ปัญจทวารปิดบังมโนทวาร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สนทนาธรรมที่ร้านบิสโทรพาเลท 9 ส.ค. 66 ช่วงบ่าย
ปริยัติ คือ รอบรู้ในพระพุทธพจน์มั่นคง เดี๋ยวนี้มีอะไรปรากฏ!! ต้องตรงมิเช่นนั้นไม่สามารถเข้าใจแต่ละคำ
พูดถึงความไม่รู้ ก็ไม่รู้มันอยู่ไหนทั้งๆ ที่ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ธรรมะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะรู้จักพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำต้องไตร่ตรอง ต้องเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีใครจะให้ไม่มีไม่ได้ เพราะเกิดแล้ว มีแล้วมั่นคงว่าเราไม่ได้ไปทำ เพราะมีเหตุให้เกิดมั่นคงด้วยว่าเพราะเหตุหลากหลาย
ปัญจทวารปิดบังมโนทวาร ทรงแสดงตามความเป็นจริงให้ค่อยๆ พิจารณาขณะนี้มีเห็น มโนทวารเกิดต่อ ... แล้วไหนมโนทวาร!!! แต่ยังเห็น!!! เพราะฉะนั้น ปัญจทวารปิดบังมโนทวาร!!! มโนทวารเกิดมากกว่าปัญจทวารแต่ละทวาร
ฟังมี 2 อย่าง คือ ฟังแล้วไม่สนใจเลยกับฟังแล้วได้ยินบ่อยๆ ก็จำเด็กๆ ได้ยินคำว่านามธรรมกับรูปธรรมได้ยินบ่อยๆ ก็จำได้ แต่เข้าใจไหม!!! เพราะฉะนั้น เราฟังเราจะรู้ได้ว่าแบบไหน คนที่ฟังเผิน ... ไม่สนใจเลยแค่ได้ยิน ได้ยินคำต่างๆ สนใจคำต่างๆ กัน ฟังไปไม่คิด ไม่ไตร่ตรองเลย จึงไม่เข้าใจสักคำ เพราะฉะนั้น ไม่ได้อยู่ที่ฟัง ... อยู่ที่เข้าใจคำนั้นด้วย
พระองค์ทรงแสดงว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ " ทุกอย่างเป็นโน่นเป็นนี่แล้วธรรมะหมายความว่าอะไร!! " เพราะฉะนั้น ต้องมั่นคงในความไม่รู้ เพราะแม้ความไม่รู้ก็ไม่ใช่เรา ความรู้ก็ไม่ใช่เรา รู้เป็นรู้ ไม่รู้เป็นไม่รู้ เพราะฉะนั้น ผู้ตรงคือไม่รู้แค่ไหน แม้แต่คำว่าทุกขณะ แต่ละขณะในชีวิตจริงๆ ถ้าไม่ใช่ความรู้ที่จริง ประจักษ์แจ้ง ปัญจทวารปิดบังมโนทวารซึ่งมากกว่าทางปัญจทวาร เพราะฉะนั้น กว่าจะแยกเป็นแต่ละหนึ่ง กว่าจะเป็นทุกอย่างมโนทวารเท่าไหร่ไม่ปรากฏ นั่นคือปัญจทวารปิดบังมโนทวาร
ให้เริ่มคิด ... ความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่ปรากฏและมีความไม่รู้ในทุกอย่างเพราะไม่เคยฟัง ใครก็คิดเองไม่ได้ คิดเองได้อย่างไรว่า เป็นเพียงแค่สิ่งที่กระทบตาปรากฏ จนกว่าได้ยินและไตร่ตรองว่า จริงไหม ถูกไหม จนมั่นคงว่า ความจริงไม่ได้ปรากฏในชีวิตประจำวัน เพราะว่าต้องปรากฏกับปัญญาที่เข้าใจถูกแต่ละหนึ่ง
เห็นความต่างของปัญจทวารว่าต้องมีมโนทวาร ทางหูโสตทวารก็ต้องต่างจากปัญจทวารอื่นๆ และมโนทวาร นี่ถึงจะค่อยๆ สลายความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกาะกลุ่มกันแน่นมาก จนเป็นแก้วบ้าง เป็นโต๊ะบ้าง เป็นอะไรบ้าง เป็นกระเป๋าบ้าง ทั้งหมดทั้งชีวิต จนกว่าจะได้ฟังและเป็นคนตรงว่าจริงไหม!!! แค่นี้เป็นสัจจบารมี ... ถ้าจริง!!!
ได้ยินว่ามโนทวาร มโนทวารหมายความว่าขณะที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส แต่คิด ... ถ้าไม่ใช่ 5 ทางก็ต้องทางมโนทวาร ... แต่ไม่ได้ปรากฏ
พระองค์ตรัสว่า ปริยัติฟังเข้าใจความจริงมั่นคงแค่ไหน!!! นำไปสู่การที่เริ่มรู้ว่า มีสิ่งที่ยังไม่รู้จักแต่กำลังมี หนทางที่จะรู้จักมี เมื่อเข้าใจขึ้น แข็งไม่ใช่เห็นเพราะฉะนั้น ก็เริ่มสนใจ แค่สนใจ ... มันก็มนสิการะ ... อโยนิโสแทน ... ใช่ไหม!!!
รู้ว่าขณะนั้นมีเห็น ขณะนี้เห็นยังไม่ตรงเลย แต่ไม่ลืมและเริ่มคิดถึง กว่าจะถึงการที่จะเข้าใจได้ ... ฟังมาเท่าไหร่ ลืมหมด เพราะอะไร ... นี่แก้วน้ำ นั่นคน เดี๋ยวเราจะไปนั่นไปนี่ แล้วไหนล่ะธรรมะที่ฟัง!!! เพราะฉะนั้น กว่าจะแม้คิดถึง ... วันนี้ทั้งวันคิดถึงบ้างไหม ... พรุ่งนี้ล่ะ!! เมื่อวานก็ไม่!! เมื่อเหตุไม่พอแล้วผลจะมีได้อย่างไร!!!
เชิญคลิกชม
ณ กาลครั้งหนึ่ง "สนทนาธรรมที่ ร้านบิสโตรพาเลท" บ่ายวันพุธ ที่ ๙ ส.ค. ๒๕๖๖
🟦 https://fb.watch/mGVabiONe-/?mibextid=cr9u03
🟥 https://youtu.be/A_FGses3wmw?si=LaezqGjrEUk_yE01
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
ฟังรู้ว่าโง่จริงๆ!! โง่เมื่อเห็น!! ให้รู้ที่มีก่อน ค่อยๆ เข้าใจให้ถูกตามลำดับว่ามี เพราะฉะนั้น พระองค์ตรัสรู้สิ่งที่ต้องมี กี่ชาติๆ ก็มีเห็น ได้ยิน พวกนี้แหละ จึงละความเห็นผิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังคงเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ได้ปรากฏทีละหนึ่ง ซึ่งต้องมีความเข้าใจก่อน เพราะปรากฏทั้งนั้นแหละ ... แต่ไม่รู้
เริ่มเข้าใจความต่างว่าเห็นคืออะไร!! ละเอียดมาก ประมาทไม่ได้เลย เห็นไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็น เราไม่คิดตรงนี้แต่ไปคิดว่า เห็นคืออะไร!! เราคิดแค่นั้นแต่ความจริง เห็น เราไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ถูกเห็น เห็นคืออะไร!! นึกไหม คิดไหมไม่เลย!!!
ได้ยินไหม ... ได้ยินแค่ครั้งเดียวจะพอไหม!!! ข้อสำคัญคือเห็นประโยชน์ไหม!!! ถ้ารู้สิ่งนั้นเป็นประโยชน์แค่ไหน ... ไม่เคยรู้มาก่อนสักคำ ที่ใครจะพูดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ได้ถูกต้อง ให้เกิดความเข้าใจความจริงว่า ถ้าเป็นเราทำไมมีเกิดมีตาย!!! ถ้าเห็นเป็นเรา ได้ยินเป็นเรา ... ก็ได้ยินกับเห็นนั่นไม่เหมือนกัน ... แล้วเราอันไหนล่ะ!!! ไม่รู้ไปหมดเลย
แม้แต่การจะเป็นคนที่เริ่มไตร่ตรองต้องคิดถึงความถูก ผิดและความจริงไม่ใช่ให้เรามาไตร่ตรองนอกลู่นอกทาง
เป็นคนตรง นั่นคือ สัจญาณ ถ้าไม่ตรงนิดเดียวก็ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ตรงไหม!!! นอกจากไม่ตรงแล้วยังทับถมด้วย ... มากขนาดไหน!! กว่าจะทิ้งไปหมดได้ หมายความว่า เดี๋ยวนี้ก็รู้ความจริงที่ประจักษ์แจ้ง จึงหมดความสงสัย ถ้ายังไม่ประจักษ์แจ้ง ... ก็สงสัยแล้ว ... มโนทวารปิดบังปัญจทวาร!!!
ถ : เมื่อทับถมอย่างนี้และความรู้ก็เล็กน้อย
ทอจ : แต่สามารถรู้ได้
ถ : ขันติความอดทน ...
ทอจ. : มาแล้วคำ ... ไม่ลืมเลย ... พอพูดก็รู้ว่าเป็นคำนั้น เพราะฉะนั้น เราคิดถึงคำ ไม่ได้คิดถึงความจริง แล้วจะรู้ความจริงได้อย่างไร!!
เข้าใจมีชื่อไหม!! ... ไม่มี ... แต่พอเราไปนึกถึงชื่อแล้วจะเข้าใจไหม!!!ลักษณะมีก็ไม่รู้ จะได้รู้ว่าพระองค์ตรัสภาษาที่คนสมัยนั้นเข้าใจ เพราะฉะนั้น เข้าใจในภาษาของเรา ฟังในภาษาของเรา ไม่ต้องจำคำอื่น เพราะไม่เข้าใจคำจึงไม่คิดถึงลักษณะที่มีจริงๆ โลภะแฝงมาเราก็ไม่รู้ตัว!!! โง่ขนาดไหน!!!
คิดแล้วจริงอย่างที่คิดไหม!!! แล้วคิดทำไม!!! อกุศลเกิดทั้งวัน ไม่มีใครเตือนก็ไหลไปเรื่อย ถึงได้บอกว่าเราฟังไม่ต้องไปคิดถึงภาษา คิดถึงตัวภาวะความเป็นจริง ภาษาไหนก็ได้แต่ว่าตัวภาวะมันมี จะใช้ภาษาที่คนรู้ได้ว่าหมายความถึงอะไร อย่างเราคนไทย ... ภาษาไทยแน่นอน ไม่ต้องไปคิดถึงคำอื่น ... แต่พอเข้าใจแล้ว บาลีคำไหนมา เรารู้เลยหมายความถึงคำไหน!! หมายความถึงสิ่งนั้นเพราะรู้เข้าใจ ต่างกับไม่รู้แล้วก็จำ
เราอยู่ในโลกซึ่งนานเท่าไหร่แล้วสังสารวัฏฏ์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากี่พระองค์ตั้งแต่สุเมธดาบสได้เฝ้าพระเจ้าทีปังกรสัมาสัมพุทธเจ้า ผ่านไป 24 พระองค์ ... เราอยู่ไหน ... เราฟังอะไร ... เราเข้าใจแค่ไหน!! แต่ยังมีบุญที่ได้ฟัง จะน้อยจะมากยังดีกว่าไม่ได้ยินสักคำ แล้วก็ไม่ได้ผ่านไป ยังสนใจที่จะฟังต่อ เพราะว่าความจริงสามารถจะรู้ได้เพราะจริง ... ก็ต้องรู้ตามความเป็นจริง
เข้าใจทุกคำแม้แต่คำว่าบารมี บาร คือ ฝั่งที่ไม่มีกิเลส ฝั่งนี้จะไปถึงอีกฝั่งถ้าไม่มีความเข้าใจไม่มีทาง!!! ด้วยเหตุนี้ในบรรดาสิ่งที่เกิดดับทั้งหมดปัญญาประเสริฐสุด
ถ : ขณะนี้พวกเรากำลังอบรมจิต ขัดเกลาความไม่รู้
ทอจ :ทุกคนฟังเพื่อเข้าใจค่ะ!!
ถ : โอกาสอย่างนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นกับทุกคน
ทอจ : กำลังเข้าใจนั่นแหละขัดเกลา!!
ถ : ได้ยินคำว่ามโนทวารปรากฏทำให้คิดถึงภวังคุปเฉทะ
ทอจ : คำทั้งนั้น
ถ : ทั้งสองคำเกี่ยวข้องกันอย่างไร!!
ทอจ : เดี๋ยวนี้มีทวารไหม ... ทวารไหน!!
ถ : โสตทวาร
ทอจ : คิดถึงชื่อทวารหรือสภาพที่มีที่จะรู้ได้ทางหูไม่ใช่ทางตา!! เราจะไปจำชื่อไว้ทำไม!! กับเราเข้าใจ ... จะใช้ชื่อไหนก็ได้!! ลืมคำก็ต้องสงสัย เพราะยังไม่รู้ตรงนี้อยู่ร่ำไป ... ไม่สงสัยหรือ!! รู้จักแต่ชื่อ!! แต่ไม่รู้จักตรงนี้!!
ถ: ยาก!!!!!
ทอจ : ใครบอกว่าง่าย ... คนไม่รู้นั่นแหละบอกว่าง่าย!!!
ถ : ท่านอาจารย์เคยบอกว่า ทีละคำ คำว่าทวารเมื่อได้ฟังแล้วก็ต้องเข้าใจความหมายของคำนี้โดยการฟัง
ทอจ : นั่นแหละเข้าใจแล้วไหมโดยการฟัง!!! ทสงตาก็คือจักขุทวาร หมายความว่าต้องอาศัยตา ปรากฏทางไหน ... ไม่ใช่หู เดี๋ยวนี้สิ่งที่ปรากฏทางตาชัดเจนไหม!! ว่ามันปรากฏทางตา ... ทางตากำลังปรากฏ!! ถ้าเราบอกจักขุทวารเป็นภาษาเราหรือเปล่า!! แล้วจะนึกถึงตาไหม ... นึกถึงคำ!!
ถ : มโนทวารปรากฏทางใจ
ทอจ : ทำไมไม่พูดถึงตัวจริงในภาษาของเราว่าไม่ใช่ตาที่เห็น ไม่ใช่หู ไม่ใช่จมูก ไม่ใช่ลิ้น ไม่ใช่กาย แล้วยังมีธาตุรู้ ... แล้วรู้ทางไหนล่ะ!!! ไม่ใช่ทางตาไม่ใช่ทางจักขุทวารต้องอย่างนั้นหรือ!!! ถ้าทุกคนเข้าใจหมดก็ไม่ต้องพูดภาษาไทย ก็พูดภาษาที่ตนเข้าใจจักขุทวาร โสตทวารไปสิ!!
ถ : ดังนั้นภวังคุปเฉทะก็ปรากฏทางมโนทวารเช่นกัน
ทอจ : อะไรไม่ปรากฏทางมโนทวาร!!
ถ : ไม่มีเลย
ทอจ : เห็นไหมว่าความเข้าใจของเราไม่ชัดเจน ได้ยินมาผ่านหู คิดว่าเข้าใจ ... ตามคำ ... แค่คำ ... แต่ลึกกว่านั้น!!!!!
ถ : การฟังที่จะไม่ติดในชื่อในเรื่องแสดงว่าความเข้าใจขั้นฟังต้องมั่นคงอย่างยิ่ง จนกระทั่งให้เราคิดถึงตัวภาวะ
ทอจ : ในภาษาของเรา ... พอเขาบอกโสตทวาร เรารู้เขาหมายถึงทางหู ไม่ไปติดที่โสตะทวารแล้ว โสตทวารไม่ใช่คำในภาษาไทย แต่คำว่าทางหู ... รู้เลยชัดเจนว่า ทวารคือทาง โสตะคือหู แล้วในเมื่อเรามีหู แล้วก็รู้ว่าทางหู ... แล้วทำไมเราไปพูดโสตทวาร คล้ายๆ ว่าถ้าไม่พูดคำนี้แล้วเราไม่ได้เรียนธรรมะ ... เอาธรรมะมาเป็นชื่อ
ถ : ถ้าเข้าใจจิตรู้ว่าทางตา หู จมูก ลิ้นกาย และทางใจก็คือทางใจ
ทอจ : แล้วเขารู้จริงๆ ไม่มีสักคำ ... กำลังได้ยินต้องใช้คำอะไรไหม!! (ตอบว่า ไม่ต้อง) เห็นไหม ... ไม่ต้องใช้สักคำ!! ... เริ่มชินต่อภาวะ
ถ : ถ้าเข้าใจตามภาษาของตนๆ จะเข้าถึงความเป็นลักษณะของธรรมะมากกว่าที่จะไปพูดชื่อบาลี!!
ทอจ : แต่ว่าละเอียดกว่านั้น ลึกซึ้งกว่านั้น ภาษาไทยเราก็พูดได้ว่า ... มีจริง ... เข้าใจแค่ไหน!!
ถ : มีสภาวะ ... รู้อารมณ์
ทอจ : ก็สภาวะมันคือภาษาอะไร!!!
ถ : จิตมีสภาพรู้อารมณ์ แทนที่จะพูดจิต แต่พูดว่าสภาพรู้อารมณ์ ... มันชัดถึงสภาวะ ...
ทอจ : ก็ยังมีสภาพอยู่ อย่างไรก็ตามแต่ไม่เอาคำมานั่งจำ ทันทีที่ได้ยินรู้ว่าหมายความถึงอะไร!!
ถ : น้อมเข้าถึง ... น้อมอีกแล้ว ...
ทอจ : คือเราติดการฟังว่าเราเคยฟังแบบนี้!!
ถ : ท่านอาจารย์เตือนดีมาก เป็นเหตุปัจจัยให้สังขารขันธ์ค่อยๆ น้อมที่จะปรุงแต่ง
ทอจ : น้อมไหม ... กำลังน้อมก็ไม่ต้องพูดว่าน้อม!!
ถ : มันติดคำจากการฟังมา
ทอจ : ติดจริงๆ ค่ะ!!
ถ : ติดมาก
ทอจ : ติดมากเพราะว่าพูดถึงคำให้จำและให้รู้ความหมายของคำ แต่ตัวธรรมะต่างหาก!! เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ขึ้นกับเราฟังมาก แต่ต้องเข้าใจมาก!!! เวลาเราคุยเพื่อความเข้าใจ ไม่ต้องใช้โสตทวารใช่ไหม จักขุทวารก็ไม่ต้องใช้ใช่ไหม ก็ใช้ภาษาของเรา กำลังเห็นนี่แหละ ... จักขุวิญญาณมาแล้ว แล้วสัมปฏิฉันนะมาต่อ แล้วชาติหน้าก็ลืมหมด เหมือนภาษาบาลี เราอาจเคยพูดมากี่ชาติ พอถึงชาตินี้ไม่รู้สักคำ ... ที่ได้ยินมาในภาษานั้น ... ไม่รู้สักคำ!!!
ธรรมะภาษาไหนก็ได้ใช่ไหม!! ถ้าเขาพูดธรรมะภาษาฝรั่งเศสเราก็ไม่รู้เรื่อง ภาษาสเปนเราก็ไม่รู้เรื่อง เขาพูดภาษาจีนเราก็ไม่รู้เรื่อง เรารู้เรื่องเมื่อฟังภาษาที่เราใช้ ก็แทนที่จะเป็นจีนหรือฝรั่งเศส ก็เป็นบาลี แล้วเราคิดว่าเรารู้ไหม!! ถ้าเป็นภาษาไทยก็เข้าใจดีกว่า ... เข้าใจถึงตัวธรรมะด้วย!!! ไม่ไม่งั้นเราไปนั่งจำคำ
จริงๆ ต้องรู้จุดประสงค์ ธรรมะมีจริงถ้าไม่พูดไม่ใช้คำอะไรไม่รู้ว่าหมายความถึงอะไร จึงจำเป็นต้องมีคำมากๆ เพื่อให้ตรงกับความหมาย ภาษาบาลีเป็นภาษาที่ชัดเจนที่สุดกระชับที่สุด ตรงความหมายที่สุดเปลี่ยนไม่ได้ เพราะเป็นภาษาอื่นกว่าจะได้อย่างนั้นสักคำอาจจะต้องใช้อีกหลายคำก็ได้ในภาษานั้น ที่จะให้เข้าใจความหมายนั้น
จุดประสงค์คือให้เข้าใจ ... ภาษาไหนก็ตามภาษานั้น เพราะฉะนั้น เราพูดคำที่เราเข้าใจกัน ... แต่เข้าใจภาวะหรือความจริงของสิ่งนั้น ... หรือเข้าใจว่ามันแปลว่าอะไรหมายความถึงอะไรเท่านั้น!!! เช่นเห็น ไม่มีคนไทยคนไหนที่ไม่รู้จัก ใครเห็นก็รู้ คนสมัยนั้นฟังภาษาบาลีก็รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงเห็น ... แต่เข้าใจไหมว่า ... เห็นคืออะไร!!!
ทุกคำกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงที่จะต้องไตร่ตรอง เห็นเป็นสภาพรู้ แต่ตัสรู้จริงๆ ปรากฏให้เข้าใจไหม!!! ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ไม่ใช่เพียงแค่เห็นอะไร ทุกคำมีเดี๋ยวนี้ด้วยและต้องเข้าใจด้วย เพราะฉะนั้น ได้ยินแต่ชื่อ ... เข้าใจความหมาย ... แต่ก็ยังไม่รู้จักเห็น!!
คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ยินไม่ใช่เพื่อจำ แต่เพื่อให้รู้จักว่าลักษณะเป็นอย่างนั้นตามที่พระองค์ทรงแสดง และก็แปลกที่ต้องมาแปลซ้อนอีก " ให้รู้จักความจริงของธรรมะที่มีจริงตามความเป็นจริงของธรรมะนั้นๆ "
เห็นทางตา ทางหูได้ยิน นี่เข้าใจได้ แต่ยังไม่เข้าใจตัวจริง เพราะทุกคนรู้ว่าเห็นทางตาแน่ๆ แต่ก็พูดให้เห็นความต่าง ได้ยินทางหู ว่ามันแต่ละลักษณะ นี้คือการที่จะให้เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละลักษณะ
ได้ยินแล้วเดี๋ยวนี้เข้าใจแค่ไหน!! อยู่ที่ความเข้าใจภาวะความเป็นอย่างนั้นว่า แม้แต่เห็นมีจริง ไม่ใช่คิดขึ้นมาเองเพราะกำลังเห็น ... แต่ตัวเห็นยังไม่ปรากฏ เพราะไม่เคยคิด ไม่เคยรู้ จึงเป็นเราเห็น!!
ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ไม่มีเรา ไม่มีโลก ไม่มีอะไรเลย!!! แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธาตุรู้ ใครล่ะ ... อยู่ไหนล่ะ ... ก็เราน่ะสิเห็น ... กลายเป็นอย่างนั้น!!! ถึงได้รู้ว่าเข้าใจผิดหรือถูกที่ว่าเป็นเห็นเป็นเรา เพราะความจริงพระองค์ตรัสว่า ไม่มีเรา ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นอัตตาเลย ... สิ่งหนึ่งสิ่งใดคืออนัตตา
ฟังแล้วใส่ใจภาวะ เห็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ การฟังเพื่อสะสมความเข้าใจเหล่านี้ไปจนมั่นคง ถึงจะเป็นปัจจัยให้เกิดปัญญาขั้นต่อไปได้ ... อีกนานแสนนานเท่าไหร่!!!
สิ่งที่เห็นอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่เห็นแล้ว!! ... จริงไหม!! คือสิ่งที่เห็นเดี๋ยวนี้ไม่ใช่สิ่งที่เห็นแล้ว ตอนนี้เห็นอยู่!! ไม่ใช่ ... คิดอยู่ ... ต้องตรงถึงต้องไตร่ตรองจนกระทั่งถึงความจริงที่ลึกซึ้ง สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ต้องเข้าใจตรงนี้ในสิ่งที่มีตรงนี้ ไปพูดตรงอื่นให้เข้าใจตรงนี้ ... ไม่ใช่ ... ไม่มีทางด้วย ... เข้าใจผิดมาตลอด ... เพราะว่าเราจำคำและสนใจคำและคิดว่าเราเข้าใจคำมาก ... แล้วมีประโยชน์อะไร!!!
จากความไม่รู้มาเป็นปริยัติ กว่าจะเป็นปริยัตินี่กี่คำและเข้าใจความจริง ไม่ใช่จำชื่อ แล้วรู้ว่าขณะนี้เป็นความเข้าใจระดับไหน ขนาดว่าไม่ใช่คนโน้นคนนี้ แต่ก็ยังเป็น เพราะยังไม่พอที่จะเข้าใจเฉพาะหนึ่งและแต่ละทางด้วย
ก่อนเห็นก็มีจิต จิตนั้นไม่ได้เห็น แต่จิตนั้นต้องรู้ อารมณ์ไม่ปรากฏ ปัญญาน่าจะรู้นะ ในเมื่ออารมณ์อื่นไม่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่านั่นแหละตัวรู้
เห็นไหมว่าความไม่รู้แค่ไหน!! มีอยู่ ... ไม่รู้แน่ๆ ... ฟังเท่าไหร่ก็ไม่รู้ จนกว่าปัญญาจะรู้ตามลำดับ ก่อนเห็น ... ไม่มีเห็น ... แต่มีจิต ... มีใช่ไหม!! รู้ไหม!! แล้วหาจิตไหม!! ทั้งๆ ที่นั่นแหละคือจิต เพราะอารมณ์อื่นไม่ปรากฏ จิตมี ... แต่ความไม่รู้ไปรู้สิ่งที่เป็นจิตแต่ไม่สามารถเข้าใจว่าไม่ใช่เรา!!! ตัวไม่มีเห็นนั่นแหละคือจิตเพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจจริงๆ แม้ขณะเห็น ... เพราะรู้จักเห็น ... จึงรู้ว่าขณะนั้นอะไรเป็นจิต มิเช่นนั้นไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ถ้าสิ่งนั้นยังไม่ปรากฏจริงๆ กับปัญญา แม้กำลังมีปรากฏก็ไม่รู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีในขั้นการฟังอย่างมั่นคง ... อดทนแค่ไหน!!!
อะไรก็ได้ ... เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย มันชัดเจน แต่ก็ไม่ถึงความเป็นอนัตตา เพราะปัญญาไม่พอทั้งๆ ที่ความรู้จริงนั่นแหละอนัตตาทั้งหมด ... เกิดแล้ว ... ไม่ได้ไปทำ ... ตามเหตุตามปัจจัย ... จะไม่ให้โกรธก็ไม่ได้ จะไม่ให้คิดก็ไม่ได้ จะไม่ให้โง่ก็ไม่ได้ ... มีทั้งนั้น ... แต่รู้!!
ต้องรู้จุดประสงค์ของการฟังเพื่อเข้าใจทุกคำที่ลึกซึ้งคุยสิ่งที่ไม่ได้ปรากฏเลยและเข้าใจไม่ได้ด้วยคิดว่านั่นแหละคือการศึกษาธรรมะแต่ไม่ใช่ไม่รู้จักธรรมะรู้จักแต่ชื่อกับเรื่องราวทั้งทั้งที่ตัวธรรมะทั้งนั้นเลย
จุดประสงค์คือให้รู้ความจริงจนกว่าจะรู้ว่าเพราะอะไรที่ไม่ใช่เรา!! แค่บอกว่าเราคำเดียวจะรัูได้ไหม!! ต้องแสดงจนละเอียดยิบ ตั้งแต่เกิดมีอะไร ความไม่รู้และการสะสมสิ่งที่ต่างอัธยาศัย แน่นมาแค่ไหนในโกฏิกัปป์ในสังสารวัฏฏ์ แน่นไปกว่านั้นอีก อยู่นี่อยู่ที่จิตนั่นแหละเป็นธาตุรู้ จะมีรูปร่างได้อย่างไร เท่าไหร่ก็ไม่เต็ม เพราะมันไม่มีที่ มันไม่ต้องการที่ มันพอกพูนของมันเอง แต่ทำไมมันยังไม่เกิดล่ะ เพราะยังไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิด
เริ่มเข้าใจ แม้แต่เห็นทใครไปทำถ้าไม่มีปัจจัย เพราะฉะนั้น ทรงแสดงความเป็นจริงแต่ละขณะต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัย ค่อยๆ น้อม ไม่ใช่เราน้อม ความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ ๆ ใกล้เข้าไปนั่นคือน้อม ได้ยินคำแล้วเข้าใจตัวธรรมะ หนทางที่เขาเป็น ไม่ใช่เราไปคิดเองตามคำว่า น้อมกันนะ ไปปฏิบัติกันนะ มาสงบกันนะ มาละโน่นละนี่กันนะ ... ได้หรือ!!! ต้องถึงความเข้าใจยิ่งขึ้นๆ ๆ ๆ ๆ ถึงความเป็นปริยัติ
ไม่ต้องรอว่าปริยัติแล้วเมื่อไหร่จะปฏิบัติ!! เมื่อไหร่จะปรากฏ!! ... ใช่หรือยัง!! นี่ไม่ใช่ปริยัติๆ ต้องอดทน แล้วแต่เหตุปัจจัย ต้องรู้ว่าสติขั้นฝั่งต่างกับสติขั้นตรงลักษณะ
ที่ฟังๆ กันยังไม่ใช่ปริยัติแน่นอน เพราะยังไม่รอบรู้เลย เข้าใจชื่อหรือเข้าใจสิ่งที่มี เพราะปริยัติคือความเข้าใจธรรมะไม่ใช่ชื่อ ถ้าไม่มีเลยจะถึงปฏิบัติได้อย่างไร
ตราบใดไม่รู้ว่าเราเรียนอะไร!! เพื่อรู้อะไร!! สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ... มีไหม!!! เดี๋ยวนี้มีไหม!! แล้วเราเรียนอะไร!! พอพูดว่าตฑาลัมพนะเข้าใจไหม!! (ตอบว่าเป็นจิต) นิมิต!! ก็ต้องคุยกันให้ชัดเจนว่ามีกี่ระดับเพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะปรากฏโดยนิมิต ไม่ใช่คำของเราๆ ต้องเข้าใจว่านิมิตของอะไร ... นิมิตของเห็น ของโกรธ ของคิด เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเกิดแล้วปรากฏโดยความเป็นนิมิต เพราะเร็วสุดที่จะประมาณได้ ถึงเมื่อไหร่จะไม่มีคน ไม่เป็นแก้ว ไม่มีอะไรเลยนอกจากเฉพาะสิ่งที่ปรากฏโดยนิมิต นี่คือความเคารพสูงสุดที่จะไม่คลาดเคลื่อนตามที่พระองค์ตรัสธรรมะลึกซึ้ง
ถ้ารู้ว่าทุกคำหมายถึงเดี๋ยวนี้ที่มีจริงๆ เป็นปริยัติ เราเรียนเพื่อเข้าใจ ... เข้าใจอะไร!! เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏ ... จริงหรือเพราะว่าเราไปจำคำ ยังบอกว่าจิตเป็นธาตุรู้ เราเรียนปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธหรือว่าเรียนอะไร!!
ปริยัติต้องรอบรู้ เรียนปริยัติเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีและเข้าใจในความลึกซึ้งธรรมะเปลี่ยนไม่ได้ เรา โต๊ะ เก้าอี้ถ้าไม่มีจะมีธรรมะไหม!! กว่าจะเกิดเป็นแต่ละอย่างรวดเร็วขนาดไหน!!
ทุกอย่างต้องทีละคำ เช่น จิต ... ใครรู้จิต!! ใครไม่เข้าใจจิตว่าหมายความถึงอะไร!! รู้จักจิตหรือยัง มีเสมอ ไม่ขาดเลย ใกล้ที่สุด อยู่ภายในที่สุด ไม่ต้องไปหาข้างนอกเลยสักนิดเดียว นี่คือปริยัติที่จะรู้ความจริง ... มี ... ยังไม่ปรากฏ ... แต่เป็นธาตุรู้ ถ้าไม่มีธาตุรู้อะไรๆ ก็ปรากฏไม่ได้!!! แต่นี่มันปรากฏ ก็เริ่มเข้าใจว่ามีธาตุรู้ที่รู้ สิ่งนั้นๆ จึงปรากฏ
สัจญาณกำกับปริยัติ ญานคือความเข้าใจที่มั่นคง ถ้ามั่นคงไม่ต้องห่วงจะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ปรากฏอีกระดับหนึ่ง คือขณะที่ตรงสิ่งนั้นถึงใช้คำว่าสติปัฏฐาน ตรงนั้น ... ตรงระดับไหน!! กว่าจะตรงถึงการเกิดดับต้องตรงขึ้นๆ และความลึกซึ้งกับความมั่นคงระดับไหน!! ให้รู้ว่าถ้าไม่ใช่หนทางอย่างนี้จะไม่มีการรู้ลักษณะ ... ยังไงก็รู้ไม่ได้!!! เพราะเกิดดับเร็วมาก
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
ธรรมเตือนใจ ... เก็บไว้ในหทัย ... ณ กาลครั้งหนึ่ง ... สนทนาธรรมที่ร้านบิสโตรพาเลท 9 สิงหาคม 66 บ่าย
ปัญญาข้ามขั้นไม่ได้เลย : ปริยัติ รอบรู้ฃั้นฟัง ปฏิบัติ เข้าใจตรงถึงการเกิดดับ ... สติปัฏฐาน ปฏิเวธ ประจักษ์แจ้ง
ต้องเข้าใจมันคงว่า เดี๋ยวนึ้ไม่มีใคร!!จริงหรือไม่จริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร!!
ทุกอย่างเกิดดับเร็วมากจนกระทั่งซ้อนกันเป็นรูปร่างสัณฐาน
น้อม คือ ความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะสามารถถึงการรู้ทีละหนึ่ง ถ้ารวมกันอย่างนี้ ก็ไม่พ้นที่จะเป็นใครหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด
ไม่ใช่เราใคร่ครวญ ความเข้าใจจริงๆ มีแค่ไหน ... เรารู้เองใช่ไหม!! ไม่ต้องเรียกว่าปริยัติก็ได้ใช่ไหม!!
เรียกปริยัติเพื่อให้รู้ความต่างไกลแสนไกลระหว่างปริยัติและปฏิบัติ แต่ไม่ต้องใช้คำก็ได้ จนกว่าจะสามารถมีการเข้าใจสิ่งที่ปรากฏโดยความเป็นอนัตตาทีละหนึ่งลักษณะ
ความจริความจริงต้องปรากฏกับปัญญา
จิตเป็นธาตุรู้ ... แต่ยังไม่เห็น ... รู้แต่ว่าขณะนี้เห็นนั่นแหละเป็นรู้ เพราะฉะนั้น มีธาตุหนึ่ง ... สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏตั้งแต่เกิดเพราะธาตุรู้ ... รู้!!! ทั้งหมดแต่ทีละหนึ่ง ไม่เช่นนั้นปรากฏไม่ได้ถ้าธาตุรู้ไม่เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น
ต้องเข้าใจคำว่า ไม่ใช่เรา จะเข้าใจเพิ่มขึ้นมากน้อยเท่าไหร่ยังไงก็ตามเพื่อน้อมไปสู่ (ความเข้าใจค่อยๆ น้อมเข้าใจขึ้นๆ ไม่ใช่เราน้อม) ความเข้าใจค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนถึงตัวจิต
กิจจญาณ ปัญญาที่รู้ว่าถ้าไม่ถึงตรงนั้นก็รู้ไม่ได้
กตญาณ ปรากฏประจักษ์แจ้งกับปัญญา
วิปัสสนาญาณ ขณะนั้นไม่สงสัยเพราะนามรูปแยกขาดจากกันอย่างชัดเจน
เดี๋ยวนี้ก็มีจิตแต่ไม่รู้จักแต่ไม่เข้าใจเพราะแค่คิด
น่าอัศจรรย์ความลึกซึ้ง รู้จริงๆ ไปหมดและเข้าใจไปหมด แล้วเข้าใจตัวจริงหรือเปล่า!!! ถ้าไม่ปรากฏจะเข้าใจไหม!!! แค่คิด ... แต่พอปรากฏต้องคิดไหม!!! มาจากการฟังจนรอบรู้ปริยัติ
ต้องฟังด้วยดีต่อไป ให้เข้าใจตัวธรรมะ ขาดการฟังไม่ได้ ด้วยดี คือเข้าใจเดี๋ยวนี้ในสิ่งที่มีทีละเล็กทีละน้อย ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย แต่มีตรงนี้ก็ไม่รู้เพราะว่าเป็นเราเป็นเขาที่กำลังปรากฏ รวดเร็วมากจนทุกอย่างปรากฏโดยนิมิต จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!! ลึกซึ้งกว่านี้อีกเท่าไหร่!!!
ถ้าคำว่ารอบรู้มั่นคง เราจะทำอะไรเพื่อให้รอบรู้ไหม!!! เป็นปกติ แต่รู้เหตุ ตรง ถ้าไม่มีการฟังไม่ใช่ฟังผ่านหู พิจารณาในแต่ละคำ ลึกซึ้ง จึงสามารถจะค่อยๆ ขยับไปสู่การประจักษ์แจ้งโดยอนัตตา
การสนทนาธรรมเป็นมงคล เพราะเราก็ฟังธรรมะซึ่งเป็นมงคลอยู่แล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ