ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๒๘
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๒๘
~ ใครที่เป็นเพื่อนที่ดี หวังดี ไม่เคยหวังร้าย ไม่เอาสิ่งที่ไม่ดีแม้สักนิดเดียวไปให้ใคร คนนั้นเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด เป็นกัลยาณมิตร ซึ่งกัลยาณมิตรสูงสุดคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หาใครเปรียบไม่ได้เลย เราได้ยินได้ฟังทุกคำจากพระมหากรุณา ทรงเป็นกัลยาณมิตร น่าสงสารเหลือเกินสำหรับคนที่ไม่ได้เข้าใจความจริง แต่ถ้าเขาได้ฟัง เขามีโอกาสที่จะไตร่ตรองจนกระทั่งเขาเข้าใจขึ้น นี่คือ พระมหากรุณา นี่คือ ผู้ที่หวังดีที่สุด เป็นมิตรที่ดีที่สุด เป็นกัลยาณมิตรที่ประเสริฐสุด ไม่มีใครเทียบได้
~ การที่เราได้เห็นคุณของพระธรรมที่เราได้เริ่มเข้าใจ ก็รู้ว่า เข้าใจแค่นี้ไม่พอ เมื่อเข้าใจแค่นี้ ไม่พอ แล้วอย่างไร ก็ฟังต่อไป ไม่ขาดการที่จะอบรมเจริญปัญญาให้เข้าใจขึ้น เพราะรู้ว่า เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์
~ การที่จะรอบรู้ในพระธรรม คือ ไม่ข้ามคำหนึ่งคำใด ต้องเป็นความเข้าใจที่มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยการไตร่ตรองว่าธรรมคืออะไร? ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ไม่มีใครสามารถทำให้เกิดขึ้นได้เลย
~ ถ้าเราเคยเข้าใจผิดมาก่อน เคยรู้ผิด ปฏิบัติผิด หลงผิดมา เมื่อรู้แล้วจะทิ้งไหม? จะเริ่มเห็นประโยชน์ของการที่ว่า แม้ความรู้ถูกเพียงเล็กน้อย ก็มีประโยชน์กว่าความรู้ผิดซึ่งจะผิดต่อไปอีกมากและก็ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดต่อไปเรื่อยๆ ด้วย
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหนือคำของใครทั้งสิ้น เพราะว่าทำให้สามารถเข้าใจถูกต้อง รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ประเสริฐที่สุดที่จะเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่กำลังมี ซึ่งไม่สามารถจะรู้ได้จากไหนทั้งสิ้น นอกจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ใครกล่าวธรรมไม่ตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสแล้ว ความคิดของบุคคลนั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากไปกลบ ไปทำลายทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นโทษอย่างยิ่ง
~ ท่านที่ศึกษาพระธรรม มีความจริงใจที่จะศึกษาเพื่อเข้าใจพระธรรม นั่นเป็นสัจจะ เป็นความจริงใจ แต่ถ้าศึกษาเพื่อเหตุอื่น คือ เพื่อลาภ เพื่อยศ เพื่อสรรเสริญ หรือเพื่อสักการะ ขณะนั้นไม่ใช่ความจริงใจในการศึกษาพระธรรม เพราะฉะนั้น ก็ไม่เป็นสัจจบารมี
~ ถ้าเป็นผู้ที่จริงใจต่อพระธรรม คือ ผู้ที่ศึกษาพระธรรมด้วยความจริงใจ เพื่อที่จะเข้าใจพระธรรมให้ถูกต้อง นี่คือความจริงใจในการศึกษาพระธรรม การศึกษาพระธรรม ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย ไม่ใช่เพื่อลาภ ไม่ใช่เพื่อสักการะ ไม่ใช่เพื่อสรรเสริญ
~ เพราะรู้คุณของพระธรรมที่ยังมีให้เราได้ยินได้ฟัง ให้เราได้ศึกษา ทุกคนจึงได้ฟังต่อไป เรียนต่อไป ค่อยๆ เข้าใจต่อไป
~ คนที่ทำอกุศลมามาก ควรแก่การสงสารหรือเปล่า ควรแก่การเห็นใจว่าเขาจะต้องได้รับผลแน่นอน และมีทางใดที่จะช่วยให้เขาได้เข้าใจถูกต้อง เพื่อที่จะมีประโยชน์ต่อไปกับชีวิตของเขา ที่จะไม่ประพฤติอย่างนั้นอีก ไม่ดีกว่าหรือ?
~ ตราบใดที่ยังมีกิเลส ต้องเป็นอย่างนี้ (คือ ทำอกุศลกรรม และเกิดในอบายภูมิ) เขาเป็นได้ เราเป็นไม่ได้หรือ ถ้ากิเลสยังมีอยู่และยังมีมากๆ เหมือนเขา? จึงควรที่จะเห็นภัยของอกุศลและเห็นประโยชน์ของการที่จะละอกุศล
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นประโยชน์ทุกกาลสมัย
~ ว่าง่าย ต้องเป็นผู้ที่เห็นโทษเมื่อคนอื่นชี้โทษ แล้วก็พร้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตาม โดยการที่ไม่โกรธเคืองว่าคนนี้มาชี้โทษเรา แต่กลับเห็นว่าเป็นประโยชน์
~ ถ้าเมตตาเจริญจริงๆ แม้คนไม่ดีหรือคนที่เราเคยไม่ชอบ เมตตาก็ยังเกิดได้ และขณะนั้นใจก็ไม่เดือดร้อน
~ ทุกชาติต้องมีทั้งสุขและทุกข์ ไม่มีใครพ้นไปได้ เพราะฉะนั้น ในยามทุกข์ ใครสามารถจะช่วยคนอื่นให้คลายทุกข์ได้ นั่นก็ต้องเป็นปัญญา เพราะเหตุว่า อย่างอื่นย่อมไม่สามารถทำให้คลายทุกข์ได้
~ มีสมบัติอะไรในโลกซึ่งคนในโลกนี้เอาไปได้? ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดๆ ก็ตามที่มีอยู่ตั้งแต่บรรพบุรุษซึ่งได้ชื่อว่าครอบครองมีสิ่งเหล่านั้น แต่ก็จากไปหมด ไม่มีใครเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงของสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยสักอย่างเดียว
~ การสนทนาธรรม ก็จะทำให้เราได้เข้าใจชีวิตตามความเป็นจริงแล้วก็จะรู้ได้ว่า เมื่อมีความเข้าใจ ชีวิตเราจะเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ติดข้องในทางที่ไม่เป็นทุกข์ ไม่เดือดร้อน เพราะรู้ว่า เพราะเหตุใด สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น แทนที่จะถามว่า "ทำไมต้องเป็นเรา?" ก็ต้องเป็นเรา เพราะได้กระทำกรรม คือ เหตุที่ได้กระทำแล้ว จะไปเกิดกับคนอื่นได้อย่างไร
~ ฟังพระธรรม ประโยชน์มาก ไม่ใช่เสียเวลาเลย เพราะว่า เวลาที่มีอยู่ในโลกนี้ ไปฟังเพลงดูหนังดูละครแล้วได้อะไรที่เป็นความจริงของชีวิตที่จะรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงบ้าง แต่ถ้าฟังพระธรรมตามปกติ ตามศรัทธาตามกำลัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ดีกว่าไม่ได้ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจเลย
~ ชีวิตทั้งชีวิตก็มีความรู้สึก เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวเฉยๆ เท่านี้เอง สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก เมื่อวานนี้ หลายคนอาจจะมีความสุขมาก ๒ – ๓ วันก่อนก็ได้ และหลายคนก็อาจจะมีความทุกข์โศก แต่ว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ขณะนั้น เพราะฉะนั้น ก็เป็นเพียงชั่วขณะซึ่งต้องเป็นไปโดยที่ว่าบังคับบัญชาไม่ได้ จะไม่ให้สุขก็ไม่ได้ จะไม่ให้ทุกข์ก็ไม่ได้ แต่ทั้งหมดไม่ยั่งยืน เพียงชั่วคราวแล้วก็หมดไป เหลือเพียงแค่ความจำในสิ่งที่ไม่มี เพราะไม่รู้
~ เกิดมาคนเดียว เห็นคนเดียว ตายคนเดียว ถ้าเราเข้าใจความจริงมั่นคงขึ้น ไม่มีอะไรประเสริฐเท่ากับเข้าใจพระธรรมทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และประโยชน์สูงสุด คือ ช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้องด้วย
~ ความคดโกง ความทุจริตต่างๆ ทั้งหมด ใครแก้? ถ้ารู้ว่าไม่ดี ไม่มีใครทำ ถ้ารู้จริงๆ
~ ความไม่รู้ ทำให้ไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรชั่ว อะไรเป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์ นั่นคือ ความไม่รู้ แต่เมื่อมีปัญญา รู้ถูกต้องตามความเป็นจริง จะไม่ทำสิ่งที่ผิด
~ ผู้ที่เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม จึงไม่ประมาทแม้กุศลเพียงเล็กน้อย ไม่ว่าจะทางกาย ทางวาจา และทางใจ แต่ถ้าไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่รู้เลยว่าขณะนั้น ไม่ใช่เราเลย
~ ชีวิตข้างหน้าในสังสารวัฏฏ์อีกยาวนานมาก แล้วถ้าไม่เริ่มเห็นถูก ก็จะผิดต่อไปอีกนานเท่าไหร่
~ ถ้ามีกิเลสมากๆ มีทรัพย์เท่าไหร่ก็ไม่สุข
~ เร่งประกอบกรรมดี นี่คือ จุดประสงค์ของการระลึกถึงความตาย
~ ถ้ายังไม่เห็นอกุศลของตัวเอง ไม่มีทางที่กุศลจะเจริญขึ้น
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๒๗
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
ธรรมมีมานัสพร้อม รับฟัง
อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้
จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ
กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา