลอดชาติ เห็นเป็นธรรมะ เห็นเป็นจิตเกิดเพราะเหตุปัจจัยมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเจ็ดดวง ... แต่ไม่รู้จักเห็น!!!

อย่าลืม!!! ทุกคำต้องละเอียด " ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจ " เข้าใจอะไรก็ต้องตรง " เข้าใจสิ่งที่มีจริง " ถ้าไม่มีจะไปเข้าใจได้อย่างไร!!

สิ่งที่มีจริงนั้นแหล่ะหมายความว่าไม่เข้าใจใช่ไหม!!! จึงกล่าวว่าฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริง ก็ต้องรู้อีก ... แล้วสิ่งที่มีจริงคืออะไร!! เห็นไหมถ้าไม่ฟังจะตอบไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น พอฟังก็ตอบว่าเห็นเป็นสิ่งที่มีจริง ... มีจริงๆ แล้วรู้จักเห็นบ้างไหม!!! (ยัง!!) จึงต้องฟังเพื่อเข้าใจเห็น ... นี่คือฟังธรรมะเพื่อเข้าใจธรรมะ

ไม่ใช่ให้ไปตอบว่าเห็นมีจริง เกิดเพราะเหตุปัจจัย มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่านั้นเท่านี้ ... ไม่ใช่ ... รู้หรือ ... เห็นมีเจตสิกเกิดเท่าไหร่!! แล้วพูดออกมาแสดงว่าจำ ... แต่ความเข้าใจแค่ไหน!!! (เห็นมีจริงๆ เพราะเห็นเกิดแล้ว)

รู้ได้ยังไงว่าเห็นเกิดแล้ว!! (เพราะเห็นอยู่) เพราะกำลังเห็น ... กำลังเห็นก็ยังไม่รู้เลย!! คำตอบของเราตอบเพราะจำไม่ได้คิดเท่าไหร่หรอก ... จำ ... แต่ตอนนี้ต้องคิดถ้าไม่คิดจะเข้าใจไหม!! จริงหรือเปล่า ... ต้องคิด ... ถ้าไม่คิดจะเข้าใจไหม!! แค่นี้ ... จริงไหม!! ทุกคำต้องไตร่ตรอง ... ไม่ใช่เชื่อ ละเอียดลงไปๆ จนกระทั่งเข้าใจว่าทุกคำในพระไตรปิฎกคือสิ่งที่มีจริง!!!

เชิญคลิกชม

ณ กาลครั้งหนึ่ง "สนทนาธรรมที่ ร้านบิสโตรพาเลท" วันพุธ ที่ ๙ ส.ค. ๒๕๖๖ ช่วงเช้า

🟦 https://fb.watch/mBf7FcdXjM/

🟥 https://youtu.be/76vc8pyz_UM

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nattawan
วันที่ 24 ส.ค. 2566

ไหนล่ะ ... เดี๋ยวนี้มีไหม!! มีเมื่อไหร่!! ก็ไม่รู้!! เพราะฉะนั้น จะชื่อว่าเราเข้าใจธรรมะหรือเปล่า!! หรือเราได้ฟังคำและเริ่มเข้าใจความหมายของคำ แต่หารู้ไม่ว่า ทุกคำกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งแสดงชัดเจนแล้ว ถึงพูดไปเท่าไหร่ ถ้าไม่ไตร่ตรองให้ละเอียด ก็เท่ากับแค่จำ เพราะเราก็เคยจำเรื่องราวต่างๆ มาแล้ว วิชาอื่นเราก็จำ เขาถามเราก็ตอบตามที่เราได้เรียนมา นี่ก็เหมือนกันจำไว้ ... เขาถามเท่าไหร่ก็ตอบเท่าที่เราจำ ... ไม่ใช่อย่างนั้น

ต้องเข้าถึงความเป็นจริงว่า " ธรรมะคืออะไร!! ธรรมะต้องเป็นธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้!! " กำลังมีเห็น ยังไม่เคยเข้าใจเห็น จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงความจริงของเห็น เพราะฉะนั้น เรารู้จักพระองค์แค่ไหน!! ถ้าไม่มีความเข้าใจจริงๆ ยังไกลมาก ... จำเท่านั้นเองว่า นี่คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จำว่าตรัสไว้อย่างนี้ใน 45 พรรษา จำได้ว่ามีข้อความนี้ในพระไตรปิฏก รู้จักพระองค์หรือยัง!!! เป็นเรื่องที่ต้องไม่ประมาทอย่างยิ่ง

ฟังทุกคำรู้ว่าลึกซึ้งอย่างยิ่ง เข้าใจเลยคำว่า " บารมี " ทำไมคนสมัยพระเจ้าทีปังกรฟังว่า ภายหน้าสุเมธดาบสจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าพระสมณโคดม ในอีก 4 อสงไขยแสนกัปป์ ... แล้วไง!! ... วันนึงเหรอ ... วันนึงกี่ครั้งเหรอ ... กัปป์นั้นเท่าไหร่ ... แล้วกี่กัปป์ ไม่ใช่หนึ่งกัปป์ เขายินดีเพราะเขาเข้าใจ เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เขาต้องสามารถได้ประจักษ์แจ้งธรรมะที่พระองค์ทรงแสดงให้ประจักษ์ได้ คือ " เดี๋ยวนี้ "เพราะฉะนั้น ยังห่างไกลอีกเท่าไหร่ แต่ก็เป็นบุญ เป็นโอกาสหนึ่งที่มีโอกาสได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ได้ฟังคำของพระองค์ที่กล่าวถึงแต่ละคำ ที่จารึกไว้สืบทอดกันมาจนกระทั่งไตร่ตรองให้เข้าใจ ไม่ใช่แค่จำ ธรรมะมีจริงๆ แต่ไม่รู้มานานเท่าไหร่ เริ่มจะสะสมบารมี คือ ความตรง สัจจบารมี ปัญญาบารมี เพราะฉะนั้น ฟังแล้วหวังอะไรหรือเปล่า!! ต้องตรง!! หวังอะไร!! ฟังสิจะไปหวังอะไร!! ยังไม่รู้จึงต้องฟังจะไปหวังอะไร!! ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่ฟัง ไม่ใช่หวัง กว่าจะรู้ว่าหวังเท่าไหร่ ... เดี๋ยวนี้ด้วย ... หวัง คือ ต้องการ ... ต้องการอะไรก็ไม่รู้ หรือว่าต้องการฟังให้เข้าใจ แต่รู้ไหมก่อนนั้นติดข้องที่เห็นแล้วหวังเห็นต่อไป ... ไม่รู้ตัวเลย ... ไม่อยากตาย ... อยากมีชีวิตยืนยาวเพื่อเห็นไม่ใช่หรือ!!!

ทุกคำของพระองค์ช่วยให้การไม่รู้อย่างหนาแน่นมาก มืดสนิท ค่อยๆ ทุเลาหรือบรรเทาลงสักนิดเดียวในชาตินี้ แค่ไหนเมื่อเทียบกับสิ่งที่มีแล้วจึงละความหวังว่าจะรู้เร็ว แต่ฟังเพื่อค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะความเข้าใจเท่านั้น ... ทุกอย่างปรากฏให้เห็นตามความเป็นจริงกับปัญญาเท่านั้น!!!

เดี๋ยวนี้ก็ปรากฏแต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้น เมื่อปรากฏจริงๆ ปรากฏเฉพาะกับปัญญา รู้เลยว่าทำไมเดี๋ยวนี้ไม่ปรากฏ เพราะปรากฏเฉพาะกับปัญญา!!!

ฟังไป ... ไม่ใช่ไม่ฟัง แต่ให้ละเอียดขึ้น ไม่ใช่ฟังด้วยความหวัง ด้วยความต้องการ ด้วยความเป็นเรา แต่ฟังเพื่อเข้าใจว่ามีจริงๆ ไม่ใช่เราทีละเล็กทีละน้อย ตรงไหมกับที่พระองค์ตรัส แม้แต่คำว่า " ธรรมะทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา " ... กว่าจะถึงคำนั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 24 ส.ค. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

ขอบพระคุณ และยินดีในกุศลทุกประการของคุณณัฐวรรณ ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nattawan
วันที่ 24 ส.ค. 2566

เดี๋ยวนี้มีอะไร!! เดี๋ยวนี้ของเราเป็นเราเห็น ... ก็จริง ... การที่จะเป็นสัจจบารมี คือ แม้จะเป็นเราเห็น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ฟังทำไม!! ฟังเพื่อเข้าใจ ต้องตรงนั้นเพื่อเข้าใจจริงๆ คนอื่นรู้ไม่ได้นอกจากตนเองเพราะมีเราถึงได้รวมเป็นเราเข้าใจ ... รวมตั้งแต่เป็นเรา!!

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงให้ค่อยๆ รู้ว่าตรงหรือเปล่า!!จริงหรือเปล่าที่ว่าเป็นเรา!! ตัวตนกำลังหาความตรง!! ฟังเพื่อเข้าใจธรรมะ ... มั่นคงไหม!! เป็นเรื่องที่ห่วงเราซะมากมาย แม้แต่จะฟัง ... แทนที่จะฟังและขณะนั้นก็รู้ว่ากำลังค่อยๆ เข้าใจหรือเปล่า!! ก็กลายเป็นตัวเราทำอะไร ... ตรงยังไงและขณะนั้นอยากจะตรงด้วยก็ไม่รู้

ไม่เข้าใจแต่ก็จะฟังต่อไป ... เพื่ออะไร!! เพื่อเข้าใจเท่านั้น!!! ตรงไหม!! คำพูดตรง ... แล้วการกระทำต่อไปตรงไหม!! นี่แหละสัจจบารมี

ฟังเพื่อเข้าใจ ... แต่บางทีก็เข้าใจผิด ... ฟังจนกว่าปัญญาจะเข้าใจถูกจริงๆ

ความเข้าใจถูกเราใช้คำว่า " ปัญญา " ซึ่งไม่ใช่ภาษาไทยๆ คือ เข้าใจถูก แต่เราใช้คำภาษาบาลีจนเหมือนเราเข้าใจ แต่ตรงหรือเปล่ากับคำที่พระองค์ทรงแสดง จึงต้องละเอียด

เราเคยชินกับการใช้คำที่เราไม่รู้จักโดยไม่ไตร่ตรองให้ตรงความหมาย แล้วจะได้เป็นคนตรง ฟังทุกคำเพื่อรู้ว่า อะไรๆ ๆ ๆ ๆ จริง อะไรถูกต้องและความเข้าใจนั้นเขาค่อยๆ ละของเขาไปจนกว่าจะหมดเกลี้ยง ถ้าเหลือความเป็นเราไม่มีทางเป็นพระโสดาบัน

ต้องรู้ว่า ธรรมะหมายความว่าอะไร เป็นธรรมะอะไร ทุกอย่างเป็นธรรมะ รู้ธรรมะไหน!! ฟังเพื่อเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ... นี้แหล่ะตรง!! เริ่มเข้าใจว่าเป็นธรรมะจึงค่อยๆ ละความเป็นเรา หนทางนี้ ... หนทางเดียว!!! ไม่ใช่เอาอย่างอื่นมาละความเป็นเรา เพราะฉะนั้น ฟังความจริงเพื่อรู้ความจริงตามความเป็นจริง

เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ฟัง ไม่เข้าใจคำของพระองค์ ชื่อว่ารู้จักพระองค์ไหม!! เพราะฉะนั้น ความเข้าใจของเราเป็นเครื่องวัดว่าเรารู้จักพระองค์แค่ไหน!!! หรือว่าบูชาไปทุกๆ วัน ... บูชาชื่อ ... หรือคำ เห็นไหมความตรง!! เดี๋ยวนี้ที่กำลังฟังเริ่มรู้จักตรงขึ้น ... ตรงต่อความจริง ... แต่ต้องรู้ก่อนว่าอะไรจริง ... ทุกอย่างละเอียดลึกซึ้งมาก 45 พรรษาอะไรจะมากมายอย่างนั้น เพราะธรรมะมากมายอย่างนั้น ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่เข้าใจต่อไปจะเข้าใจหรือ!! แต่ถ้าเดี๋ยวนี้เข้าใจเท่าไหร่ ก็สามารถจะเข้าใจสิ่งที่มีเท่าที่เข้าใจแล้ว

เป็นบุญที่มีโอกาสฟังและไตร่ตรอง มิฉะนั้นแล้วไม่มีเลย มีแต่ความมืดชนิดที่ไม่รู้อะไรเลยไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุดและไม่เห็นด้วย เกิดและดับไปได้อะไรขึ้นมา เป็นประโยชน์ตรงไหน ค่อยๆ เห็นความไม่เป็นสาระของสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเป็นสาระต่อเมื่อไม่ใช่เรา!!! เพราะเห็นว่าไม่เป็นสาระจึงเริ่มคลาย ไม่ติดข้องหรือไม่ใช่อยู่ดีๆ ฉันก็ละ ไม่รู้อะไรฉันก็ละ เป็นไปไม่ได้!!!

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nattawan
วันที่ 24 ส.ค. 2566

ฟังใครก็ตามแต่ คำนั้นหมายความว่าอะไร ไม่สำคัญที่คนพูดเลย จะเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของท่านพระสารีบุตร ของคนนั้นคนนี้ก็ตาม คำทำให้เข้าใจหรือเปล่า ... จริงหรือเปล่า!!

ที่สะสมไปที่จะเป็นคนตรง ถ้าได้ยินคำที่ผิด จะถูกได้อย่างไร!! ถ้าได้ยินคำที่ถูก จะผิดได้อย่างไร!! เดี๋ยวนี้รู้แค่ไหนกำลังเห็นขณะนี้!! ความเข้าใจแค่ไหนเปรียบเทียบกับเมื่อธรรมะปรากฏเพียงหนึ่ง ... ห่างไกลกันแค่ไหน!!!

ความรู้ชัดที่พระองค์ทรงแสดงทีละหนึ่งก็เพื่อให้รู้ทีละหนึ่ง เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อละความไม่รู้ ละความเห็นผิด ละความติดข้องในสิ่งที่ไม่มี ไม่มีแล้วมีแล้วก็ไม่มี แล้วมีทำไม ... มีประโยชน์อะไร!!

คิดดูว่าคำของพระองค์ตรงกันหรือเปล่า!! ค่อยๆ รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกไปทีละเล็กทีละน้อย เพราะมันมากเหลือเกินในชีวิตประจำวัน แค่ขณะเดียวก็มากมายแล้ว ... มากมายยังไง!! ความไม่รู้สิ่งที่กำลังเห็น สิ่งที่กำลังมีทุกขณะที่กำลังปรากฏความไม่รู้อยู่ตรงนั้น ... อาสวะ ... ทรงแสดงระดับขั้นของกิเลสและความไม่รู้ด้วยมากมายมหาศาลแล้วจะเอาอะไรไปละ ถ้าไม่ใช่ความรู้จริงๆ ที่ลึกซึ้ง

ถ้าไม่รู้จักพระองค์ ไม่รู้จักพระคุณมหาศาล พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ พระปัญญาคุณ แล้วเราฟังอะไรจากใคร!! พูดอะไรให้เราเข้าใจหรือเปล่า!! หรือพูดให้จำหรือบอกให้ทำ ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ ละจากการที่จะไปติดข้องในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

คิดถึงธรรมะหรือคิดคำว่าธรรมะ!!! เพราะความไม่รู้ไงล่ะ ... จะได้รู้ว่าความไม่รู้นั้นแค่ไหน!!! อย่าไปหวังให้หมดไปโดยไม่รู้เลย ... เป็นไปไม่ได้!!! 4 อสงไขยแสนกัปป์อย่างน้อยนะ พระองค์เมื่อครั้งเป็นสุเมธดาบสพบพระพุทธเจ้า 24 พระองค์ เราพบแล้วกี่องค์ ... ฟังหรือเปล่า ... รู้เรื่องไหม ... แค่ไหน!!!

ไม่ใช่สิ่งที่เราจะท้อถอย เพราะท้อถอยมี ... แต่มีประโยชน์ไหม!! ติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่าง ... มีประโยชน์ไหม!!ค่อยๆ ฟัง!!!

เราพูดไปตั้งเยอะ ทดสอบความเข้าใจ เดี๋ยวนี้ตอบได้หรือยังว่าอะไรปรากฏ!! เห็นปรากฏ!! แม้คำนี้ยังต้องละเอียด เห็นหรือปรากฏหรืออะไรปรากฏ!!! ถ้ายังเป็นคนนั้นคนนี้อยู่ ... อีกนานไหม!!! นานจนแค่หนึ่งปรากฏคิดออก ... มันจะแค่ไหน ... ขั้นไหน!!! แต่มันเป็นปัญญาใช่ไหม!!! ถ้าไม่ใช่ปัญญา ... หนึ่งเดียวจะปรากฏได้ไหม!!! ไม่ได้!!!

กว่าจะถึงวันนั้น หวังหรือเปล่า!! หวัง!! ก็จะได้รู้จักหวัง ทุกอย่างที่มีเพื่อรู้ความจริง ไม่ใช่ไปจัดการอะไร ชอบจัดการเหลือเกิน เลยติดนิสัยจัดการกับจิต จัดการกับเจตสิก จะให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ... โง่ไหม!!! พอได้ยินคำว่าโง่ ... ใช่แล้วเราไม่ใช่คนอื่น ... ตรงไหม!! เป็นประโยชน์ไหมที่รู้ตัว!!!!!

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nattawan
วันที่ 24 ส.ค. 2566

ฟังทีละคำจะค่อยๆ รู้แต่ละคำ ฟังทีละคำจนกระทั่งเข้าใจจริงๆ

ต้องเป็นผู้ตรงอย่างไร คือ ตรงตามพระธรรม

เดี๋ยวนี้มีหลายอย่าง ... เป็นไปไม่ได้ เป็นเรื่องหมดเลย ไม่ได้เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้มีอะไร คืออะไร หมายความว่าเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ ... มีแข็ง ... ปรากฏหรือยัง!! ยัง!! เดี๋ยวนี้มีแข็งหรือเปล่า!!แข็งปรากฏตรงไหน!! เห็นไหมความละเอียด ฟังเผินไม่ได้ ฟังแล้วเหมือนรู้ไปหมด ถามอะไรก็ตอบได้ แข็งก็มี เห็นก็มี ดอกไม้ก็มี อะไรก็มี ... แต่ทีละหนึ่งที่เป็นจริงตรงตามความเป็นจริง!!!

เห็นพระพุทธเจ้าไหม!!! ถ้าพระองค์ไม่ตรัสเราจะรู้ไหม!!! แต่ละครั้งที่มีความเข้าใจ ใครทำให้เกิดความเห็นถูกได้ในสังสารวัฏฏ์ พระคุณแค่ไหน!! แค่นิดเดียวที่ฟังเริ่มเห็นแล้ว ถ้ามากกว่านี้ล่ะ เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะเคารพพระธรรมจริงๆ ต้องรู้จักธรรมะจึงเคารพได้

พูดเยอะมากแล้วเข้าใจอะไรถ้าไม่ทีละคำ!! ถ้าไม่ทีละหนึ่งจะไม่เข้าใจ

ถ้าแข็งไม่ปรากฏจะมีแข็งไหม!! ไม่มี!! แล้วทำไมแข็งปรากฏ!! ต้องตรงขณะที่แข็งปรากฏ!! ขณะที่แข็งปรากฏอย่างอื่นปรากฏไม่ได้ แต่ตามความเป็นจริง เดี๋ยวนี้แข็งปรากฏแล้วมีสิ่งอื่นปรากฏไหม!! มี!! แปลว่ารู้แข็งจริงๆ หรือยัง!! ยัง!! แต่รู้ว่ามีแข็ง รู้ว่ามีเห็น แต่รู้ความจริงของแต่ละหนึ่งหรือยัง!! ยัง!! แม้แต่แข็ง ... สามัญเหลือเกินแต่ไม่รู้!!!

ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจยังไงคะเดี๋ยวนี้!!! ไม่ใช่เพื่ออะไรเลย ... ทุกคนเพื่อเข้าใจและเห็นความไม่รู้มากมาย ถ้าฟังเผินๆ ไม่มีทางที่จะรู้

ยิ่งฟังยิ่งโง่ ... นั่นแหละคือปัญญา ... รู้จริงใช่ไหมว่าโง่!! ฟังกันมานานเท่าไหร่แล้วในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น เข้าใจเมื่อไหร่เป็นประโยชน์ที่สุดที่ละความหวัง เพราะเกินหวัง หวังไม่มีทางสำเร็จ จะไม่รู้เพราะหวังแน่นอน!!! ค่อยๆ เข้าใจแล้วจะได้ไม่หวัง เพราะฉะนั้น ความเข้าใจเท่านั้นที่จะละความหวัง!!!

ซับซ้อน รวดเร็ว ละเอียด ลึกซึ้ง ยากที่จะรู้ได้ เพราะพระองค์ทรงตรัสรู้แล้วตรัสว่า ธรรมะละเอียดลึกซึ้งยากที่จะรู้ได้ เพราะทรงบำเพ็ญบารมีมาเท่าไหร่ที่จะรู้

เป็นบุญที่ได้ฟัง ความเข้าใจทีละนิดทีละหน่อยคือบารมี ที่จะทำให้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น ... เท่านั้นเอง ... เบาสบายดีใช่ไหม!!! (ตอบ : ไม่เบา!!) เริ่มเข้าใจตรง ตรงทุกอย่าง ผิดนิดเดียวไม่ตรงจะไม่รู้ความจริง ... ผิดแล้วจะตรงได้อย่างไร!!!

ฟังเพื่อเข้าใจ มั่นคง หนทางเดียว ... ทางอื่นไม่มี


ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nattawan
วันที่ 25 ส.ค. 2566

ธรรมเตือนใจ ... เก็บไว้ในหทัย ... ณ กาลครั้งหนึ่ง ... สนทนาธรรมที่ร้านบิสโตรพาเลท 9 สิงหาคม 66 เช้า

เข้าใจความหมายของคำว่า ไม่ใช่เรา เป็นธรรม แต่ยังไม่รู้จักธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งเป็นธรรม

เข้าใจแค่ไหน ก็ทำกิจละแค่นั้น

ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่สงสัยคำนี้ แต่ไม่เคยคิดว่าขณะนี้เป็นธรรม นี่เป็นธรรม ถึงได้ถามว่า ขณะนี้มีอะไร!!!

ฟังหรือเปล่า ถ้าฟังต้องเข้าใจคำที่ฟัง ไม่ใช่เรื่องราว

เราเข้าใจจริงๆ หรือเปล่าว่าเดี๋ยวนี้มีอะไร!! สับสนไม่เข้าใจ ... นี่ถูกต้อง ... นี่แหละตรง ... ไม่ใช่ฟังแล้วรู้ตลอดชัดเจนไปเลย แค่ฟังยังอย่างนี้ แล้วตัวมันที่กำลังเป็นจะแค่ไหน เพราะสับสนก็เป็นธรรมะ เราไม่ได้คิดหรอก เราคิดแค่ฟัง แต่ขณะนั้นสับสนต่างหากที่เป็นธรรมะ

ขณะนี้เดี๋ยวนี้มีอะไร!!! ถ้าสามารถเข้าใจได้จะนำไปสู่การเข้าใจขึ้นตามความเป็นจริงทีละเล็กทีละน้อย ไม่หมด แต่ก็ฟังอีก ไตร่ตรองอีก นานเท่าไหร่จึงเข้าใจความหมาย " บารมี " หนเดียวไม่พอ พหุสุตตะ พหุสัจจะ (พหุ คือ บ่อย) ถึงได้มาก เพราะฉะนั้นขณะที่ฟังอย่าหวังว่าจะเข้าใจทะลุปรุโปร่ง ... แต่เริ่มเห็นว่าตรงหรือไม่ตรง!!! ทีละเล็กละน้อย เห็นความจริงทุกอย่างแล้วแต่ว่าจะเห็นตรงไหน ... อย่างไหน!!

เวลาสนทนาธรรม ไม่เป็นธรรมะ เป็นเราอย่างนั้นอย่างนี้ตลอด ... เป็นธรรมดา ไปสงสัยในความเป็นธรรมดา!! เพราะไม่รู้ธรรมะที่เป็นธรรมดา

แต่ละคำละเอียดขึ้นๆ เผินไม่ได้ พูดบ่อยว่าธรรมดา แล้วความหมายคืออะไร!! ถ้าไม่รู้จักธรรมะจะเข้าใจความหมายของธรรมดาไหม!! แต่พูดเหมือนรู้ ต้องรู้ว่าธรรมะคืออะไรและตาคืออะไร ภาษาไทยใช้ " ธรรมดา " ฝนจะตกเป็นธรรมดา แล้วธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง ตาก็เมื่อธรรมะเป็นธรรมะก็ต้องเป็นธรรมตา เป็นความเป็นไปของธรรมะที่ต้องเป็นอย่างนั้น เห็นต้องเป็นเห็น ได้ยินต้องเป็นได้ยิน คิดต้องเป็นคิด สงสัยต้องเป็นสงสัย จนทั่ว คือ เดี๋ยวนี้รู้!!! จริงใช่ไหม ... ถ้ารู้แล้วตรงไหนก็ต้องรู้!!

ฟังอย่างนี้เป็นเหตุที่จะให้รู้ตัวจริงของธรรมะทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่จำเรื่อง มีขันธ์ มีอายตนะ มีธาตุ แต่เดี๋ยวนี้มีอะไร ... ไม่รู้!!!

อดีต ปัจจุบัน อนาคต ... อดีต อนาคต ปัจจุบัน พูดกลับกัน ... ถ้าเข้าใจคำไหนก่อนหลังก็ได้ เดี๋ยวนี้มีแล้วหมดเป็นอดีต ... สิ่งที่ยังไม่เกิดเป็นอนาคตเป็นปัจจุบัน

ตัวจริงของธรรมะไม่สงสัย แต่สงสัยอยู่หน้าหลัง

ถ้าเข้าใจว่าเป็นธรรมะจะเดือดร้อนไหมว่าอยู่หน้าอยู่หลัง

ฟังเพื่อเข้าใจ ถ้าเข้าใจจะตรงต่อคำแต่ละคำ และเริ่มเข้าใจตรง!!! อยู่ที่เข้าใจ " ธรรมะมีจริงเดี๋ยวนี้มีแต่ไม่รู้!!! "

ธรรมะมี ... จึงมีหนทางให้รู้ความจริง ไม่ใช่หนทางอื่น แล้วรู้ว่าโลภะแค่ไหนจะได้ละ ไม่เช่นนั้นโลภะนำไป มองไม่เห็นแล้วพูดได้ ถ้าเห็นต้องรู้จักธรรมะว่า เดี๋ยวนี้ไม่รู้มีจริง ไม่รู้ละเอียดจนกระทั่งไม่รู้เห็นที่กำลังเห็น ไม่รู้ได้ยินที่กำลังได้ยิน จึงทรงแสดงอาสวะ 4 ทันทีที่เห็นดับไปแค่ 3 ขณะ สิ่งที่ไม่รู้เยอะมาก อะไรมาก็ไม่รู้ ... เกิดแล้ว ... จึงไม่รู้จักตัวไม่รู้

ทุกคำของพระองค์ให้เริ่มเข้าใจให้ถูกต้อง ... ไม่ใช่จำคำ!!!

เดี๋ยวนี้รู้ไหม!! ไม่รู้!! จึงรู้ว่าบรมโง่!! ใครฉลาด!! ปัญญา!! ใครมีปัญญา!! ... ก็แล้วแต่ ... ขอให้เข้าใจธรรมะและตรงกับความจริง

ยินดียิ่งในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nattawan
วันที่ 25 ส.ค. 2566

ธรรมเตือนใจ ... เก็บไว้ในหทัย ... ณ กาลครั้งหนึ่ง ... สนทนาธรรมที่ร้านบิสโตรพาเลท 9 สิงหาคม 66 เช้า

เพราะไม่รู้ จึงฟังธรรมเพื่อเข้าใจเข้าใจคำ เข้าใจความ แต่ยังไม่เข้าใจหมด แค่ได้ยินและจำ ต่อให้บอกว่าไม่มีเรา แต่ก็เป็นเรา!! ได้ยินว่าไม่มีเราก็ได้ยินไปแต่ว่าเป็นเรา ... เห็นไหมว่าตรง!!

ใครจะไปบังคับปัญญาได้และถ้าไม่ฟังด้วยดี ต้องพิจารณาคำและเข้าใจคำที่ได้ฟังให้ถูกต้องจึงได้ทรงแสดงพระธรรม 45 พรรษา ละเอียดอย่างยิ่ง เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะว่าเป็นธรรมะจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องไปหาธรรมะที่ไหน ชีวิตประจำวันทั้งหมดซึ่งปรากฏด้วย ... แต่ไม่รู้!!! คิดก็ปรากฏ ชอบก็ปรากฏ ... แต่ไม่รู้!!! เพราะฉะนั้น ก็ให้รู้และเข้าใจให้ถูกต้อง ... เป็นอะไร ... มีปัจจัยอะไรให้เกิดขึ้น กว่าจะละได้ต้องฟังเท่าไหร่!! ด้วยความอดทนที่ไม่ใช่ว่าเราจะไปทำสักนิดเดียวก็ผิดแล้ว ... ปัญญาเท่านั้นที่รู้

ไม่เคยขาดความไม่รู้ ความไม่รู้ทำให้ผิด

เราฟังว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ ... ไม่สงสัยคำนี้และเข้าใจคำนี้ แต่ไม่เคยคิดว่าขณะนี้เป็นธรรมะ ... นี่เป็นธรรมะ ถึงได้ถามว่า " ขณะนี้มีอะไร!! " เพื่อจะได้ไม่ลืมธรรมะ คิดถึงธรรมะเสียบ้าง คิดแต่เรื่องอื่นทั้งวันเดี๋ยวนี้กำลังคิดใช่ไหม ... กำลังฟังธรรมะแต่คิดเรื่องอื่นใช่ไหม!! มั่นคงแค่ไหน!!!

คิดถึงชื่อแต่ไม่ได้เข้าใจลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏขณะนั้น แต่เป็นอนัตตา ทำให้ไม่สามารถบังคับบัญชาให้รู้ธรรมะตรงนั้นนะ ... อย่าคิดถึงชื่อ ... แต่มีการคิดถึงสิ่งที่เคยฟังที่เป็นความจริงว่ามี ... ถึงต้องตรง!!!

ฟังเพื่อเข้าใจแล้วไม่ต้องทำอะไรเลยความเข้าใจทำกิจละ เพราะกำลังเข้าใจตรงไหนก็ละไปที่เคยไม่เข้าใจตรงนั้น

ฟังจนกว่าจะรู้จักธรรมะ เพราะแม้ว่ามีธรรมะก็ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อรู้จักธรรมะ

ยินดียิ่งในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nattawan
วันที่ 25 ส.ค. 2566

ธรรมเตือนใจ ... เก็บไว้ในหทัย ... ณ กาลครั้งหนึ่ง ... สนทนาธรรมที่ร้านบิสโตรพาเลท 9 สิงหาคม 66 เช้า

ฟังเพื่อรู้จักธรรมะ ... แม้ว่ามีธรรมะก็ไม่รู้จัก!! ฟังเพื่อรู้จักธรรมะทีละหนึ่งๆ ก็เห็นเป็นสิ่งที่ปรากฏ ... แล้วเป็นอย่างนั้นไหม ... จนกว่าจะรู้ว่าเท่านั้นที่ปรากฏ ... คิดดู!! สิ่งที่ปรากฏเท่านั้น!! จะมีรูปร่างไม่ได้ มีอะไรไม่ได้หมด เฉพาะสิ่งที่กระทบตาเท่าไหร่ก็เท่านั้น (หนึ่งที่เป็นนิมิตของหนึ่ง เท่านั้น) นี่แหละคือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

อดทนจนกว่าจะรู้!! ไม่สงสัยเลยวิริยบารมีและขันติบารมีเพื่อรู้สัจจบารมี เพื่อละเนกขัมมบารมี ... จนหมด!!!

เริ่มรู้ความจริงว่าจริงไหมที่ว่า " เห็นสีที่ปรากฏ " ไม่ต้องเรียกอะไรเลย ... จริงไหม!!! พิจารณาว่าจริงไหม!!!ค่อยๆ ละความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ... ไม่ใช่ให้ไปนั่งคิด

ความเข้าใจมั่นคงไหมว่าเห็นมีจริงและสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงสิ่งที่กระทบตา เท่านั้นมั่นคงหรือยัง!! ... ยัง ... ต้องไม่ไปคิดอื่น ฟังเรื่องนี้แล้วไปคิดอื่นเอง ... แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจ!!!

ทุกคำที่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดสิ ฟังสิ เข้าใจสิ ... ขณะนั้น!! เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏขณะนั้นจริงๆ!!! ไม่งั้นเราไม่พูดเฉพาะคำนี้บ่อยหรอก ... เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏจริงๆ สีสันวรรณะต่างๆ จริงๆ แต่ธาตุรู้ที่รู้ทุกอย่างไม่ได้ปรากฏ ... แต่มีแน่นอน!!!

พูดได้ ... มีธรรมะ ... ฟังธรรมะ ... ไม่รู้จักธรรมะ เพราะฉะนั้น ต้องฟังทุกคำ" ทำไมฟังธรรมะแต่ไม่รู้จักธรรมะ " ก็ฟังเรื่องธรรมะเพื่อที่จะให้รู้ว่าเป็นธรรมะเพื่อรู้จักธรรมะ ... ละเอียดไหม!! แสดงว่าเราฟังโดยไม่รู้จักธรรมะ แต่รู้ว่ามีโดยการฟัง ... เข้าใจความหมายของคำว่า " ไม่ใช่เรา เป็นธรรมะ " แต่ยังไม่รู้จักธรรมะที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ... ซึ่งเป็นธรรมะ!!

ฟังบ่อยๆ เพื่อให้เข้าใจมั่นคงว่าเป็นธรรมะแต่ละหนึ่งๆ ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องราวใดๆ ซ้ำไปๆ ๆ ๆ ๆ จนเข้าไปจรดเยื่อกระดูก ฟังให้มั่นคงว่าอย่างนี้!!!

สาวกในครั้งพุทธกาลฟังธรรมะหรือเปล่า!! ... ฟัง ... เข้าใจมาก่อนหรือเปล่า!! แต่ก็ยังฟังธรรมะ!! ถึงเข้าใจแค่ไหนก็ยังฟัง เป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังฟังธรรมะ เพราะฉะนั้น เราฟังเพราะรู้ว่า ถ้าไม่ฟังจะไม่มีทางเข้าใจเลย ท่านเหล่านั้นเข้าใจหนทางประพฤติปฏิบัติก็ยังฟังธรรมะ เพื่อความเข้าใจนั้นแหล่ะค่อยๆ ไปละ ค่อยๆ ไปคลายความเป็นเรา

ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลย คำที่ได้ฟังไม่มีแล้วฉันจะรู้จักธรรมะเดี๋ยวนี้จะเป็นไปได้อย่างไร!! เหมือนอยู่ในความมืดสนิทเพราะไม่รู้ กำลังปรากฏแล้วไม่รู้นี่มืดแค่ไหน!!! ในความเป็นจริงด้วย

ทุกคำขาดไม่ได้เลย ต้องพูดถึงสิ่งที่กำลังมีบ่อยๆ เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจแต่ละคำในพระไตรปิฎก ไม่ใช่เพียงอ่าน ฟัง จำ แต่ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้เป็นขันธ์หรือเปล่า เป็นอายตนะหรือเปล่า

ไม่ต้องใช้คำว่าขันธ์ สิ่งนี้เกิดหรือเปล่า เกิดแล้วดับหรือเปล่า ดับแล้วกลับมาอีกได้ไหม!! นี่แหละค่อยๆ มั่นคง พอไปเจอคำว่า " ขันธ์ " เราเข้าใจหมดทุกอย่างที่เกิดดับเป็นโลก ถ้าไม่มีอะไรเกิดเลย ... เป็นโลกไหม!!เห็นเดี๋ยวนี้เป็นโลกไหม!! ถ้าไม่มีเลยไม่มีโลก!!

รู้ความหมายว่าโลก คือ สิ่งที่เกิดแล้วดับ และไม่กลับมาอีกเลย ไม่ว่าเมื่อไหร่ในสังสารวัฏฏ์

เดี๋ยวนี้ก็ฟังแต่ยังไม่เป็นอย่างนั้น!! ก็ฟังจนกว่าความจริงมันเป็นนะ เช่นแข็งเป็นสิ่งที่ปรากฏ แต่ในพระไตรปิฎกก็ใช้คำว่า "ไม่ได้ปรากฏดี " ดีหมายความว่าตามความเป็นจริง

ถ้าไม่ฟังบ่อยๆ พูดถึงอีกๆ จะเริ่มเข้าใจไหมว่า เพียงแต่สิ่งนี้กระทบตาโดยนิมิต ความรวดเร็วของการเกิดดับ ทำให้มีสัณฐานเป็นนิมิตรวมกันหมดเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

มีนิมิตตั้งแต่นิมิตของธรรมะแต่ละหนึ่ง นิมิตของเห็น ไม่รู้กี่เห็น หนึ่งขณะเห็นปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้น เพียงแค่เห็นก็นิมิตรแล้ว แข็งก็นิมิตรแล้ว ใครรู้ว่าเกิดดับ ทุกอย่างที่มีที่เกิดปรากฏโดยนิมิต เริ่มเข้าใจถึงความไม่มีเราน้อยไปเรื่อยๆ ทีละเล็กละน้อย จนมั่นคงในขั้นปริยัติ รู้จักธรรมะเดี๋ยวนี้หรือยัง!! ... ยัง ... แต่ฟัง ... มีจริง ... เป็นอย่างนั้นจริงๆ

คำว่า " รู้จักธรรมะ " หมายความว่าอะไร!! ถ้าไม่ฟังก็ไม่รู้อะไรต่อไป!! โง่เหมือนเดิม ... โง่ขึ้นทุกขณะที่เห็น!!!ทุกขณะที่เห็นนับไปสิเท่าไหร่!!!

ฟังเพื่อเข้าใจเดี๋ยวนี้!! การเกิดดับที่รวดเร็วจนกลายเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดจริงๆ แล้วเป็นเพียงแค่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นแต่ละหนึ่งเท่านั้นเอง นี่แหละค่อยๆ ปลูกฝังความเข้าใจให้มั่นคง เพราะเราลืมเสมอ เพราะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ลืมแล้ว

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดียิ่งในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 5 ก.ย. 2566

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ