Thai-Hindi 26 Aug 2023
Thai-Hindi 26 Aug 2023
- (คุณสุคินกล่าวว่า คราวที่แล้วเราสนทนาเรื่องอาวัชชนจิตทางปัญจทวารและมโนทวาร)
- เพราะฉะนั้นเรื่องของอเหตุกวิบากมีปัญหาอะไรไหม (ยังไม่มีคำถาม) เพราะฉะนั้นเราจะพูดถึงวิถีจิตทางตาหรือทางหู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะขณะนี้กำลังเห็น กำลังได้ยินเป็นต้น
- ก่อนเห็นมีจิตไหม (มี) จิตอะไร (อาวัชชนะ) ก่อนอาวัชชนะมีจิตหรือเปล่า (มี) ก่อนวิถีจิตมีจิตอะไร (เป็นภวังค์) กี่ภวังค์ (๓) ก่อนภวังค์ ๓ ขณะมีภวังค์ไหม (มี) มีเท่าไหร่ (กี่ภวังค์ไม่สามารถรู้ได้ แต่ภวังค์ทำกิจเพื่อดำรงภพชาติต่อเนื่องจนกว่ามีอารมณ์กระทบทาง ๖ ทวาร) เก่งมาก เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องเป็นชีวิตจริงๆ เป็นความเข้าใจ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ทำไมมีภวังค์ ๓ ขณะก่อนวิถีจิตที่เกิดทาง ๕ ทวาร (รู้ว่า เมื่อ ๓ ภวังค์นี้ดับไปก็มีวิถีจิต) ๓ ภวังค์นี้มีอะไรบ้าง (อตีตภวังค์ ภวังคจลนะ ภวังคุปัจเฉทะ) อตีตภวังค์คืออะไร (ไม่แน่ใจแต่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับอดีต) ไม่ใช่เลย ที่ใช้คำว่า “อตีตภวังค์” หมายความว่า มีรูปที่เป็นอารมณ์กระทบปสาท)
- ทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า “อตีตภวังค์” หมายความถึง “ภวังค์ที่เกิดก่อนวิถีจิต” เพราะเป็นภวังค์นับไม่ถ้วน ถ้าไม่พูดถึงวิถีจิตจะไม่พูดถึงภวังค์ต่างๆ เพราะเป็นภวังค์ทั้งหมด เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า “อตีตภวังค์” หมายความถึงมีรูปกระทบทวารหนึ่งทวารใดใน ๕ ทวาร
- เมื่อรูปกระทบภวังค์ ภวังค์ยังไม่ไหวได้ไหม (ไม่ไหว) ขอโทษ ฟังดีๆ รูปกระทบปสาทซึ่งเป็นทวารเป็นอตีตภวังค์ที่ถูกกระทบแล้วภวังค์ต่อไปไม่ไหวได้ไหม (ถ้าเป็นอย่างนั้นต้องไหว) กระทบภวังค์ขณะที่ ๑ ภวังค์ยังไม่ไหวก็ได้ นี่คือความละเอียดของธรรมซึ่งเราไม่สามารถจะรู้เลยถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงความเป็นไปของแต่ละขณะ (หมายถึงเมื่อกระทบอตีตภวังค์ไม่ไหวใช่ไหม) ขอโทษเมื่ออตีตภวังค์ดับ อะไรเกิดต่อ (ภวังคจลนะ) แต่คำถามว่า ภวังคจลนะไม่เกิดได้ไหมเมื่ออตีตภวังค์อารมณ์กระทบแล้วดับไป (ตอบว่าไม่ได้)
- นี่คือเราไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราไม่สามารถที่จะรู้ความละเอียดได้ พระองค์ทรงแสดงความต่างกันและการกระทบกันของวิถีจิต (อาจารย์หมายถึงถ้าเป็นปรกติ?) ปรกติหรือไม่ปรกติเราไม่สามารถรู้ได้เลยเดี๋ยวนี้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้รู้ความจริงว่า ความจริงละเอียดมาก มีมากมายต่างกันไปหลายอย่าง
- เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงแสดงความต่างกันของทวารทั้ง ๕ เมื่ออารมณ์กระทบว่า เมื่ออารมณ์กระทบปสาทกระทบภวังค์ครั้งแรกเป็นอตีตภวังค์ดับแล้ว ขณะต่อไปจะเป็นภวังคจลนะหรือยังไม่เป็นภวังคจลนะ แต่ก็ยังเป็นอตีตภวังค์ได้ต่อไปอีก
- เพราะฉะนั้นมีคำถามอะไรไหม (ถ้าอารมณ์กระทบปสาทจิตแรกตอนนั้นเป็นอตีตภวังค์ ในบางกรณีจิตต่อไปยังไม่เป็นภวังคจลนะแต่ยังเป็นอตีตภวังค์ คำถามว่า ถ้าไม่มีภวังคจลนะ ภวังคุปัจเฉทะจะเกิดได้ไหม) อารมณ์ดับแล้วหรือยัง (ยัง) เพราะฉะนั้นอารมณ์ก็กระทบภวังค์เป็นอตีตภวังค์ยังไม่เป็นภวังคจลนะได้แต่เราไม่รู้ว่ากี่ขณะ
- แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้รู้ว่า การที่จิตจะรู้อารมณ์เป็นวิถีจิตจะต่างกันตามขณะที่อตีตภวังค์เกิดและภวังคจลนะยังไม่เกิด หมายความว่าวิถีจิตที่จะรู้อารมณ์มากน้อยต่างกันแล้วแต่ว่า ขณะอตีตภวังค์ดับแล้วภวังคจลนะจะเกิดต่อหรือยัง เพื่อให้เห็นความเป็นอนัตตาแต่ไม่ใช่ใครจะไปรู้ได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่จะทำให้เข้าใจธรรมได้แค่ไหน
- เพราะฉะนั้นรูปมีอายุเท่าไหร่ (จำจำนวนไม่ได้แต่หลังจากโวฏฐัพพนะดับแล้วรูปมีอายุเหลือ ๓ขณะตามปกติ) รูปที่เป็น “ภาวรูป” มีลักษณะจริงๆ จะมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ
- เพราะฉะนั้นรูปที่กระทบอตีตภวังค์ครั้งแรกเป็นรูปกี่ขณะแล้ว (๑ ขณะ) และทันทีที่อตีตภวังค์ที่ถูกกระทบดับแล้ว จิตต่อไปเป็นอะไร (ภวังคจลนะ) รูปเหลืออายุเท่าไหร่ (๑๕) อตีตภวังค์ ๑ ขณะพร้อมกับรูปเกิดขณะแรก อตีตภวังค์ดับแล้วภวังคจลนจิตเกิดต่อเพราะฉะนั้นรูปมีอายุ ๒ ขณะจิตแล้วใช่ไหม (ใช่) เมื่อภวังคจลนะดับไปแล้วอะไรเกิดต่อ (ภวังคุปัจเฉทะ) รูปอายุเท่าไหร่แล้ว (๓ ขณะ) ภวังคุปัจเฉทะดับแล้วจิตอะไรเกิดต่อ (อาวัชชนะ) รูปอายุเท่าไหร่ (๔)
- ปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นวิบากจิตหรือปล่า (ไม่ใช่) เป็นอะไร (เป็นกิริยา) หมายความว่าอะไร (ไม่เป็นกุศล ไม่เป็นอกุศล ไม่เป็นวิบาก)
- เริ่มที่จะเป็นวิถีจิตเพื่อจิตต่อไปเกิดขึ้นเป็นอะไร (ปัญจวิญญาณ)
เพราะฉะนั้นปัญจวิญญาณ เช่นจักขุวิญญาณรู้อารมณ์อะไร (รู้สีที่กระทบปสาท) เห็นเลยใช่ไหม จักขุวิญญาณไม่ใช่เพียงรู้สีแต่จักขุวิญญาณเห็นสิ่งที่กระทบตา
- ถ้าจักขุวิญญาณเห็นสิ่งที่ดีจักขุวิญญาณเป็นอะไร (เป็นกุศลวิบาก) แล้วปัญจทวาราวัชชนะรู้อารมณ์ที่ดีที่กระทบได้ไหม (รู้อารมณ์เดียวกัน) แล้วปัญจทวาราวัชชนะเห็นไหม (ไม่เห็น) ถ้าอารมณ์เป็นอารมณ์ที่ไม่ดีจักขุวิญญาณเป็นอะไร (เป็นอกุศลวิบาก) แล้วปัญจทวาราวัชชนะรู้สิ่งที่กระทบตาที่ไม่ดีได้ไหม (รู้ได้) เพราะฉะนั้นนี่เป็นเหตุที่เป็นกิริยาจิตเพราะสามารถรู้อารมณ์ทั้งที่ดีและไม่ดีได้
- เดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนี้ใช่ไหม (ใช่) เป็นเราหรือว่าเป็นธรรม (เป็นธรรม) และรู้อายุเท่าไหร่แล้วตอนนี้ (๕ ขณะ) จักขุวิญญาณดับแล้วจิตอะไรเกิดต่อ (สัมปฏิจฉันนะ) รูปอายุเท่าไหร่แล้ว (๖) ต่อจากสัมปฏิจฉันนะอะไรเกิดต่อ (สันตีรณะ) รูปมีอายุเท่าไหร่ (๗) สันตีรณะมีกี่ดวง (๒) ต่างกันอย่างไรจึงเป็น ๒ ดวง (มีอุเบกขาสันตีรณะกับโสมนัสสันตีรณะ) ต่างกันอย่างไร (ต่างกันตรงเวทนาที่เกิดร่วมด้วย)
- เวลาที่อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากเกิดรู้อารมณ์อะไร (รู้อารมณ์เดียวกันกับที่จักขุวิญญาณเห็นแต่ต่างกันที่อารมณ์ทีดีกับดีมาก)
- สันตีรณะไหนทำปฏิสนธิ (อุเบกขาสันตีรณะ) โสมนัสตันตีรณะทำกิจปฏิสนธิได้ไหม (ไม่ได้) และถ้าเป็นอารมณ์ที่ดี ปฏิสนธิเป็นอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากได้ไหม (ได้) เกิดที่ไหน (เกิดที่สุคติภูมิถ้าเป็นมนุษย์ก็พิการ) ดีมากไม่ลืมเลย นี่เป็นเหตุที่ “หัดคิด” ถามไปถามมาเพื่อต่อไปจะต้องไตร่ตรองมากกว่านี้อีก ถ้าไม่คิดให้ถูกต้องตั้งแต่ต้นจะไม่มีทางเข้าใจความละเอียดของธรรมเลย แสดงให้เห็นความเข้าใจในความเป็น “ปัจจัย” ทุกอย่างทั้งหมดเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยแม้ความต่างกันของจิตแต่ละ ๑ ขณะ
- เดี๋ยวนี้มีสันตีรณจิตไหม (มี) ดวงไหน (อุเบกขาสันตีรณะ) รู้หรือ (ไม่รู้) นี่แสดงให้เห็นว่า เราต้องเข้าใจให้ถูกต้อง สิ่งที่ปรากฏเป็นเห็นเป็นนิมิตของเห็นแม้จะมีจิตที่เกิดก่อนแต่ก็ไม่ใช่เห็น
- เห็นเดี๋ยวนี้เป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก (ความจริงไม่สามารถรู้ได้แต่ถ้าชอบอารมณ์ที่ปรากฏก็เดาได้ว่าอาจจะเป็นกุศลวิบาก) เพราะฉะนั้นถามว่า เห็นเดี๋ยวนี้เป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก (ไม่ทราบ) นี่คือคำตอบตรง ไม่ใช่ว่าถามเรื่องนึงแล้วตอบอีกเรื่องนึง เพราะฉะนั้นต้องรู้จุดประสงค์ของการถามให้เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งแม้สิ่งที่กำลังปรากฏแต่เกิดดับเร็วและไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่าเป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก
- ตอนนี้รูปอายุเท่าไหร่ตอนสันตีรณะ (๘) สันตีรณะดับแล้วจิตอะไรเกิดต่อ (โวฏฐัพพนะ) คืออะไร (เป็นมโนทวาราวัชชนจิตที่ทำกิจโวฏฐัพพนะตอนนั้น) ไม่ได้ถามอย่างนั้นเลย ฟังคำถามดีๆ โวฏฐัพพนจิตคืออะไร (โวฏฐัพพนะทำกิจรู้มั่นในอารมณ์ที่วิถีจิตก่อนหน้านี้รู้) สับสนแล้วใช่ไหม (ไม่แน่ใจ)
- เพราะฉะนั้นไม่ใช่คำในภาษาอื่น เป็นคำที่เราใช้เพื่อที่จะเข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้นสันตีรณจิตกับสัมปฏิจฉันนจิตกับจักขุวิญญาณจิตต่างกันเพราะอะไร (คุณสุคินอธิบายว่าไม่ได้อยู่ที่คำที่ใช้แต่อยู่ที่ความเข้าใจ เปรียบเหมือนแขกมาเคาะประตูยังไม่รู้ว่าเป็นใคร เห็นแล้วก็รู้ว่าอารมณ์อะไร หลังจากนั้นเป็นสัมปฏิจฉันนะหมายถึงเมื่อเห็นแล้วก็เชิญเข้ามาคือรับต่อ แล้วก็ต้องดูดีๆ ว่าคืออะไร และโวฏฐัพพนะทำกิจเปรียบเหมือนเมื่อดูดีๆ แล้วก็ให้นั่งเก้าอี้หรือว่า…)
- เพราะฉะนั้นนั่นคือ “ความคิด” คือคิดคำที่พยายามเปรียบเทียบให้เห็นแต่ไม่ได้ให้ “เข้าใจ” จิตบางคนชอบตัวอย่าง ชอบเรื่องตัวอย่างแต่ไม่ได้รู้จักจิต ไม่รู้จักธรรม ไม่ว่าคำอุปมาจะแสดงอย่างไรแต่ต้องคิดถึงตัวจริง “ภาวะ” ความเป็นจริงของจิต ต้องมีความเข้าใจตั้งแต่ต้นว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
- กรรมเป็นปัจจัยไม่มีใครทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดแล้วดับแล้วเป็นภวังค์ กรรมเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตคือจิตแรกที่เกิดขึ้นในชาตินี้ทำกิจเกิดขณะแรกดับแล้วทำให้จิตขณะต่อไปสืบต่อเป็นภวังค์สวรรค์เป็นอย่างนี้หรือเปล่า นรกเป็นอย่างนี้หรือเปล่า
- เราเรียนให้เข้าใจความเป็นไปของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ขณะนี้ว่าเป็นอะไร ไม่ใช่เรา เดี๋ยวนี้ทุกคนรู้ว่ามีธาตุรู้ ไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่อ่อน ไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่รส ทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยซึ่งไม่มีใครสามารถรู้ได้ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้และไม่ทรงแสดง
- ต้องไม่ลืมเลยว่า มีความไม่รู้มานานเท่าไหร่ นานมาก และมีการเข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะไม่รู้ความจริงนานมาก จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง “ความจริงเดี๋ยวนี้” ที่กำลังมีแต่ละ ๑ ให้เข้าใจถูกต้องว่า “ไม่ใช่เรา”
- ศึกษาสิ่งที่กำลังมีจริงเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนเห็นเป็นต้น ไม่ใช่ไปคิดเรื่องราวมากมายที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษาโดยไม่รู้ว่า ขณะนี้เป็นอะไร เพราะฉะนั้นฟังคำทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจเพิ่มขึ้นเพื่อรู้ว่า เป็นหนทางเดียวที่จะรู้ความจริงที่ไม่ใช่เรา
- ธรรมละเอียดลึกซึ้งกำลังมีก็ไม่รู้เลย จึงต้องเข้าใจทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พูดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้มีจริงๆ แต่ไม่มีใครรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ จึงต้องฟังเพื่อเริ่มเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี ไม่ใช่ฟังแล้วคิดถึงเรื่องอุปมาต่างๆ เรื่องนั้นเรื่องนี้แต่เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีทีละเล็กทีละน้อย
- ต้องมั่นคง เดี๋ยวนี้มีธาตุรู้แน่นอนเพราะกำลังเห็น รู้ว่าอะไร กำลังได้ยินเสียง ได้ยินเสียงรู้เสียง เพราะฉะนั้นธาตุรู้มีแน่นอนเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นธาตุรู้มี ฟังคำของผู้ตรัสรู้เพื่อที่จะเข้าใจความเป็นจริงของ “ธาตุรู้” เพิ่มขึ้นมั่นคงขึ้นว่า เป็นธาตุรู้
- เดี๋ยวนี้มีธาตุรู้ไหม (มี) ตอบง่ายมากแต่รู้จักธาตุรู้จริงๆ หรือยัง (จริงๆ แล้วก็ตามนั้นให้คำตอบแต่ไม่รู้จริง) เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อรู้ความจริงว่า ลึกซึ้งเพราะกำลังมีก็ไม่รู้ ต้องเป็นคนตรงแม้ความจริงเดี๋ยวนี้เป็นอย่างที่เรากำลังพูดแต่ยังไม่รู้แล้วจะไปรู้เรื่องอื่นอีกมากมายได้ไหม
- ทุกคนอ่านได้ จำได้ แต่เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ได้ไหมถ้าไม่รู้ว่า สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้มีอะไรบ้าง ตามลำดับอย่างไรบ้าง สามารถที่จะรู้ไหมว่า เป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา
- เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เพราะว่า ทุกอย่างที่ปรากฏไม่พ้นจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
- เพราะฉะนั้นฟังเรื่องธาตุรู้ซึ่งกำลังเป็นธาตุรู้เดี๋ยวนี้เพื่อที่จะเข้าใจแต่ละคำแต่ละลักษณะของธาตุรู้ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เพื่อให้รู้ความจริงว่า เปลี่ยนไม่ได้
- เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะฟังคำอะไรให้รู้ว่า เพื่อเข้าใจธาตุรู้ว่า เป็นธาตุรู้ ไม่เคยขาดธาตุรู้เลยแต่ไม่รู้จักธาตุรู้เลย เพราะฉะนั้นฟังทุกคำเพื่อให้เข้าใจธาตุรู้ขึ้น ขณะเกิดมีธาตุรูัแน่นอน ขณะเกิดเป็นธาตุรู้ที่ไม่เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจด้วย แล้วก็มีธาตุรู้ที่เห็น
- เราจะไม่รู้เลยว่า ธาตุรู้ก่อนเห็นคืออะไร หลังเห็นแล้วธาตุรู้คืออะไร เราจึงต้องเรียนให้รู้ความเป็นไปของธาตุรู้ทุกขณะว่า เป็นเพียงธาตุรู้ซึ่งเกิดแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลย
- ฟังความจริงอย่างนี้ไม่ใช่เพื่ออยากจะรู้ความจริงนี้ต่อไปอีกแต่เพื่อเห็นความจริงว่า ทุกสิ่งที่เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลยควรจะเป็นอย่างนี้ต่อไปไหม เพียงแค่เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลยสักอย่าง
- ขณะใดที่ยังไม่เห็นโทษ ไม่มีอะไรนอกจากมีปัจจัยที่ทำให้เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย เห็นยากมาก เพราะฉะนั้น กว่าจะเห็นต้องฟังจนกระทั่งเริ่มเป็นความจริง ไม่ใช่รีบร้อนไปรู้อย่างนั้นรู้อย่างนี้แต่ว่าเพื่อให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีขณะนี้ว่า เป็นสิ่งที่มีจริงที่เป็นธาตุรู้ที่เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีก
- เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง (เริ่ม) เพราะฉะนั้นก่อนเห็นต้องมีจิตก่อนเห็น จิตที่เกิดก่อนเห็นที่รู้ว่ามีสิ่งหนึ่งสื่งใดกระทบ เห็นไหม “รู้” ทั้งนั้นแต่รู้ต่างกันแต่ละขณะ
- กรรมทำให้จิตเกิดและจิตนั้นดับ กรรมเป็นปัจจัยให้จิตเกิดต่อเป็นจิตประเภทเดียวกันไม่มีเห็นไม่มีอะไร แล้วมีเห็นซึ่งเป็นธาตุรู้ทั้งนั้น เริ่มรู้ความเป็นไปของธาตุรู้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงแต่ต้องไม่ลืมว่า เป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้นรู้ต่างๆ กัน
- ปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นธาตุรู้แต่รู้ว่า มีสิ่งที่กระทบทวาร ปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นธาตุรู้ที่รู้อารมณ์ที่กระทบกี่ทวาร (๕) ถ้าไม่ใช่อารมณ์ที่กระทบทางทวาร ๕ ทวาร ปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดได้ไหม (ไม่ได้) นี่แสดงให้รู้ความต่างกันของจิตซึ่งจะต้องมีความเข้าใจยิ่งขึ้นจะได้รู้ว่า จิตไม่เหมือนกันหลากหลายตามเหตุตามปัจจัย
- ถ้าพูดถึงธาตุรู้ต้องไม่ลืมว่า เป็นธาตุรู้ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นเมื่อปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นธาตุรู้ว่ามีอะไรกระทบทางไหนดับไปแล้ว ปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดต่ออีกได้ไหม (ไม่ได้)
- เพราะฉะนั้นต่อไปมีธาตุรู้เกิดต่อ “รับรู้” สิ่งที่กระทบโดยเห็น หรือได้ยิน หรือได้กลิ่น หรือลิ้มรส หรือรู้สิ่งที่กระทบกายแล้วก็ดับไป ต้องไม่ลืมเป็นธาตุรู้กำลังพูดถึงธาตุรู้ไม่ใช่เราเป็นธาตุรู้
- จิตที่เกิดขึ้นเห็นดับไป จิตที่เกิดขึ้นได้ยินดับไปแล้ว ฯลฯ จะเกิดอีกได้ไหมต่อทันที (ไม่ได้) ธาตุรู้ไม่หยุดเลยเกิดดับสืบต่อกัน เพราะฉะนั้นธาตุรู้ที่เห็นดับแล้วอะไรเกิดต่อ เห็นขณะเดียวน้อยมากเพราะฉะนั้นกรรมทำให้ธาตุรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งที่เห็นแต่ไม่เห็น
- เพราะฉะนั้นธาตุรู้ที่ต้องเกิดต่อ รับรู้สิ่งที่เห็นโดยไม่เห็นแต่เป็นธาตุรู้ที่ “รับรู้” สิ่งที่เห็นแล้วต่อ นี่คือที่เราใช้คำว่า “สัมปฏิจฉันนะ” ไม่ใช่จำชื่อสัมปฏิจฉันนะแล้วไม่รู้จะใช้คำอะไร แต่เป็นความเข้าใจไม่ว่าจะใช้ชื่ออะไรก็ตาม แต่เมื่อเห็นดับลงไปแล้วสิ่งที่กระทบตายังไม่ดับและทันทีที่เห็นดับเป็นปัจจัยให้ธาตุรู้สิ่งนั้นต่อโดย “ไม่เห็น” แต่รับรู้ต่อ
- เพราะฉะนั้น ไม่ใช่จำชื่อว่า สัมปฏิจฉันนจิตเกิดต่อจากจักขุวิญญาณแต่ทั้งหมดเป็นความเป็นไปของธาตุรู้ที่ต้องเกิดต่อตามลำดับโดยกรรมเป็นปัจจัยว่า เห็น ๑ ขณะน้อยมากไม่พอที่จะเป็นผลของกรรมที่ทำไว้แล้วที่จะต้องให้ผลมากกว่าเพียงเห็น เพราะฉะนั้นจึงมีธาตุรู้ซึ่งต้องรับรู้อารมณ์นั้นต่อโดยกรรมเดียวกันทำให้ต้องรู้อารมณ์นั้นต่อ
- เพราะฉะนั้นกรรมให้ผลทำให้เห็น ๑ ขณะน้อยมากดับ ทำให้ธาตุรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้นต่อเพียงรับไว้น้อยมากแล้วก็ดับ เมื่อดับแล้วเป็นปัจจัยให้กรรมทำให้ผลของกรรมเกิดขึ้นอีก ๑ ขณะ ไม่ใช่เพียงรับแต่ว่าสามารถรู้อารมณ์นั้นมากกว่าเพียงรับเป็นสันตีรณจิต ที่ใช้คำว่า “สันตีรณจิต” ไม่ใช่จำชื่อ ไม่ใช่คำแปลในภาษาอังกฤษ ไม่ใช่อะไรทั้งหมด แต่ต้องรู้ความเป็นไปของจิตต่างกันที่เป็นวิบากจิต
- เพราะฉะนั้นให้รู้ว่า กรรมให้ผลอะไรบ้าง แต่เรากล่าวเฉพาะกรรมที่ให้ผลให้ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและมีจิตอะไรที่เป็นผลของกรรมที่ต้องไม่ใช่เพียงเห็นไม่พอต้องรับรู้ไว้ด้วย และรับไว้เพื่ออะไร เพื่อที่จะรู้จริงๆ ว่านี่เป็น “ผลของกรรม” จบหน้าที่ของวิบากที่กรรมทำให้เกิดวิบากได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เพียงเท่านี้
- เพราะฉะนั้น กรรมทำให้สันตีรณจิตเกิดเป็นผลของกรรมเท่านั้น หมดหน้าที่ของกรรมแต่จิตยังต้องเกิดต่อ เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดต่อไม่ใช่ผลของกรรมแต่เป็นจิตที่ “เปิดทาง” หรือ “กระทำทาง” ให้อกุศลและกุศลทั้งหลายที่สะสมมาพร้อมที่จะไหลทันทีได้ เพราะฉะนั้นทำหน้าที่ทางปัญจทวารคือ เปิดทางให้กุศลหรืออกุศลเกิดทำโวฏฐัพพนกิจ ไม่ได้ตัดสินอะไรเลย เพราะฉะนั้นการฟังคำต้องรู้ว่า คำนั้นแปลคลาดเคลื่อน เข้าใจถูกต้องจริงหรือเปล่า หรือว่าผิดแต่เป็นคำที่ไม่มีคำอื่นที่จะใช้จึงใช้คำนี้แต่ไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจลักษณะจริงๆ ได้
- เพราะฉะนั้น เข้าใจได้ว่า เมื่อหมดหน้าที่ของกรรมที่ทำให้วิบากเกิดแล้ว จิตยังต้องเกิดต่อยังรู้อารมณ์นั้น เพราะฉะนั้นจิตนี้เปิดทางหรือกระทำทางให้กุศลหรืออกุศลซึ่งไม่ใช่วิบากที่สะสมมาพร้อมที่จะเกิดทันทีเมื่อจิตที่กระทำทางทำแล้วคือ กระทำทางแล้วดับไป
- เพราะฉะนั้นธาตุรู้ที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้นที่ยังไม่ดับต่อจากสันตีรณะก็เป็นธาตุรู้ที่รู้อารมณ์นั้นแล้วดับไป เพราะฉะนั้นธาตุรู้ที่จะต้องรู้อารมณ์นั้นต่อเกิดต่อ ต้องมีธาตุรู้ที่รู้อารมณ์นั้นเกิดต่อเพราะอารมณ์นั้นยังไม่ดับ หมายความว่า ทันทีที่ธาตุรู้อารมณ์ที่ยังไม่ดับเมื่อวิบากจิตดับหมดแล้ว ต้องมีจิตที่รู้อารมณ์ที่ยังไม่ดับใช้คำว่า โวฏฐัพนนะก็ได้แต่ต้องเข้าใจความหมายว่า เป็นธาตุรู้ที่เกิดต่อจากสันตีรณะเพราะอารมณ์นั้นยังไม่ดับ
- เพราะฉะนั้น ธาตุรู้ที่เกิดขึ้นรู้ต่อจากสันตีรณะรู้อารมณ์ที่ดีก็ได้ รู้อารมณ์ที่ไม่ดีก็ได้จึงไม่ใช่วิบากจิตไม่ใช่กุศลจิต ไม่ใช่อกุศลจิตจึงเป็นกิริยาจิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย
- เพราะฉะนั้น จิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุที่เป็นกิริยาจิตที่รู้จักแล้วมีกี่ดวง (๘) ไม่ได้ถามอย่างนั้น ถามว่าจิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยที่เป็นกิริยาจิตมีกี่ดวง ไม่ใช่วิบากจิต ไม่ใช่กุศลจิต ไม่ใช่อกุศลจิตเป็นกิริยาจิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยมีกี่ดวงที่เราพูดถึงแล้ว (๒ คือปัญจทวาราวัชชนจิตและโวฏฐัพพนจิต)
- เพราะฉะนั้น เราเรียนเข้าใจเรื่องอเหตุกจิตแล้วกี่ดวง (๘) เดี๋ยวก่อนเพราะฉะนั้นเราเรียนเรื่องอเหตุกจิตแล้วที่เราพูดถึงแล้วเดี๋ยวนี้กี่ดวงที่เราพูดถึงมาทุกวันๆ แต่วันนี้เราถามว่า เท่าที่เราพูดมาตั้งแต่เช้าเราพูดถึงอเหตุกจิตทั้งหมดแล้วกี่ดวง (๘) เท่านั้นเองหรือ อเหตุกจิตทั้งหมดมีเท่าไหร่ (ทั้งหมดมี๑๘) แล้วพูดมาทั้งหมดแล้วเท่าไหร่ ๘ เองหรือ (๑๗) ถูกต้อง ยังไม่พูดถึงเท่าไหร่ (๑) ให้ทราบว่า ๑ นี้เป็นจิตของพระอรหันต์เท่านั้นเป็นจิตของพระอรหันต์ที่ยิ้มในขณะที่รู้อารมณ์ที่คนอื่นไม่รู้
- เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า จบเรื่องของอเหตุกจิตรวมทั้งจิตของพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดต่ออารมณ์ยังไม่ดับหรืออารมณ์ดับแล้ว (ยังไม่ดับ) เพราะฉะนั้นจิตต่อไปก็รู้อารมณ์นั้นต่อเพราะอารมณ์ยังไม่ดับ
- เพราะฉะนั้น จิตที่เกิดต่อคือ กุศลจิตหรืออกุศลจิตแต่อารมณ์ยังเหลือกี่ขณะ (๗) เหรอคะ เท่าไหร่เหลือรูปรูปยังไม่ดับใช่ไหม (เหลือ ๙) เพราะฉะนั้นจิตอื่นซึ่งไม่ใช่อเหตุกจิตที่กล่าวถึงแล้วเว้นจิตของพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นขณะนั้นจิตที่เกิดจากสันตีรณะรู้อารมณ์ต่อ รู้แล้วเป็นปัจจัยให้กุศลและอกุศลที่สะสมมารู้อารมณ์นั้นด้วยความเป็นกุศลหรืออกุศล
- เพราะฉะนั้น จิตนั้นรู้อารมณ์ที่ยังไม่ดับซ้ำกันสืบต่อประเภทเดียวกัน ๗ ขณะเป็นปกติตามปกติ การสะสมของจิตทำให้เกิดโลภมูลจิต ๗ ขณะ โทสมูล ๗ ขณะ ฯลฯ กุศลหรืออกุศลตามธรรมดาที่เป็นไปในรูปเพราะกำลังมีรูปเป็นอารมณ์ ที่เป็นไปในเสียง กลิ่น รส สัมผัสสิ่งที่กระทบกาย เพราะเป็นไปในรูปที่ยังไม่ดับ ๗ ขณะ เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่ยังไม่ดับเร็วมากต่อกัน ๗ ขณะจึงใช้คำว่า “ชวนจิต”
- ชวนจิตเกิดดับสืบต่อ ๗ ขณะ รูปดับหรือยัง (ยังไม่ดับ) สำหรับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสเป็นที่ตั้งของความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส สะสมสืบต่อกันเป็นปัจจัยให้กรรมทำให้เกิดจิตที่เป็นผลของกรรมรับรู้อารมณ์ที่ยังเหลือต่อจากชวนจิต
- เพราะฉะนั้น การทำกรรมด้วยความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส เป็นปัจจัยให้เมื่อชวนจิตเกิดขึ้นทำกิจชวนดับแล้ว รูปยังเหลืออีก ๒ ขณะ กรรมจึงทำให้วิบากจิตซึ่งเป็นจิตประเภทเดียวกับสันตีรณะเกิดขึ้นแต่ไม่ได้ทำสันตีรณกิจแต่ทำ “ตทาลัมพนกิจ” คือ กิจที่รับรู้อารมณ์ต่อจากชวน
- เพราะฉะนั้น นี่คือ ชีวิตประจำวันซึ่งเราไม่เคยรู้ความละเอียดจึงยึดถือว่า เป็นเรา จนกว่าจะรู้ว่าทั้งหมดเป็นจิตอะไรบ้าง สืบต่ออย่างไรบ้างแต่ละขณะ เป็นจิตที่มีเหตุเกิดร่วมด้วย หรือไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย เป็นจิตที่เป็นเหตุ หรือเป็นจิตที่เป็นผลซึ่งจะทำให้ค่อยๆ ละความยึดถือว่า เป็นเรา ในขั้นฟัง
- (อาช่าถามว่า ตทาลัมพนะทำกิจอะไร) จิตต้องเกิดต่อตามลำดับ เพราะฉะนั้นเมื่อชวนจิตดับแล้วรูปยังไม่ดับก็มีธาตุรู้เกิดขึ้น “รับรู้” อารมณ์ที่ยังไม่ดับ นั่นคือใช้คำว่า “ตทาลัมพนะ” เข้าใจแล้วนะคะ (เข้าใจ)
- คราวหน้าเราจะพูดเรื่องอเหตุกจิตอีก เพราะฉะนั้นวันนี้ให้ทราบว่า “หสิตุปปาทจิต” ซึ่งเป็นจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุเป็นจิตของพระอรหันต์ ถ้าเราจะพูดถึงเดี๋ยวนี้ พอจะคิดหรือเคยฟังมาบ้างไหมว่า หสิตุปปาททำกิจอะไร (เท่าที่ได้ยินรู้ว่าเป็นจิตของพระอรหันต์)
- เพราะฉะนั้นหสิตุปปาททำกิจเห็นไม่ได้ ทำกิจอาวัชชนะไม่ได้ ทำกิจสัมปฏิจฉันนะไม่ได้ ทำกิจตทาลัมพนะไม่ได้เพราะนั่นเป็นวิบากจิตแต่นี่ไม่เป็นวิบากจิต เพราะฉะนั้นยังเหลือกิจที่จะต้องไปคิดดูว่าจะต้องทำกิจอะไร เพราะทั้งหมดมี ๑๔ กิจ ลองดูเท่านั้นเองว่า จะคิดออกไหม
- สำหรับวันนี้สวัสดีนะคะ ดีมากที่ไม่ลืมสิ่งที่ได้ฟังแล้ว สวัสดีค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบขอบพระคุณและยินดีในกุศลทุกประการของคุณสุคิน คุณอาช่าและผู้ร่วมสนทนาชาวอินเดียทุกท่าน
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลของคุณอัญชิสา (พี่สา) ในความช่วยเหลือตรวจทาน
กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการของอาจารย์คำปั่นและคณาจารย์ มศพ. ทุกท่านครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดี
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ เป็นอย่างยิ่ง ที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ ทุกคำ เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง
และยินดีในกุศลของผู้ช่วยตรวจทาน และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ