ฟังธรรมะเพื่ออะไร!!
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สนทนาปัญหาธรรม 29 ส.ค. 66
ทอจ : ฟังธรรมะ ศึกษาธรรมะ สนทนาธรรมมะ สนใจธรรมะกันเพื่ออะไร!!
ถ้าไม่รู้จุดประสงค์ไม่มีทางถึงจุดหมายปลายทางแน่
อ.กุลวิไล : ฟังธรรมแต่ไม่มีจุดประสงค์ใดๆ แต่มีความเป็นเรามากในการฟังเห็นว่าดี แต่ก็ไม่ได้ต้องการผลจากการฟัง ได้จุดประสงค์ในการฟังธรรมจากทอจ. ฟังเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงขณะนี้ ... เพื่อรู้ว่าไม่มีเรา
อ.อรรณพ : เพื่อละความไม่รู้และความไม่ดีทั้งหลาย
ทอจ : ถ้าไม่ได้ฟังธรรมะรู้ตัวไหมว่าไม่ดีแค่ไหน!! ฟังธรรมะแล้วเข้าใจขึ้นๆ ย่อมรู้ว่าสิ่งที่ไม่ดีมากมายแค่ไหนที่สะสมมา เพราะฉะนั้น ฟังธรรมะเพื่ออะไร!!!
อ : เพื่อรู้ว่าไม่ดี
ทอจ : รู้ว่าไม่ดีเพื่ออะไร!!!
อ : เพื่อละความไม่ดี
ทอจ : เพื่อละกิเลสทั้งหมด!!!
ใครฟังธรรมะเพื่อละกิเลสบ้าง!! แล้วกิเลสอยู่ไหน!!
อ : อยู่เดี๋ยวนี้ ... แต่ยังไม่รู้ ฟังธรรมมาบ้างจึงตรงที่เห็นความไม่ดีของตนเองนิดๆ หน่อยๆ ฟังธรรมเพื่อละความไม่รู้ และละกิเลสของตนมากขึ้นไป ฟังต่อไปเพื่อมีฉันทะที่จะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อละความไม่รู้
ทอจ : ฟังธรรมแล้วละกิเลสอะไรในชีวิตประจำวันบ้างไหม!! ฟังธรรมแล้วเห็นว่าไม่ควรมีความไม่ดีในชีวิตประจำวัน ใครมีความมั่นคงที่จะละกิเลสของตนบ้างไหม!!! จุดมุ่งหมายเพื่อละกิเลส!! ฟังแล้วละกิเลสอะไรในชีวิตประจำวันบ้างไหม!! เห็นประโยชน์ว่าไม่ควรจะมี!! ไม่ควรทำไม่ดีเพิ่มขึ้นๆ
ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้รู้ความจริง เพื่อประโยชน์แท้จริงของแต่ละคน ตรงว่ามีกิเลสแค่ไหน เป็นเราเป็นเขา จนกว่าจะรู้ธรรมมากขึ้น เข้าใจมากขึ้น รู้ว่าขณะนี้เป็นอกุศล มิเช่นนั้นจะค่อยๆ ละอกุศลได้ไหม จนละมากขึ้นๆ
ถ้าไม่มีการเข้าใจถูก รู้สึกตัวว่าขณะนั้นเป็นธรรมะที่เป็นอกุศล เพราะถ้าไม่รู้อย่างนั้น จะสามารถมีกุศลเพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวันได้ไหม ที่จะค่อยๆ ละไม่ให้อกุศลเกิดขึ้น เพื่อที่จะค่อยๆ ละอกุศลที่สะสมมา เพื่อที่จะค่อยๆ ละกิเลสเมื่อเกิดจริงๆ ในขณะนั้น
พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ความหมายลึกซึ้งและเป็นประโยชน์สูงสุด เพราะไม่มีเรา แต่มีธรรมะที่เป็นอกุศลมากมายมหาศาล และสิ่งที่ไม่ดีจะนำสิ่งที่ดีมาให้ได้หรือ!!!
จุดประสงค์ของการฟังธรรม ต้องไม่ลืม แล้วจะเป็นประโยชน์มาก ถ้ารู้ว่าทุกคำเพื่อผู้ที่มีกิเลสจะได้รู้ความจริงเพื่อละกิเลส
เชิญคลิกฟัง สนทนาปัญหาธรรมอังคารที่ 29 ส. ค. 66
🟥YouTube : มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา https://www.youtube.com/live/DJKpUHopTug?si=X4TnSa3vc4QCFW1K
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
กิเลสมากมายในชีวิตประจำวัน ฟังธรรมะมาก็หลาย 10 ปีแล้ว ขณะที่มีอกุศลเกิดขึ้น หรือขณะที่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น หรือในขณะที่พบปะใครๆ ก็ตามมีอกุศลอะไรบ้างไหมที่จะต้องละ มิฉะนั้น พระธรรมก็ไม่ได้เกื้อกูลเพราะความเข้าใจความละเอียดต่างหากที่ชีวิตจะดำเนินไปว่าฟังพระธรรมเพื่ออะไร!!! ถ้าไม่ฟังจะรู้ไหมว่าอะไรเป็นกิเลสที่จะต้องละ เมื่อรู้แล้วมีความมั่นคงที่จะฟังเพื่อเข้าใจ เพื่อความเข้าใจนั้นค่อยๆ ละกิเลส อย่างอื่นก็ละไม่ได้ นี่คือ บารมี ความเห็นที่ถูกต้องนำมาซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์ทุกประการเป็นบารมีต่างๆ ซึ่งขณะใดที่สภาพธรรมะที่ดีงามเกิดขึ้น สภาพธรรมะที่เป็นอกุศลที่ไม่ดีเกิดไม่ได้ แค่นี้ก็ค่อยๆ ป้องกันการเกิดขึ้น การสะสมยิ่งขึ้นของอกุศล และชีวิตประจำวันเริ่มเป็นอย่างนี้บ้างหรือยัง!!!
รู้ประโยชน์ ... ให้เราได้ไหม ... หรือนอกจากผู้ที่มีกิเลสนั่นแหละ ได้เข้าใจความจริง และรู้ความจริงว่า ฟังทั้งหมดเพื่อเห็นโทษของกิเลส ว่าไม่มีทางใดที่จะละได้เลยนอกจากความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงไว้มากมาย 45 พรรษา เพื่อให้ค่อยๆ ละความไม่รู้และความยึดถือว่าเป็นเรา ซึ่งสะสมมามากมายมหาศาลในแสนโกฏิกัปป์ แล้วจะให้ออกหมดได้หรือ!!! แต่ถ้าออกไม่หมดก็ยังมีต่อไป เป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลต่อไป
แต่ละคำต้องตรงที่จะเข้าใจความหมายของแต่ละคำ ที่ลึกซึ้งไม่ใช่เพื่อเข้าใจเท่านั้น ความเข้าใจค่อยๆ อบรมจนกระทั่งเห็นโทษ จนค่อยๆ รู้หนทางที่จะละ
ไม่ง่ายใช่ไหม!!! นี่คือผู้ที่รู้จักพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อาจารย์อรรณพ : ฟังดูเหมือนจะง่ายแต่ยากที่สุด ถ้าไตร่ตรองก็คงจะเข้าใจบ้างนิดๆ หน่อยๆ ความรักตัวคือความเป็นเราก็เข้าข้างตัวเองปกป้องตัวเองไปเรื่อยๆ เช่น เราฟังธรรมะเราเข้าใจแล้ว และกิเลสก็น้อยลง เดี๋ยวนี้เราดีขึ้นเยอะจากการฟังธรรมะ ดูเหมือนซาบซึ้งในธรรมะ แต่ลึกๆ แล้วเป็นเราที่เข้าข้างตัวเอง ยากมากเลย พระธรรมทุกคำเพื่อทุกคนที่มีกิเลสจะได้ละกิเลส เกื้อกูลให้ไม่ไปผิดทาง แม้จะชอบฟังธรรมะ แต่ชอบฟังเพื่อเสริมว่าเราดี และชอบใจ และเข้าใจธรรมะ แต่ในชีวิตประจำวันเมื่ออกุศลเกิดเราก็เอาธรรมะมาอ้างว่าทุกๆ อย่างเกิดจากเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยทำให้อกุศลเกิด ... ว่าเราไม่ได้นะ!! ไม่มีการปรุงแต่งไปที่จะขัดเกลากิเลส ละเอียดมากกว่าที่จะอาศัยแต่ละคำของพระองค์ เพื่อละกิเลสของตนเอง อาศัยอย่างไรและรอบคอบอย่างไรเพื่อละกิเลสตั้งแต่เบื้องต้นเลย!!!
ทอจ : แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาจากไหน!!! แต่ละคำนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร!!!
อ : มาจากพระปัญญาที่ตรัสรู้ คือรู้แจ้งความจริงทุกประการอย่างละเอียดลึกซึ้ง
ทอจ : เพราะฉะนั้น คนที่ได้ฟังคำของพระองค์เข้าใจความลึกซึ้งที่พระองค์ตรัสไหม!! ในเมื่อกว่าจะบำเพ็ญบารมีถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องอดทน บารมีทุกอย่างค่อยๆ เพื่อที่จะรู้ความจริงที่ยาก แสนยาก ถ้าไม่ค่อยๆ ไตร่ตรองโดยรอบคอบ โดยละเอียด โดยลึกซึ้ง จนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้น ทุกคำพระองค์ทรงประจักษ์แจ้งเอง แล้วมีพระมหากรุณาให้คนอื่นได้ถึงการประจักษ์แจ้งด้วย มิฉะนั้น ดับกิเลสไม่ได้เพียงแต่ฟัง!!!!!
เดี๋ยวนี้ฟังว่าไม่มีเราก็เข้าใจ แต่ว่าละอะไรหรือเปล่า!!! เป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ถึงพร้อมแม้ขณะที่ฟังคำของใคร!!! ถ้าไม่ถึงความลึกซึ้งของแต่ละคำ ... รู้จักพระองค์ไหม!!!
อ : ไม่รู้จัก!! เหมือนจะรู้ ฟังเข้าใจ แต่ไม่รู้จัก ถ้าได้ฟังพระธรรมแล้วรู้จักพระองค์นั้น ต้องเป็นการศึกษาที่จะเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส ถ้ายังไม่เป็นไปเพื่อการขัดเกลา ก็อนุมานว่าฟังธรรมะยังไม่เข้าใจ และยังไม่รู้จักพระองค์ ... รู้จักยากจริงๆ!!!
ทอจ : ถ้ายังเป็นเราเพื่อนั่นเพื่อนนี่ไม่ชื่อว่าเข้าใจแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง เพราะฉะนั้น ต้องมั่นคงในแต่ละคำ เพื่อประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่ได้ฟัง เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละลักษณะ ไม่ใช่ให้ฟังเฉยๆ ต้องฟังแล้วรู้เรื่อง แต่ใครๆ ฟังไม่ว่าขณะไหนทั้งสิ้น ถ้าการฟังนั้นไม่ถึงการประจักษ์แจ้งในความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏแต่ละหนึ่งโดยความเป็นอนัตตา ... ไม่ใช่เรา ... แต่เป็นความเข้าใจถูกที่ค่อยๆ สะสมความเข้าใจจนสิ่งนั้นสามารถปรากฏให้รู้ว่าจริงอย่างที่เข้าใจ!!!!!
เป็นเรื่องของความอดทนอย่างยิ่ง ที่จะไม่ไปทำอะไร ที่จะคิดว่ารู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ไม่มีความรู้ความเข้าใจอะไรเลย ที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ ... เป็นไปไม่ได้!!!
การฟังพระธรรมต้องฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ในการตรัสรู้ของพระองค์ ในพระมหากรุณาคุณที่ทรงแสดงความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ให้ค่อยๆ เข้าใจ 45 พรรษา เพราะรู้ว่าแต่ละอัธยาศัย แต่ละหนึ่ง ที่สะสมมามากมายทั้งทางฝ่ายกุศลและอกุศลทรงเป็นที่พึ่งสูงสุด ฟังธรรมะเพื่อรู้ความจริง เพื่อดับกิเลส
ยินดียิ่งในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ คือ ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจ และเพื่อขัดเกลาละคลายกิเลส ถ้าฟังพระธรรมในชีวิตประจำวันแล้ว ไม่ได้รละคลายกิเลสเลย ยังประพฤติผิด และไม่เหมาะสม ก็เป็นเครื่องแสดงว่า การฟังพระธรรมนั้น ไม่ได้เป็นไปด้วยความเคารพ เพราะไม่ได้เป็นไปเพื่อการละความไม่ดี
ทุกคนยังมีกิเลสอกุศลอยู่ ฟังพระธรรมแล้วก็ยังมีกิเลสอกุศล กิเลสอกุศลก็ยังเกิดได้เพราะยังมีพืชเชื้ออยู่ ถ้าฟังพระธรรมด้วยความเคารพและเข้าใจ สมควรที่จะมีการปรุงแต่งให้ขัดเกลากิเลสบ้าง และไม่ทำอะไรผิดๆ
อาจารย์อรรณพ : คนที่ศึกษาธรรมะแล้วพูดธรรมะดีวย และทำในสิ่งผิดศีลธรรม เขากล่าวว่า ในเมื่อเขายังมีกิเลสอยู่ กิเลสก็เกิดได้เป็นปกติเป็นธรรมดา ท่านอาจารย์จะสงเคราะห์อย่างไร!!!
ทอจ : แสดงว่าเขาไม่รู้จักกิเลส ... จะเห็นโทษของกิเลสได้หรือ!!!
อ : ท่านอาจารย์หมายความว่า ถ้าฟังธรรมะเข้าใจ ... รู้จักกิเลส ... รู้จักโทษของกิเลส จะไม่ทำอกุศล ... ถึงจะมีก็จะไม่ถึงระดับที่ผิดศีลธรรมอย่างผู้ไม่เข้าใจธรรมะทำ
ทอจ : ห้ามไม่ได้เรื่องการทำผิดศีล แต่ปัญญารู้ไหมว่าผิดหรือยังทำต่อไปกิเลสทั้งหมดดับได้ด้วยปัญญาเพราะฉะนั้น ขณะที่ทำอกุศลขณะนั้นไม่ใช่ปัญญา เพราะฉะนั้น ฟังธรรมเพื่อดับกิเลสหรือเปล่า!!!
อ : เป็น แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ก็ไม่แสดงถึงการละคลายกิเลส
ทอจ : งั้นธรรมะก็ไม่มีประโยชน์ ... ความเข้าใจธรรมะก็ไม่มีประโยชน์เพราะถึงเข้าใจยังไงก็ยังเป็นแบบนั้นอย่างนั้นหรือ!!! ถ้าทำต่อไปกำลังของกิเลสแรงแค่ไหน!!! แล้วจะมีการดับกิเลสไหม!!! เป็นไปเพื่อการละหรือเปล่า!!! ผู้นั้นสมควรที่จะกล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ... ถ้าไม่ได้ประพฤติตาม
อ : คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่อาศัยที่มีกำลังให้ผู้ฟังที่ตั้งจิตไว้ชอบได้สะสมความเข้าใจเป็นอุปนิสยโคจร เมื่อมีการอาศัย (โคจร) คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเครื่องบ่มอุปนิสัย ก็จะถึงโคจรที่สอง คือ มีอารักขโคจร อารมณ์ที่ทำให้กุศลและความดีทั้งหลายเกิดบ้าง
ทอจ : ไม่ใช่ชื่อแต่เข้าใจความจริงว่าขณะที่กล่าวธรรมะในขณะที่ประพฤติชั่ว เคารพพระองค์หรือเปล่า!!! กล่าวคำของพระองค์แล้วประพฤติชั่ว แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะกล่าวคำของพระองค์!!!
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
อ.อรรณพ : การที่จะเป็นผู้ที่รับพระธรรมได้ ซึมซับพระธรรมและนำไปสู่การประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสทั้งหลาย จนกว่ากิเลสทั้งหลายจะหมดสิ้นไป ต้องมีความสะอาดประดุจภาชนะทองที่จะรองรับพระธรรม
ทอจ : ชั่วเป็นภาชนะทองหรือเปล่า!!!
อ : ไม่ใช่ภาชนะทอง เป็นภาชนะที่สกปรกอย่างยิ่งไม่สมควรที่จะรองรับสิ่งที่สะอาดและมีคุณค่า เช่น น้ำผึ้งเทในภาชนะสกปรกก็ไม่สมควร เป็นคำเตือนที่ชัดเจนมาก แต่ละคนก็สะสมมาที่จะมีจิตที่ประดุจภาชนะสกปรกและภาชนะที่สะอาดแตกต่างกัน เป็นข้อเตือนที่ดี พระพุทธศาสนาขัดเกลายิ่งนัก ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจและขัดเกลากิเลส
ทอจ : แล้วก็ประพฤติชั่วต่อไปเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า!!! คำของพระองค์มีประโยชน์อะไร!!! เพราะฉะนั้น เราฟังตั้งแต่ต้นเพื่อรู้จักตัวเองไม่ใช่ไปทำอะไรกับคนอื่นเลยทั้งสิ้น พูดกล่าวคำของพระองค์ให้ทุกคนได้รู้ความจริง และรู้ความจริงที่เคยเป็นเรานั่นแหละดีชั่วอย่างไร!!! ต้องตรงตามที่พระองค์ทรงแสดง แต่เมื่อมีการเข้าใจคำของพระองค์สามารถกล่าวคำของพระองค์ แต่ยังประพฤติชั่ว ผู้นั้นเคารพในพระองค์หรือเปล่า!!! เอาคำของพระองค์ซึ่งบริสุทธิ์อย่างยิ่ง งามอย่างยิ่งทั้งเบื้องต้น ทั้งท่ามกลางและในที่สุดมากล่าวแต่ไม่ได้เคารพในพระองค์ เพราะไม่ได้ประพฤติตามที่ได้เข้าใจ เป็นโทษไหม!!! พระธรรมทั้งหมดสำหรับแต่ละคนที่จะรู้จักตัวเอง ขัดเกลากิเลสของตัวเอง เพราะฉะนั้น ยิ่งฟังยิ่งพูดแต่ไม่ได้ขัดเกลาตัวเอง เข้าใจธรรมะหรือเปล่า!!! เคารพพระองค์หรือเปล่า!!!กล่าวคำทุกคำด้วยความเคารพหรือเปล่า!!! ถ้าเคารพอย่างยิ่งว่าง่ายไหม!!! พร้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตามและพูดให้คนอื่นเข้าใจ ... แล้วเพื่อตัวเองหรือเปล่า!!! ... ที่จะขัดเกลากิเลสของตัวเอง!!!
อ : ท่านอาจารย์มีอะไรอนุเคราะห์คนที่ไม่รู้ และฟังและเชื่อผู้นั้นอย่างไร!!!
ทอจ : เขาฟังคนหรือฟังธรรมะ!!! เพราะฉะนั้น ธรรมะคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมควรฟังใคร!!! เวลาฟังธรรมะฟังอะไร!!!
อ : ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คนที่พูดคำของพระองค์เป็นคนไม่ดี แต่เขา (ผู้ฟัง) ไม่รู้
ทอจ : จะฟังคนหรือฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!! ... ไม่ว่าใครจะกล่าว!!! ... แน่นอนเพราะไม่ใช่ขำของเขา!!!
อ : ถ้ามีคนฟังแล้วชื่นชม แต่มารู้ภายหลังว่าผู้นั้นมีความประพฤติไม่ดี แต่ก็ติดผู้นั้นแล้ว จึงรู้สึกว่าไม่เป็นไรเพราะผู้นั้นพูดธรรมะได้ดี เหมือนปกป้องให้อภัยผู้นั้น ด้วยความคุ้นเคยกันหรือมีประโยชน์ต่อกัน
ทอจ : ฟังปกป้องหรือฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!! คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประโยชน์ไหม!!! ... ถ้าเป็นอย่างนั้น!!!
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
ทอจ : เดี๋ยวนี้มีอวิชชาไหม!!
อ. วิชัย : มี แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน
ทอจ : เมื่อไหร่ไม่มีอวิชชา!!
ว : ขณะเห็นไม่มีอวิชชา
ทอจ : หลังจากนั้นมีอวิชชาไหม ... กี่ขณะ!!
ว : หลังจากเห็นดับไป 3 ขณะมีอกุศลเกิดขึ้นก็มีอวิชชาแล้ว
ทอจ : ใหญ่ไหม!!!
ว : ใหญ่แต่ไม่รู้อยู่ตรงไหน
ทอจ : ถึงต้องมีการสนทนาธรรม ถามว่าเดี๋ยวนี้อะไร!! เดี๋ยวนี้มีอะไร!!
ว : เดี๋ยวนี้มีเห็น
ทอจ : เห็นเป็นเราหรือเปล่า!!
ว : เห็นยังเป็นเราอยู่
ทอจ : ขณะนั้นที่เห็นมีอย่างอื่นไหม!!
ว : มีเสียงด้วย
ทอจ : รู้จักอะไรในแต่ละหนึ่งๆ นั้นบ้าง!!
ว : ปกติไม่รู้ ต่อเมื่อมาฟังถึงพอรู้บ้าง
ทอจ : ความไม่รู้มากแค่ไหนคิดเอา!! ใหญ่ไหม!! ไม่ว่าจะเกิดในสวรรค์ โลกมนุษย์ ในนรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน ... ใหญ่ไหม!! ... ความไม่รู้
ว : ใหญ่มาก ตรงนี้ที่พระผู้มีพระภาคตรัสด้วยพระองค์เอง!! แต่ความรู้ตามการศึกษารู้ตามฐานะที่จะรู้ได้
ทอจ : เพราะส่วนใหญ่เราคิดถึงชื่อ ... เหมือนรู้จักแล้วใช่ไหม!! แต่ทันทีที่ถามว่าเดี๋ยวนี้อะไร!! ตอบว่าเห็นทันทีหรือเปล่า ... หรือคิดก่อน!!
ว : คิดก่อน ... ทั้งๆ ที่มีเห็นแต่ก็ต้องคิดว่าตอนนี้มีเห็น
ทอจ : แต่ก่อนนั้นต้องคิดใช่ไหม ... คิดอะไร!!
ว : ไม่ทราบ
ทอจ : นั่นแหละ ... อวิชชา!! ... แต่ละหนึ่ง มิฉะนั้นไม่ทรงแสดงให้ไตร่ตรองด้วยความรอบคอบ ละเอียด ลึกซึ้ง ... จึงรู้จักพระองค์
ไม่ใช่กิเลสจะออกไปง่ายๆ ความไม่มีเราจะหมดไปในชีวิตประจำวันง่ายๆ เพราะว่าไม่รู้อะไรทั้งวัน
ว : ปกติไม่รู้ ... ก็รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้ ก็คือ ยังไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้!!! นี่ก็ยิ่งใหญ่ไปอีก!!!
ทอจ :เดี๋ยวนี้อวิชชาเท่าไหร่ ... เห็นไหม!! ใหญ่ไหมแค่เดี๋ยวนี้!! มากมายมหาศาล ทุกอย่างที่กระทบตา ปรากฏเป็นทีละเล็กละน้อยรวมกัน ... อวิชชาแทรกไปหมด ... จริงหรือเปล่า!!! เห็นยังไม่ทันดับ รู้จักไหมอะไรที่ปรากฏ ... อะไรที่เห็น!! ถ้าไม่รู้จักก็อวิชชา และกว่าจะรวมกันเป็นแต่ละหนึ่งๆ เป็นสิ่งที่ปรากฏมากมายมหาศาลที่ลืมตาก็มีแล้ว ... อวิชชาจะเท่าไหร่!!!
อ.อรรณพ : มีมากๆ แต่ไม่รู้ พระองค์ทรงแสดงถึงกิเลสที่ไหลไป ... ความไม่รู้หรืออวิชชาที่ไหลไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ทอจ : แต่ละหนึ่งขณะรวมกันใหญ่มหาศาลยิ่งกว่าอะไร
อ : พระองค์ทรงแสดงว่า โลภะแทรกเหมือนช่องอากาศธาตุ แทรกในระหว่างกลุ่มของรูปต่างๆ มากมาย
ทอจ : เมื่อมีโลภะก็มีอวิชชาแล้ว
อ : ขณะที่โลภะเกิดก็ต้องมีอวิชชาเกิดร่วมด้วย
ทอจ : ขณะที่โลภะไม่เกิดก็ยังมีอวิชชาอีก
อ : โลภะเหมือนปริเฉทรูป (รูปที่สามารถรู้ได้ทางใจเท่านั้น) แล้วโมหะที่เกิดกับโลภะล่ะ กับโมหะที่ไม่ได้เกิดกับโลภะ เกิดกับโทสะหรือเกิดโดยไม่มีโลภะและโทสะ ... จะมากขนาดไหน ... สมแล้วที่เป็นธาตุใหญ่!!! เป็นธาตุใหญ่ที่ไม่ปรากฏเลย เพราะไม่รู้ว่าไม่รู้!!! แม้จะฟังพระธรรมแล้วเริ่มรู้ว่าไม่รู้ ... ก็เพียงเล็กน้อย ... ไม่ได้รู้จริงๆ ว่าความไม่รู้มากมายแค่ไหน!!! ยังไม่รู้ตรงจริงๆ ของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ โดยเฉพาะความไม่รู้ที่มีในขณะนี้
ทอจ : เริ่มเข้าใจความละเอียดของพระธรรม เริ่มเห็นคุณของพระองค์ที่ประมาณไม่ได้เลย กว้างใหญ่เกินผู้ใดจะประมาณได้
อ : ลึกซึ้งสุดประมาณที่สุดเลย ต้องเป็นปัญญาที่เริ่มรู้ว่าไม่รู้
ทอจ : เดี๋ยวนี้เองที่ไม่รู้ ... ไม่ต้องไปหาเวลาอื่น!!!
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
อ. คำปั่น: ในระดับของความประพฤติชั่วมีระดับแตกต่างกันอย่างไร!! และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ควรประมาทอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ขอความละเอียดครับ
ทอจ : ถ้ามีความไม่รู้ต่อไปเรื่อยๆ ... อะไรจะเกิดมาก!! และถ้าค่อยๆ รู้ขึ้น ... อะไรจะน้อยลง!! ที่เคยเกิด ... นั่นคือความรู้จริงๆ ไม่ใช่เพียงฟังชื่อเข้าใจและพูดได้
ค : ไพเราะมาก. ... ถ้ามีความไม่รู้ไปเรื่อยๆ เกิดเรื่อยๆ ความไม่รู้และอกุศลทั้งหลายก็มากขึ้น แต่ถ้าได้เริ่มรู้เริ่มเข้าใจ ขณะที่เข้าใจก็ขัดเกลา ละคลายความไม่รู้ในขนาดนั้นแล้ว
ทอจ : รู้ว่าไม่ดีก็ยังทำ ... แรงแค่ไหน!!
ค : รู้ว่าไม่ดีก็ยังทำ นี่คือแรงของอกุศลที่ปรากฏชัดมาก ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ดีและไม่สมควรก็ยังทำ
ทอจ : หิริโอตตัปปะจึงคุ้มครองโลก
ค : คุ้มครองโลก โลกในที่นี้ก็คือความเป็นไปของธรรมะที่มีจริง คุ้มครองโลกโดยนัยที่กล่าวถึงธรรมะสองอย่างคือ โสภธรรม : หิริและโอตตัปปะจะคุ้มครองอย่างไร!!
ทอจ : หิริ คือ!! (ค : ความละอายต่อบาปและความไม่ดี) ถ้าหิริเกิดจะทำบาปไหม!! (ค : จะไม่ทำบาป) เพราะฉะนั้น คุ้มครองไม่ให้ทำชั่วหรือเปล่า ... (ค : คุ้มครองไม่ให้ทำชั่วแล้วในขณะนั้น) แล้วสงสัยอะไร!! (ค : สงสัยระดับของความประพฤติชั่ว!!)
ก็จิตมีกี่ประเภท พฤติกรรมทางกายทางวาจาตั้งแต่ยังอ่อน จนกระทั่งถึงมีกำลัง จนกระทั่งประพฤติชั่ว ... ต่างกันไหม!! (ค : กำลังต่างกัน)
เพราะฉะนั้น ศึกษาธรรมะเพื่อเข้าใจตัวเองใช่ไหม!! ถ้ารู้ว่าเป็นคนเลว จึงละความชั่วได้ แต่ถ้ายังคงไม่มีความละอายและไม่เห็นโทษของการเป็นคนเลว ... ก็ประพฤติต่อไป ... ใครจะยับยั้งได้ ถ้าไม่มีความละอาย ... ไม่มีการเห็นโทษของบาปอกุศล ... ก็ต้องประพฤติต่อไปใช่ไหม!! จะคุ้มครองคนที่ประพฤติชัว่ได้ไหม!! แต่ขณะใดก็ตามที่เว้นชั่ว ขณะใดก็ตามที่กุศลธรรมเกิดขณะนั้นคุ้มครองโลก คือจิตแต่ละขณะ ธาตุรู้แต่ละขณะที่เกิดขึ้นไม่ให้เป็นไปทางฝ่ายอกุศล ถ้าไม่มีหิริโอตตัปปะก็ต้องเป็นไปทางฝ่ายอกุศลใช่ไหม!! เพราะฉะนั้น อกุศลทุกประเภทต้องมีอหิริกะ อโนตตัแปะใช่ไหม!!
ค : อกุศลทุกประเภทไม่มีหิริโอตตัปปะ ... ก็คือต้องมีอหิริกะ อโนตตัปปะ!!
ทอจ : เพราะไม่รู้ โมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อวิชชาไปด้วยกัน
ค : ขณะที่อกุศลเกิด สิ่งที่ไม่ดีมาพร้อมกันเลย ทั้งความไม่รู้ ทั้งความไม่ละอาย ความไม่เกรงกลัวต่อบาปและความไม่สงบด้วย แสดงให้เห็นว่าขณะที่อกุศลเกิดไม่ดีโดยตลอดจริงๆ เพราะว่ามีแต่สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นในขณะนั้น พระธรรมก็เป็นเครื่องเตือนโดยตลอดจริงๆ
พระพุทธะพจน์ : ภิกษุทั้งหลายไม่ควรเป็นไปในอำนาจของกิเลสที่เป็นไปแล้วในภายใน ด้วยว่ากิเลสเมื่อเจริญขึ้น เกิดมากขึ้น ย่อมให้ถึงความพินาศเหมือนปัจจามิตร (ศัตรู) พระธรรมทุกคำเตือนเป็นประโยชน์จริงๆ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ