ไม่ลืมว่าสนทนาธรรมเพื่อเข้าใจ

 
nattawan
วันที่  1 ก.ย. 2566
หมายเลข  46513
อ่าน  504

สนทนาธรรมที่ร้าน Pode Hair Creation 1 ก.ย. 66

คุณโป๊ด : อกุศลเวลาที่ให้ผล ทำ อย่างไร ที่จะเข้าใจ และทำใจเมื่อ อกุศลเกิด!!

ทอจ : คุนโป๊ดมีปัญญาไหม!! มากที่จะทำใจ

ป : ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา

ทอจ : แล้วจะทำใจได้หรือ!!

ป : การเข้าใจยังรู้สึกว่ายังไม่พอใจในสิ่งที่ปรากฏอยู่

ทอจ : เพราะอยากเข้าใจมากๆ ไม่มีวันจบ แล้วก็จะไม่ได้อย่างที่ต้องการเพราะขณะนั้นไม่ใช่ความเข้าใจ แต่เป็นความอยากได้ หรืออยากเข้าใจเพราะฉะนั้น คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้ง ต้องไตร่ตรองแต่ละคำให้ตรง ถ้าไม่มีความตรง (สัจจบารมี) จะผิดทันที ต้องเป็นผู้ที่ฟังด้วยความเข้าใจตนเอง

สะสมความไม่รู้มานานเท่าไหร่!! แล้วจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ แสดงว่าไม่เข้าใจแม้แต่คำว่า "ธรรมะและอนัตตา" แต่ถ้าถามแล้วทำไมจะไม่รู้จัก " ธรรมะคือทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง และอนัตตาคือบังคับบัญชาไม่ได้" แต่พอถึงเวลามาแล้ว ... ความไม่รู้ความจริงขณะนั้น ลืมว่าสิ่งนั้นเกิดแล้ว ... จะไปทำอะไรกับสิ่งที่เกิดแล้ว และสิ่งที่ยังไม่เกิด ก็ยังไม่เกิด จะเกิดได้เมื่อมีเหตุปัจจัยที่สมควร แล้วใครจะไปทำปัจจัยที่สมควรให้เกิดขึ้นได้ เพราะมีปัจจัยแล้วเกิดทันที ไม่คอยให้ใครไปทำอะไรได้เลยสักอย่าง

การฟังธรรมะแต่ละภพ แต่ละชาติ เราอาจจะได้ยินส่วนนั้นส่วนนี้ในพระไตรปิฎก คำนั้นคำนี้ ... กว่าจะเข้าถึงความเข้าใจโดยตลอด (ปริยัติ) ไม่ใช่ให้เราเพียงฟังแล้วอยาก แต่ต้องรู้ว่าแม้อยากคืออะไร!! เป็นเราทั้งหมดทุกชาติ เกิดบนสวรรค์ก็ยังเป็นเรา เป็นพรหมก็เป็นเรา แต่ความจริงถ้าฟังคำของพระองค์ เคารพอย่างยิ่งในความไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น เริ่มมีปัญญาตั้งแต่ต้น ... จะเป็นเราหรือจะไม่ใช่เรา!! ต้องตรงจริงๆ ... ทุกคนเป็นเรามานานและเราก็อยากทุกอย่าง อยากเข้าใจ อยากไม่โกรธ อยากดี อยากมีความเป็นเพื่อน ... ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ธรรมะเกิดเพราะเหตุปัจจัย พิสูจน์ที่จะต้องมั่นคงขึ้น ... เดี๋ยวนี้เห็นเกิดขึ้นตลอดเวลา ... ไม่มีใครทำ นั่งคิดไปได้ยินไป ... ก็ไม่ใช่เห็น แต่ใครห้ามไม่ให้เห็นเกิดก็ไม่ได้

ฟังธรรมะเพื่อละความไม่รู้ และความยึดมั่นว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ด้วยเหตุนี้ แค่ได้ยินคำว่า "ธรรมะ" ไม่พอต้องรู้ว่าอะไรที่เป็นธรรมะ ... เกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย ... จริงหรือเปล่า!!! หาเมื่อวานนี้อยู่ไหน!! ทำอะไรมาบ้าง สนุกไหม!!! ตื่นเต้นไหม!!! ดีใจไหม!!! โกรธไหม!!! ... ไม่เหลือเลย ... เดี๋ยวนี้ทุกขณะก็เป็นอย่างนั้น ... กำลังจะเป็นพรุ่งนี้ของวันนี้ ... ไม่ต่างกันเลย

ฟังเพื่อเข้าใจ!! เข้าใจผิดนิดเดียวก็ยังเป็นเราที่หลงเข้าใจผิด ... ทำสิ่งที่ผิดต่อไป แต่กว่าจะรู้ความจริงได้ ชสติเดียวไม่พอ!! พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีนานเท่าไหร่!! กี่อสงไขยจะรู้ความจริงที่พระองค์ตรัสให้รู้เดี๋ยวนี้ ธรรมะลึกซึ้งมาก กำลังมีแต่ไม่รู้ความจริง ... จึงฟังคำของพระองค์ด้วยความเคารพสูงสุด ไม่มีใครสามารถจะเอาความไม่รู้ ความต้องการและความเป็นเราที่ต้องการให้หมดสิ้นไป ทั้งๆ ที่หมด ... แล้วไม่เหลือ ... ก็ไม่รู้ ... ก็ก็ยังพยายามผิดต่อไปด้วยเหตุนี้เป็นผู้ที่รู้จักว่าเข้าใจเท่านั้นที่จะรู้ความจริงซึ่งความจริงเดี๋ยวนี้ทางตามากมายหลายอย่างแต่ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง และในขณะนี้ก็มีได้ยิน มีคิด มีความสุข ทุกข์ต่างๆ ด้วย รู้อะไรสักอย่างไหม!!! แต่อยากจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ให้ทำอย่างนั้นให้ทำอย่างนี้ ก็แสดงว่ายังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงระดับที่ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ เข้าใจเพื่อจะถึงอย่างที่คุณโป๊ดต้องการ ซึ่งถ้าไม่มีความเข้าใจ จะถึงภาวะที่ต้องการไม่ได้เลย

ต้องฟัง ไตร่ตรอง ต้องการอะไร!! เป็นสิ่งที่จะสำเร็จได้ด้วยความต้องการไหม!! หรือว่ายิ่งต้องการก็ยิ่งไม่ได้!! ยิ่งไกลๆ ออกไป ... ใครบ้างที่ต้องการเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้!!! มีแต่คิดถึงสิ่งที่ไกลแสนไกลออกไป!! แต่ขณะนี้สิ่งที่ใกล้ที่สุด ... อยู่ไหน!! ไม่มีอะไรใกล้กว่านั้นเลย ตรงนี้ทั้งหมด ... โลกกี่โลกๆ ดาวอังคาร พระอาทิตย์ อะไรๆ ก็ตามแต่ ถ้าไม่คิดตรงนี้จะมีไหม!! ใกล้มาก ... แต่พอตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็ลืมหมด!!!

เชิญชมสนทนากับ อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และอาจารย์ มศพ.
ที่ร้าน Pode Hair Creation

วันศุกร์ที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๖
เวลา ๑๐.๐๐ - ๑๒.๐๐ น.

🟦Facebook : "สนทนาธรรม" วันศุกร์ ที่ ๑ ก.ย. ๒๕๖๖ เช้า

🟥YouTube : https://www.youtube.com/live/qJHyBS9C5Uw?si=db9L-YFvxsI5uK7n

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nattawan
วันที่ 1 ก.ย. 2566

เป็นเรื่องตรงไปตรงมาและเป็นเหตุเป็นผลที่จะต้องมั่นคงว่า ธรรมมะคือสิ่งที่มีจริงเป็นอนัตตา ถ้ายังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็อีกไกลมากกว่าจะถึงความเข้าใจในระดับต้น ... รอบรู้ในปริยัติ คือ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นไปเพื่อละความไม่รู้ แสดงว่าคนที่ไม่ได้ฟังไม่รู้ระดับไหนและอยากระดับไหน แต่ถ้ารู้จริงๆ ... อยากอะไร ... สิ่งนั้นเกิดและดับหมดแล้วไม่เหลือเลย!!! ไม่เหลือเลยแล้วยังอยากหรือ!!! ไม่เหลือเลยคือไม่กลับมาอีกเลย ศูนย์หรือสุญญตาหรืออนัตตาความหมายเดียวกัน

คุณโป๊ด : สิ่งที่ปรากฏต้องเกิดขึ้นแน่ๆ

ทอจ : แล้วก็เกิดขึ้นแล้วด้วย

ป : ใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นค่อนข้างยาก

ทอจ : แค่นี้เราก็เผิน ... ใจยอมรับอะไรไม่ได้ ... ความไม่รู้กับความคิดของเราเอามาปนกับคำของพระองค์ ยังไม่รู้ว่าใจไม่ได้ยอมรับอะไร แต่ใจเกิดขึ้นรู้ จึงมีสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ เราจะใช้คำว่าจิตหรือใจหรือวิญญาณอะไรก็ได้ ทรงแสดงไว้ว่าเป็นภาวะหรือความเป็นไปของธรรมะหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งเฉพาะสิ่งที่กำลังกระทบปรากฏ ... ต้องละเอียด ... ใจเป็นธาตุรู้ มีสิ่งต่างๆ ปรากฏทางตามากมายหลายอย่าง ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้นจะปรากฏว่ามีได้ไหม!!!

พอมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นจะใช้คำที่ผิดน้อยลง เราจะรู้ได้เลยว่าเพราะไม่เข้าใจเราจึงคิดตามความที่ไม่เคยเข้าใจความจริงว่า ใจอย่างโน้นอย่างนี้ ... แต่ใจคือจิตและเจตสิกที่เกิดด้วยกันและดับไป ... ต้องละเอียด ... ฟังเพื่อเข้าใจ เพราะว่ากว่าจะประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่พระองค์ทรงประจักษ์ ... อีกนานไหม!!! สภาพธรรมะขณะนี้เกิดก็ไม่รู้ ดับก็ไม่รู้ แต่เกิดดับใช่ไหม!!! แล้วจะรู้อะไร!! ต้องเป็นผู้ที่ตรงอย่างยิ่งและมีความมั่นคง (อธิษฐานะ) ที่จะรู้ว่าความจริงกำลังมีอย่างนี้ปรากฏว่ามีจริง รู้ได้แน่ แต่ไม่ใช่เพราะคิดเอาเองหรือไม่รู้และอยากรู้ ... ต้องรู้ทีละหนึ่ง แต่ละหนึ่งไม่ปะปนกันเลย แล้วตอนนี้กี่หนึ่ง รู้สักหนึ่งไหม!!

ป : แต่ละหนึ่งแล้วมารวมกัน

ทอจ : เขารวมแล้ว ไม่มีใครไปทำ แต่สิ่งที่ปรากฏต้องปรากฏโดยธาตุรู้เกิดขึ้นรู้หนึ่ง จะไปรู้ สอง สาม สี่ไม่ได้!! เพราะฉะนั้น เวลานี้สิ่งที่ปรากฏเกินหนึ่งใช่ไหม!!! จะไปทำอะไรได้ ... ฟังเข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ฟัง ไตร่ตรอง พิจารณา ถูกไหมจริงไหม (สัจจบารมี) ไม่ต้องทำอะไรเลยเข้าใจว่า จริงในสิ่งที่จริง ไม่จริงก็เข้าใจว่าไม่จริง ... เป็นความเข้าใจถูกไม่มีใครเลย แต่เป็นความเข้าใจที่เริ่มเข้าใจทุกคำ และก็เห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ เราจะฟังคำของพระองค์ไหม!!! เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ขณะนี้เห็นหรือสิ่งที่ถูกเห็นปรากฏ ผู้ทรงประจักษ์แจ้งแล้วทรงแสดงให้เข้าใจ แค่นี้ก็มหาศาลแล้วจากที่ไม่เคยเข้าใจมาแสนโกฏิกัปป์ ทุกชาติ พอได้พอได้ยินเมื่อไหร่ก็เป็นอย่างนี้ ก็พูดให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงจนกระทั่งค่อยค่อยเข้าใจขึ้น จะเข้าใจมากทีเดียวก็ไม่ได้ แต่ถ้าเข้าใจขึ้นเรื่อยเรื่อยก็มากแต่ละขณะแต่ละขณะเพิ่มขึ้นก็มากแต่ถ้ามีสอง สามขณะมากไม่ได้จึงต้องฟังและเข้าใจแต่ความเข้าใจระดับไหนเช่นแต่ละหนึ่งบอกได้ไหมว่าอะไรแต่ละหนึ่งแต่ธรรมะต้องตรง จึงจะรู้ว่าหนึ่งอะไร จึงเป็นหนึ่ง ไม่เป็นอย่างอื่นได้!!!

ป : ถ้าเริ่มเข้าใจแล้วก็คงจะเบาสบาย

ทอจ : เข้าใจนิดหนึ่งสบายมากหรือนิดนึง!! ต้องตรงใช่ไหม!! ไม่เคยรู้มาว่าอยู่ด้วยความหนัก ... แบกอะไรต่ออะไรไว้เยอะแยะมากเลย ... สิ่งที่แบกไว้ยังไม่ได้เอาออกไปเลย ... จะเบาได้อย่างไร!! บางคนก็พูดง่ายเลยว่า ละเสีย ... ละเสีย ... เก่งจัง ... จะละได้อย่างไร!! อะไรละ!! เมื่อยังไม่เข้าใจเลย!! ถ้าตอบไม่ได้แสดงว่ายังไม่เข้าใจ!!!

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nattawan
วันที่ 2 ก.ย. 2566

เราพูดถึงทุกอย่างและลืมว่าแต่ละหนึ่งคืออะไร เราคิดอย่างที่เราเคยคิด!! นรก พรหม เทพ นรก ... เป็นอย่างนี้ไหม!! ธาตุรู้จะอยู่ที่ไหนก็ตาม ต้องเกิดขึ้นรู้ทีละหนึ่งเท่านั้น!!!

ค่อยๆ รู้ความจริงว่า ทั้งวันมีอะไรบ้าง!! นอกจากธรรมะแต่ละหนึ่ง ที่เกิดตามเหตุปัจจัย ต้องสนใจ ต้องใส่ใจที่จะเห็นประโยชน์ของความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ บางคนอาจคิดว่าจะเข้าใจไปทำไม!! ได้ประโยชน์อะไร!! ได้เงินทองหรือ!! หรือได้อะไร!! ... แต่ได้ความเห็นถูก ซึ่งยากที่จะเห็น เพราะถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางเห็นความจริง อยู่ในโลกของความมืดด้วยความไม่รู้ อยู่ในโลกที่รวมกันแล้วปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด (นิมิต) มีรูปร่างสัณฐาน มีลักษณะเฉพาะแต่ละหนึ่งๆ แต่ไม่ใช่ธรรมะแต่ละหนึ่ง ฟังแล้วเริ่มรู้จักพระองค์เมื่อเข้าใจคำที่พระองค์ตรัสจริงไหม!! ฟังและเข้าใจมั่นคงขึ้นว่าพระองค์ทรงตรัสรู้สิ่งที่มี!! ทุกคำเปลี่ยนไม่ได้เพราะเป็นความจริงถึงที่สุด เริ่มเข้าใจความจริงจนกระทั่งเข้าใจในความไม่ใช่เรา!!! ประโยชน์อยู่ตรงนี้!!!

กิเลสคืออะไร!! เดี๋ยวนี้มีกิเลสหรือเปล่า!! จะละกิเลสได้อย่างไร!! โดยวิธีไหน!!อะไรละ!! เป็นเราละไม่ได้!! เพราะฉะนั้น ฟังด้วยความเห็นคุณสูงสุดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ให้เข้าใจสิ่งที่ถูกปกปิดไว้มานานในสังสารวัฏฏ์ เพราะไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง เข้าใจทีละหนึ่ง เกิดแล้วดับ ต้องเห็นการเกิดและดับ ฟังทุกครั้งเพื่อเข้าใจเท่านั้น ปัญญาทำหน้าที่เข้าใจถูก ไม่เห็นผิด!!! ค่อยๆ เข้าใจถูกนั่นคือประโยชน์ของการฟังและความเข้าใจค่อยๆ ละความไม่รู้และความติดข้องในสิ่งที่เกิดและดับไม่เหลือเลย แต่ก็หลงว่ายังอยู่ตลอด สบายไหม ... เพราะไม่ต้องทำอะไร!!ฟังแล้วเข้าใจไหม!! เข้าใจความจริงเท่านั้น!! เริ่มเข้าใจความจริงว่าคืออะไร!!!

บุญและบาปมีแต่ไม่ได้ปรากฏขณะนี้ เพราะเห็น ได้ยินกำลังปรากฏ รู้ไหมว่า บุญไม่ใช่เห็น บาปไม่ใช่เห็น แล้วเป็นอะไร!! ต่างกันอย่างไร!! เป็นอนัตตา ... ไม่ใช่ของใคร เกิดและดับไม่มีอะไรเหลือเลย!!! ค่อยๆ เข้าใจภาวะของสิ่งที่มีแต่ละหนึ่งจริงๆ ธรรมะต้องไตร่ตรอง ฟังแล้วฟังอีกๆ ๆ จนกระทั่งเข้าใจขึ้นๆ ๆ

ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจเท่านั้น!!! ไม่ต้องทำอะไร!! เพราะถ้าเข้าใจแล้วจะทำอะไรอีก!! ถ้าไม่เข้าใจต้องทำแน่!! ไม่ลืมว่าสนทนาธรรมเพื่อเข้าใจ!!!

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 2 ก.ย. 2566

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nattawan
วันที่ 5 ก.ย. 2566

ความคิดนึกเป็นเรา เพราะไม่รู้ว่าเป็นนึกเป็นคิด

ฟังธรรมะต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ฟังสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง เพราะเป็นคำของผู้ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี ที่จะตรัสรู้ทุกสิ่งถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง

การสนทนาธรรมโดยคิดถึงประโยชน์ของผู้ฟัง ... ให้มีความเข้าใจ ... ให้เริ่มไตร่ตรองด้วยความละเอียด เพราะธรรมะละเอียดลึกซึ้งมาก ... ไม่ใช่ตัวหนังสือ ... ทุกคำที่พระพุทธเจ้าตรัสให้รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทุกคำ ... เราไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งที่มีเลย!!! ถ้ารู้ไม่ต้องฟังคำของพระองค์!!! แต่เราฟังเพราะรู้ว่าไม่รู้ ... ไม่รู้ว่าพระองค์ทรงตรัสรู้รู้อะไร!!! เพราะฉะนั้นเพราะฉะนั้น ทุกคำตั้งแต่เกิดจนตาย พูดคำที่ไม่รู้จัก ... จรองหรือเปล่า!!! นี่เริ่มเป็นคนตรง ... ความตรงสำคัญมาก!!!

คุณโป๊ด : ต้องฟังธรรมไปเรื่อยๆ เพราะพระธรรมไม่ง่ายเลยที่จะเข้าใจแต่ละคำ ... แต่ละหนึ่งก็ค่อนข้างยาก อาจเป็นเพราะว่ายังฟังมาน้อยเกินไปที่จะเข้าใจได้ทั้งหมดจนประจักษ์แจ้งสิ่งต่างๆ

ทอจ : เพราะฉะนั้น วันนี้ทุกคนฟังเพื่อเข้าใจขึ้นในสิ่งที่เคยได้ฟังมาแล้ว เพราะเหตุว่าละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง นี่เป็นเหตุที่ให้แต่ละคนมีความมั่นคงว่าธรรมะละเอียดลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะคุยเรื่องอะไร ... กำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ซึ่งละเอียดลึกซึ้งมาก เพราะฉะนั้น ทุกคนฟังเพื่อเข้าใจความละเอียดลึกซึ้ง ... ทุกครั้งที่ฟัง ... นี่คือจุดประสงค์

อ. นภัทร : ข้อความในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสว่า " เพราะมีอะไร เพราะอาศัยอะไร เพราะยึดถืออะไร บุคคลจึงมีความเห็นตามว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา " ก็เพราะมีรูป เพราะอาศัยรูป จึงยึดถือรูปว่ารูปนั้นเป็นของเรา พระองค์ตรัสว่า " มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ "

ทอจ : ฟังทีละคำกับฟังหลายๆ คำ จะเข้าใจอะไรดีกว่า!! ... คำหนึ่งที่ได้ฟังชัดเจนละเอียดพอหรือยัง!!! หลายๆ คำแต่ละคำละเอียดทุกคำ!! เพราะฉะนั้น เราจะฟังทีเดียวหลายๆ คำหรือว่าจะฟังทีละหนึ่งให้เข้าใจละเอียดขึ้นๆ ลึกซึ้งขึ้น ... แล้วแต่ใจสมัคร ... แต่ถ้ารู้ว่าธรรมะละเอียดลึกซึ้งปานใดที่ต้องอาศัยการฟังแต่ละชาติ ... กี่ชาติกว่าจะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อนแสนนานมาแล้ว เราก็ตรงต่อความเป็นจริงว่า ถ้าพูดหลายๆ อย่างเราไม่มีความเข้าใจพอ ... นอกจากจะพูดทีละอย่างแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

น : เพราะมีอะไร!!

ทอจ : น่าคิดมากเลย!! ให้คิด ... คำของพระองค์ให้คิด ... ไม่ต้องถามว่าเราเข้าใจแค่ไหน!! แต่คิดแค่ไหน!! คิดถูกหรือเปล่าและเข้าใจสิ่งที่คิดหรือเปล่า!! เดี๋ยวนี้มีอะไร!!

ป : เดี๋ยวนี้มีเสียง

ทอจ : เสียงมีจริงไหม!! ได้ยินทุกวัน เสียงเมื่อวานนี้ยังอยู่ไหม!! เสียงมีจริงเมื่อเกิดขึ้นแล้วดับไปจึงไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้น ขณะนั้นเป็นเสียงใครหรือเปล่า!! เสียงหมดแล้ว ... ดับแล้ว ... ของใคร!!!

ป : ต้องมีเสียงเพราะได้ยิน

ทอจ : ได้ยินเป็นเสียงหรือเปล่า!!! เป็นใคร!!!

ป : เป็นสิ่งที่กระทบกับหู เป็นสิ่งที่ได้ยินและได้เข้าใจว่า เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงอะไร

ทอจ : เพราะฉะนั้น ทุกคนตรง ... ใครได้ยินเสียง!!! มีคนที่ได้ยินเสียงไหม ... หรือได้ยินเป็นได้ยิน!!! แค่คำว่าได้ยินลึกซึ้งใหม่!! ... ข้ามอะไรไม่ได้เลย ถ้าไม่สนใจตอนนี้ก็ไม่มีทางเข้าใจธรรมะ!!!!!

มีตัวหนังสือเยอะหลายเล่มในพระไตรปิฎกมีข้อความมากมาย แล้วเดี๋ยวนี้ ... ได้ยินหรือเสียง ... ที่ปรากฏ!!! ... สำหรับไตร่ตรอง สำหรับเป็นความเข้าใจของเรา สำหรับรู้ว่า การตรัสรู้และพระพุทธเจ้าคือใคร!!! ไม่ได้ง่ายอย่างที่เราคิดเลย และถ้าเรายังไม่ได้มีความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นบารมีที่มั่นคงว่า ทรงแสดงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เพื่ออะไร!! ... เพื่อให้เข้าใจถูกต้องในความเป็นจริงของทุกสิ่ง ... คิดสิว่าเมื่อไหร่จะได้เข้าใจถึงระดับนั้นตามที่พระองค์ตรัส!!!

เริ่มเป็นผู้ที่รู้ความจริง ตรงต่อความจริง เข้าใจเมื่อไหร่เคารพพระองค์ตามความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าเคารพอะไร!!! เพราะฉะนั้น ได้ยินหรือเสียงที่ปรากฏ!!! ตอบตามหนังสือไม่ยากเลยใช่ไหม!! แต่ตรงกับความเป็นจริงเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้อะไรปรากฏ ... เสียงหรือได้ยิน!!!

ป : ได้ยิน ทอจ : ไม่ใช่

ผู้ฟัง : เสียงเป็นเสียง ได้ยินเป็นเสียง

ทอจ : เห็นไหมว่าจะข้ามไปไหม!!! เราฟังธรรมะเพื่ออะไร!! เพื่อให้เข้าใจถูกในสิ่งที่ลึกซึ้งด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้ใครบอกเราว่าถูกหรือผิด ได้ยินเป็นเสียงหรือ ถ้าไม่ไตร่ตรอง ไม่คิด ไม่เข้าใจ!!!

ในขณะที่ได้ยินเสียง แค่นี้หนึ่งขณะ เริ่มคิดว่าได้ยินคืออะไรและเสียงคืออะไร ได้ยินเป็นเสียงหรือเปล่า!! ถ้าไม่พูดให้ละเอียดทุกคนไปหมดแล้วถึงอายตนะถึงอะไรๆ แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ตรง คิดหน่อย!! คิด!! มี 2 อย่างใช่ไหม!! ได้ยินหนึ่ง เสียงหนึ่ง ไม่ใช่อย่างเดียวกัน แค่นี้ถ้าเราฟังเผินก็เป็นเราได้ยินเสียง จบ!! แต่ไม่ใช่ เสียงเป็นได้ยินไม่ได้ ได้ยินก็เป็นเสียงไม่ได้ เพราะอะไร!!! ไม่ใช่ให้เชื่อเลย แต่ให้เริ่มตรงกับธรรมมะทีละเล็กทีละน้อย จนเข้าใจว่า ที่เคยเข้าใจนั้นน้อยมาก ยังไม่มั่นคง เพียงแค่จำและคิดสั้นๆ ว่าได้ยินเป็นเสียง แต่ลองคิด ได้ยินกับเสียงเป็นอย่างเดียวกันหรือเปล่า!!!

มีได้ยินทุกชาติ มีเสียงทุกชาติ นานมาแล้วสมัยพุทธกาลก็มีได้ยิน มีเสียง มีเหมือนเดี๋ยวนี้เลย แต่ไม่มีความเข้าใจ จนกว่าจะได้เริ่มฟัง และไตร่ตรองเป็นปัญญาของเราเอง ที่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรจริง อะไรไม่จริง แต่ต้องตรง!!!

แต่ถ้าคิด เสียงรู้อะไรไหม!! แข็งรู้อะไรไหม!! นี่คือประโยชน์ของการสนทนาให้เข้าใจขึ้น มั่นคงขึ้น รู้ความจริงว่าเปลี่ยนไม่ได้ เสียงไม่รู้อะไร เกิดและดับ ถ้าไม่มีธาตุรู้ที่ได้ยิน เสียงจะปรากฏได้ไหม!!! เพราะได้ยินคือรู้เฉพาะสิ่งที่กระทบหู เสียงอื่นที่ไม่กระทบหูจะได้ยินไม่ได้!! เสียงเป็นเสียง เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งกระทบหูและมีธาตุรู้เสียงคือได้ยินเกิดขึ้น เสียงนั้นจึงปรากฏว่ามีเสียงจริงๆ ถ้ายังไม่มีสภาพรู้ จะบอกว่าเสียงมีจริงไม่ได้ นี่คือความตรงที่จะรู้ว่าทั้งหมดที่พระองค์ทรงตรัสสรู้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร แต่เป็นธรรมะสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง รู้รวมกันไม่ได้ ต้องรู้แต่ละหนึ่ง จึงจะค่อยๆ ละความที่จำผิดๆ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะรวมกันทำให้ปรากฏเป็นนิมิต รูปร่างสัณฐาน สีดำ เขียว เหลือง แดง รูปร่างต่างๆ กันก็หมายรู้บัญญัติว่า นี่เป็นแก้วนั่นเป็นคน ไม่ต้องเรียกเลย แต่เป็นแล้วเพราะรวมกันแล้ว

แต่ละคำขาดไม่ได้เลย ถ้าฟังธรรมะแล้วใครบอกว่าได้ยินเป็นนาม เสียงเป็นรูป ไปแล้ว พอใจแล้ว แต่เป็นความรู้เดี๋ยวนี้หรือเปล่า!!! ถ้าไม่รู้เดี๋ยวนี้ ดับแล้วหมดแล้ว ไม่รู้ต่อไป เป็นประโยชน์ไหม!!! ... ได้รู้ความจริงว่าไม่มีเรา เพราะมีธาตุรู้เกิดขึ้นเมื่อเสียงกระทบหู รู้อื่นไม่ได้ ต้องรู้เสียงที่กระทบหูเท่านั้น!!!

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nattawan
วันที่ 5 ก.ย. 2566

ธรรมเตือนใจ ... เก็บไว้ในหทัย ... ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ร้าน Pode Hair Creation 1 ก.ย. 66

@ ต้องรู้แต่ละขณะ นี่คือการเริ่มที่จะเข้าใจคำว่า ธรรมะลึกซึ้งมีตลอดวันทุกชาติก็ไม่รู้ นี่คือการเริ่มเป็นสัจจบารมี ตรงต่อความจริงว่า ไม่ใช่รู้อื่น ... รู้เดี๋ยวนี้ ... ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่รู้แล้วจะรู้อะไร!! ไม่เคยรู้เดี๋ยวนี้ใช่ไหม!!!!!

@ ถ้าไม่เห็นก็ไม่มี ถ้าไม่คิดก็ไม่มี .. เพราะฉะนั้น ต้นตอคือ มีธาตุรู้ที่เห็นต่างกับธาตุรู้ที่คิด ... ต่อกัน!! คิดตามสิ่งที่เห็นที่ได้ยิน บางทีไม่ได้เห็นก็คิดเพราะจำสิ่งที่เคยเห็น จึงต่างกันหลากหลายมาก ถึงไม่ใช่เราสักอย่าง

@ มั่นคงในคำสั้นๆ ของพระองค์ " ธรรมะทั้งหลายทั้งปวงทั้งหมดเป็นอนัตตา "

@ ไม่ใช่เรามันยากเหลือเกิน ... ก็ไม่รู้มานานเท่าไหร่แล้ว!!! ไม่ใช่เฉพาะแค่วันนี้ชาตินี้ จะเอาเราออกไป จะออกได้ไหม!!! จึงเป็นสังสารวัฏฏ์ ... ทั้งหมดคือไม่รู้ใช่ไหม!!! ... ไม่ได้ให้ตัดเลย แต่ให้รู้!!! ตัดไม่ได้ เป็นทุกข์และเป็นเราทั้งหมดตั้งแต่เกิด เห็นก็เป็นเรา เกิดมาแล้วก็ต้องเห็นต้องได้ยิน ... ก็เป็นเราไปหมด ต้องคิด ต้องจำ ต้องสนุก ต้องทุกข์ก็เป็นเราหมด เพราะ ลืมว่าธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ... ต้องมั่นคง!!

@ มีเราแน่ใช่ไหม!! เริ่มเข้าใจความเห็นผิดว่ามีเราแน่นอน แต่ก็ยังตัดคำว่าไม่มีเรายากมาก ใครจะตัดได้ ... พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัดให้เราได้ไหม!!! ในบรรดาสิ่งที่เกิดทั้งหมดความเข้าใจถูกหรือปัญญาประเสริฐสุด เพราะสามารถเข้าใจสิ่งที่มี แต่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีปัญญา

@ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าง่ายไหม!!! ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงระดับถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้าและไม่ใช่สาวก แต่ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ... ยากแค่ไหน!!! แต่ต้องมีเหตุคือการได้ฟังมาแล้ว การสะสมมาแล้ว พอที่จะเป็นปัจจัยให้เมื่อสิ่งนั้นปรากฏก็ทรงตรัวรู้ได้ ถ้าไม่มีปัญญาสะสมมา ... ไม่มีทาง!!!

@ ฟังเพื่อรู้ความจริงเข้าใจความจริง กำลังมีความจริงก็ไม่รู้ ... จึงฟังเพื่อรู้จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง เพราะพระองค์ทรงแสดงหนทางที่ทรงบำเพ็ญเพื่อทรงตรัสรู้ความจริงได้ แต่เราเป็นสาวก ... มีใครจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างไหม!!! เป็นสาวกก็เป็นเถอะ เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจถูก เป็นประโยชน์มากในวันนี้ที่เริ่มสะสมความเห็นถูกจริงๆ ไม่ใช่ความหลงเข้าใจผิดง่ายๆ ตื้นๆ

@ สะสมความเห็นถูกนี่เบา ... เมื่อไหร่ ... ตรงไหน!! ตรงเริ่มเข้าใจ ... ถ้าไม่เข้าใจ ... ไม่เบา!!!

@ จะเป็นเรา เป็นเราที่ละความไม่รู้แบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่!!! ความเข้าใจต่างหากที่ละความไม่รู้

@ อ.นภัทร : เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เป็นประโยคที่น่าพิจารณา เพราะหลายหๆ ท่านก็คิดว่า เสียงที่ไม่น่าพอใจได้ยินแล้วเดี๋ยวมันก็ผ่านไป เพราะฉะนั้น เดี๋ยวมันก็ผ่านไปๆ ด้วยอะไร!!

คุณโป๊ด : ถ้าเราหมกมุ่นกับความโกรธ จะเป็นกำลังให้ความโกรธมากขึ้น เพราะฉะนั้น น่าจะเป็นความเข้าใจว่า ไม่ทำให้ความโกรธมีกำลังมากขึ้น

ทอจ : มีวิธีของตัวเองแล้วใช่ใหม!!

ป : แต่ก่อนไม่เป็น ... ทำไม่ได้

ทอจ : ฟังแล้วยังเป็น!!

ป: แต่ก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น

ทอจ : เริ่มเข้าใจหรือว่ายังจะทำ!!! ถ้าเข้าใจแล้วทำไหม!!!

ป : ท่านอาจารย์ให้ไม่ทำเลยคงจะยาก

ทอจ : ไม่ใช่ให้หรือไม่ให้ ... เข้าใจสำคัญที่สุด เข้าใจนิดเดียวหรือไม่นิดเดียวก็คือเข้าใจ!! ถ้าเราให้เข้าใจความลึกซึ้ง ... มันผ่านไปแล้ว!!! จริงๆ ก็เป็นเราจะทำ แม้แต่คิดว่า เดี๋ยวมันก็ผ่านไป นี่ก็เราแล้ว ... แต่มันผ่านไปแล้ว ... คิดว่าเดี๋ยวมันจะผ่านไป ... เร็วปานนั้น ... มันหมดไปแล้ว!!! เห็นไหมว่าความไม่รู้มากแค่ไหน!! เพราะฉะนั้น วันนี้ฟังเพื่อเข้าใจความจริง คือให้ตรงต่อความเป็นจริง นั่นคือหนทางละ ไม่ใช่เราต้องไม่อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วจะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือจะคิดเองต่อไป!!!

อ. ธีรพันธ์ : เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ถ้าเป็นมันก็ยังเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ยังเป็นเรา แต่ความจริงไม่มีสิ่งนั้นและไม่มีเรา แต่มีสิ่งที่มีจริงและยากที่จะเห็นความดับไป จริงๆ ก็ดับไปแล้ว แต่ปัญญาไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงคิดว่าเป็นมัน เป็นเรา นี่คือความรวดเร็วของสภาพธรรมะ ปัญญายังไม่พอตั้งแต่ขั้นการฟัง ไม่มีเราที่จะไปทำอะไรได้เลยความจริงผ่านไปแล้วดับไปแล้วแต่ปัญญาไม่รู้ ถ้ารู้ก็ไม่รู้โดยความเป็นมัน แต่รู้โดยรู้ลักษณะของธรรมะ เช่น เสียง

ทอจ : แล้วยัง " เดี๋ยว " ด้วย

ธ : " เดี๋ยว " นี่ก็ช้าไปแล้ว

ทอจ : เริ่มรู้จักพระพุทธเจ้า

น : การที่จะเริ่มเป็นผู้ที่ตรงต่อความเป็นจริง ในขณะที่มีเสียงที่ไม่น่าพอใจคืออย่างไร!!

ทอจ : เกิดแล้ว ... ไม่รู้และเกิดอีกก็ไม่รู้!!!

น : เริ่มตรงที่จะรู้แต่ละหนึ่ง

ทอจ : เพราะฉะนั้น ไม่ไปทำอะไรเลย นอกจากรู้ หันมารู้ แทนที่ไปคิดอย่างอื่น ค่อยๆ รู้ว่าขณะนั้นเป็นอะไร!!!

@ มีชีวิตอยู่เพื่อเข้าใจถูกต้องในพระธรรมและให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย เพราะฉะนั้น ก่อนที่คนอื่นจะเข้าใจ ... เราต้องเข้าใจก่อน!!! จะคิดเอง เข้าใจเอง หรือเราต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยละเอียด ถึงจะเข้าใจได้ ฟังจนค่อยๆ เข้าใจถึงความละเอียด

@ ต้องค่อยๆ เข้าใจในความเป็นจริง จะได้มั่นคงว่าไม่ใช่เรา

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 6 ก.ย. 2566

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ