การเคลื่อนอสุจิของพระอรหันต์ ความประพฤติของพระอรหันต์รวมถึงอริยะบุคคล
กราบเท้าท่านคณาจารย์ ชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ทุกท่านครับ
ผมไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัด ได้คุยกับพระภิกษุ กลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นพระน้องชายของเพื่อนผม พระกลุ่มนั้นพยายามโน้มน้าวบอกให้ผมเชื่อว่า พระอรหันต์นั้น เสพกามสังวาสได้ ฆ่าสัตว์ได้ หาปูหาปลาเลี้ยงชีวิตเหมือนคนปกติ หรือมีครอบครัวมีลูกมีเมียปกติ และยกตัวอย่างของพระที่เผารังมดแดง แต่ก็ถูกย่องย่องว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์สักแต่ว่าทำ ตามจริตที่เป็นมา มีความโกรธ โทสะอยู่ โดยยกตัวอย่างของหลวงตารูปหนึ่งที่แสดงความโกรธลูกศิษย์ด้วยการโยนกระโถน แต่ก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว โดยอ้างคำรับรองของ หลวงพ่อ หลวงปู่ หลวงตา ที่ คนส่วนใหญ่ เขายกย่องว่าเป็นพระอรหันต์ และได้บอกผมว่าหลวงปู่ท่านหนึ่งเตือนว่า ไม่ให้ไปตำหนิติเตียนพระท่านที่เผารังมดแดง จะเป็นบาป ผมจึงแก้ว่า ที่หลวงปู่เตือนอาจจะเป็นเพราะเห็นว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ เป็นปุถุชน ไม่ได้เคยเล่าเรียนธรรม ไม่ได้สำรวมกาย วาจาใจ จะมี อกุศลจิตนำ ในการติเตียน การที่ห้ามติเตียนไม่ใช่เพราะพระที่เผารังมดแดงเป็นพระอรหันต์ซักหน่อย
พระเหล่านั้นบอกว่าพระไตรปิฎก เชื่อถือไม่ได้เพราะคนเขียนเอาแต่ความดีของพระอรหันต์เขียนลงไป ซึ่งพระอรหันต์ไม่เอาทั้งดีและชั่ว ยังบอกอีกว่า ตนปฏิบัติแล้วรู้เห็นจริง ว่าถ้าตัดความคิดได้ก็จบ อุปทานก็จะไม่มี ผมก็พยายามชี้แจงว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นโดยยก สภาพธรรม คำศัพท์ ต่างๆ ที่ชี้ให้เห็นว่ามีหลายตัวมีลักษณะต่างๆ ที่เราต้องเรียนรู้ ซึ่งแต่ละลักษณะก็จะต่างกัน พระก็ตำหนิผมว่า "โยมพี่พูดแต่ในตำรา เอาผลการปฏิบัติมาพูดสิ พระไตรปิฎกทำให้บรรลุได้เหรอ อ่านอย่างเดียวไม่บรรลุหรอก หลวงพ่อ ... นั้น ก็ได้รับรองแล้วจากหลวงปู่..ว่าเป็นอรหันต์ ทำไมโยมพี่ไม่เชื่อ "
ผมได้ตอบไปว่า ผมจะไม่ไปประมาณในบุคคลคลนั้นนี้ ผมไม่อาจหาญ เอาผลการปฏิบัติของผมไปเป็นมาตรฐานชี้วัดว่าผิดถูก หรือเอาหลวงปู่หลวงพ่อเป็นข้ออ้างอิง แต่ควรจะเทียบกับในพระไตรปิฎกในข้อปฏิบัตินั้นหากไม่ตรงก็ทิ้งไปเสีย แล้วก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป ผมบอกว่า ขณะที่ผมได้ยินเสียงข้อความที่ท่านพูดว่า พระหันต์นั้นฆ่าสัตว์ ผมรู้สึกโกรธขุ่นเคืองมาก ซึ่งความขุ่นเคืองที่เกิดขึ้นผมก็ไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะเกิดหรือบังคับให้เกิดก็แสดงความจริงของอนัตตาที่ไม่ได้อยู่ในอำนาจ แต่เป็นเพราะผมมีกิเลสอยู่เองที่เป็นเหตุ เมื่อหู ได้ กระทบเสียงที่ไม่ชอบ และเกิดการไม่พอใจ ซึ่งก็เกิดเพราะเหตุปัตจัย แต่เพราะขณะนั้นผมระลึกถึงคำสอน ขณะต่อมาจึงคลายความโกรธนั้นลง แล้วก็ค่อยๆ พูดจากัน ซึ่งก็เป็นชีวิตปกติประจำวัน ก็คงทำได้เพียงศึกษาเรียนรู้ ในสิ่งที่ถูกต้อง กาย วาจาใจ ก็จะค่อยๆ สงบ สำรวม ไปตาม กุศล ที่เจริญขึ้นไปเอง ผมอธิบายว่าการที่ผมจะบรรลุตอนไหนนั้นไม่ใช่ประเด็น แต่มันอยู่ที่ปัจจุบันนี้ผมเจริญเหตุ ให้สมควรกับผลหรือเปล่า เพราะการจะเข้าใจความจริงนั้นเป็นเรื่องไกลมากๆ จะประมาทไม่ได้เลย ซึ่งโดยส่วนใหญ่ผมไม่ได้มีโอกาสที่จะพูดชี้แจงเลย ตอนนั้นในใจไม่อยากฟัง อยากจะลุกหนี ก็ไม่กล้าพอ ในใจคิดว่า ทำไมถึงกล้าฟันธงลดคุณธรรมของพระอริยะเจ้าได้ขนาดนี้ เข้าข่ายปรามาส พระรัตนะตรัย เขารู้ตัวหรือเปล่านะ แต่ก็ต้องทนเพราะอยู่บ้านเพื่อนและเกรงใจเพื่อน จากนั้นผมก็ออกมาจากบ้านเพื่อน 2 ทุ่มครับ
ผมได้อ่านข้อความตามนี้
และ
ข้อความบางตอน
" ... อานนท์ ความจริง เมื่อภิกษุเหล่านั้นนอนหลับลืมสติ ไม่รู้สึกตัว น้ำอสุจิจึงเคลื่อนเพราะความฝัน ภิกษุเหล่าใด นอนหลับ มีสติตั้งมั่น รู้สึกตัว น้ำอสุจิของภิกษุเหล่านั้นไม่เคลื่อน อนึ่ง น้ำอสุจิของภิกษุปุถุชน ผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม ก็ไม่เคลื่อน ข้อที่น้ำอสุจิของพระอรหันต์จะพึงเคลื่อนนั้น ไม่ใช่ ฐานะ ไม่ใช่โอกาส"
ผมมีข้อสงสัยสอบถามดังนี้ว่า
1.พระอรหันต์จะมีการเคลื่อนอสุจิอยู่หรือไม่ครับ แล้วเกิดจากสาเหตุอะไรครับ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เกิดจากราคะแน่นอน และมีหรือไม่ครับที่พระอรหันต์มีเหตุให้ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องร่วมสังวาส
2. มีตัวอย่างในพระไตรปิฎกไหมที่พระอรหันต์ ใช้ชีวิต หาปูปลา เลี้ยงชีพ มีครอบครัว ซึ่งที่ผมพอรู้บ้างก็มี พระโสดาบันหญิงท่านหนึ่ง (ไม่ใช่อรหันต์) หนีไปอยู่กับนายพรานแล้วเตรียมอาวุธให้สามีไปล่าสัตว์ทุกวัน
3.เนื่องจากเพื่อนของผม ต้องคอยดูแลอุปฐาก พระกลุ่มนี้ที่เป็นน้องชายซึ่งไปตั้งสำนักสงฆ์ข้างๆ บ้าน ก็ต้องได้คลุกคลีและฟังจากพระน้องชายเป็นแน่ ผมจะช่วยเพื่อนอย่างไร ให้เข้าใจได้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้เพื่อนหลงเข้าใจผิดจนเกิดการ ติเตียน ปรามาส พระไตรปิฎก และ คุณธรรมของพระอรหันต์ ผมจะอธิบายกับเพื่อนผมด้วยข้อความไหนดีครับ
กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อันตรายอย่างยิ่งที่ไม่ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพละเอียดรอบคอบ แล้วคิดเอง ซึ่งเมื่อคิดเอง ก็ย่อมผิด เมื่อคิดเองแล้วยังเผยแพร่ความเห็นที่ผิดนั้นให้คนอื่นเข้าใจผิดอีกด้วย เป็นโทษทั้งกับตนเอง เป็นโทษทั้งกับผู้อื่น และผู้นั้นก็เป็นผู้ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เท่ากับว่าเป็นผู้ประทุษร้ายต่อพระกายหรือพระสรีระของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นโทษอย่างยิ่ง
ก่อนที่จะตอบคำถามข้างต้น ก็ต้องเข้าใจก่อนว่า พระอรหันต์คือใคร?
พระอรหันต์ เป็นผู้ที่ห่างไกลแสนไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวง เป็นผู้ทำลายข้าศึก คือ กิเลสได้หมดสิ้น เป็นผู้ไม่มีภพใหม่อีกต่อไป การบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เริ่มตั้งแต่พระโสดาบันบุคคล ถึง ความเป็นพระอรหันต์นั้น ต้องเป็นผู้ที่สะสมอบรมเจริญปัญญา สะสมการสดับตรับฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ดำเนินตามหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ คือ หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา
ข้อที่น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง คือ ถ้าหากไม่ตรงตามพระธรรมวินัย ประพฤติผิด ทำในสิ่งที่ผิด แต่สำคัญว่าถูก อย่าว่าแต่ถึงความเป็นพระอรหันต์เลย แม้ถึงความเป็นพระโสดาบัน ซึ่งเป็นพระอริยบุคคลขั้นต้น ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ใช่หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา นั่นเอง
ถ้าหากบรรลุเป็นพระอรหันต์ในขณะที่ยังเป็นคฤหัสถ์ จะต้องบวชในวันนั้น ถ้าไม่บวชในวันนั้น ก็จะต้องปรินิพพานในวันนั้นเลย เพราะความเป็นพระอรหันต์ มีคุณธรรมที่สูงยิ่ง เพศคฤหัสถ์เป็นเพศที่ต่ำ จึงไม่สามารถรองรับคุณธรรมที่สูงยิ่งนี้ได้ ดังนั้น จึงไม่มีพระอรหันต์ที่ดำรงชีวิตอยู่ในเพศคฤหัสถ์เหมือนอย่างชาวบ้านทั่วไป
อีกประการหนึ่ง ยุคนี้ เป็นพันปีที่ ๓ ในโลกมนุษย์ นี้ ถ้าจะมีผู้บรรลุธรรมได้ ก็เพียงถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคลเท่านั้น ไม่มีผู้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว
ถ้ามีใครกล่าวว่า คนนั้นคนนี้ พระรูปนั้นรูปนี้ เป็นพระอรหันต์ ทั้งหมดทั้งปวงนั้น คือ เท็จทั้งหมด หลอกลวงทั้งหมด ไม่เป็นความจริงทั้งหมด
ขอเชิญอ่านหลักฐานตามข้อความดังนี้ .-
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ หน้าที่ ๕๕๔ ก็คำว่า วสฺสสหสฺส (๑,๐๐๐ ปี) นี้ ตรัสโดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้บรรลุปฏิสัมภิทาเท่านั้น, แต่เมื่อกล่าวให้ยิ่งไปกว่านั้น ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้สุกขวิปัสสก, ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระอนาคามี, ๑,๐๐๐ โดยมุ่งถึงพระสกทาคามี, ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระโสดาบัน ปฏิเวธสัทธรรมถูกดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี โดยอาการดังกล่าวมานี้แม้พระปริยัติธรรมก็ดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีนั้นเหมือนกัน. เพราะเมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมก็มีไม่ได้ แม้เมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมไม่มี ก็เมื่อปริยัติธรรมแม้อันตรธานไปแล้วเพศ (แห่งบรรพชิต) ก็จักแปรเป็นอย่างอื่นไปแล.
[เล่มที่ 9] พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ ๔๙๙
แต่คำว่า พันปี นั้น พระองค์ตรัสด้วยอำนาจพระขีณาสพผู้ถึงความแตกฉานในปฏิสัมภิทาเท่านั้น แต่เมื่อจะตั้งอยู่ยิ่งกว่าพันปีนั้นบ้าง จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระขีณาสพสุกขวิปัสสกะ จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระอนาคามี จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระสกทาคามี จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจพระโสดาบัน รวมความว่า พระปฏิเวธสัทธรรมจักตั้งอยู่ตลอดห้าพันปี ด้วยประการฉะนี้
ขอตอบคำถามดังนี้
1.พระอรหันต์จะมีการเคลื่อนอสุจิอยู่หรือไม่ครับ แล้วเกิดจากสาเหตุอะไรครับ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เกิดจากราคะแน่นอน และมีหรือไม่ครับที่พระอรหันต์มีเหตุให้ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องร่วมสังวาส
เป็นไปไม่ได้เลยที่พระอรหันต์จะมีอสุจิเคลื่อน เพราะพระอรหันต์ดับกิเลสได้หมดสิ้นโดยประการทั้งปวง ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย พระอรหันต์ก็ไม่ฝันด้วย ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่พระอรหันต์จะไปมีพฤติกรรมต่ำๆ อย่างที่ปรากฏในคำถาม
ข้อความใน พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ ๒๘๙ ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งแล้ว ดังนี้
"ดูกร อานนท์ ความจริง เมื่อภิกษุเหล่านั้นนอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว น้ำอสุจิเคลื่อน เพราะความฝัน ภิกษุเหล่าใดนอนหลับ มีสติทั้งมั่น รู้สึกตัว น้ำอสุจิของภิกษุเหล่านั้นไม่เคลื่อน อนึ่ง น้ำอสุจิของภิกษุปุถุชน ผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม ก็ไม่เคลื่อน ข้อที่น้ำอสุจิของพระอรหันต์ จะพึงเคลื่อนนั้น ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส.
2. มีตัวอย่างในพระไตรปิฎกไหมที่พระอรหันต์ ใช้ชีวิต หาปูปลา เลี้ยงชีพ มีครอบครัว ซึ่งที่ผมพอรู้บ้างก็มี พระโสดาบันหญิงท่านหนึ่ง (ไม่ใช่อรหันต์) หนีไปอยู่กับนายพรานแล้วเตรียมอาวุธให้สามีไปล่าสัตว์ทุกวัน
ถ้าเข้าใจว่าพระอรหันต์คือใคร ตามที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้น ก็จะสามารถพิจารณาได้ว่าความจริงเป็นอย่างไร
3.เนื่องจากเพื่อนของผม ต้องคอยดูแลอุปฐาก พระกลุ่มนี้ที่เป็นน้องชายซึ่งไปตั้งสำนักสงฆ์ข้างๆ บ้าน ก็ต้องได้คลุกคลีและฟังจากพระน้องชายเป็นแน่ ผมจะช่วยเพื่อนอย่างไร ให้เข้าใจได้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้เพื่อนหลงเข้าใจผิดจนเกิดการ ติเตียน ปรามาส พระไตรปิฎก และ คุณธรรมของพระอรหันต์ ผมจะอธิบายกับเพื่อนผมด้วยข้อความไหนดีครับ
ถ้ารู้ว่าสิ่งใดผิด แล้วยังจะทำสิ่งนั้นต่อไปหรือไม่? ไม่มีอะไรที่จะเป็นที่พึ่งได้ นอกจากการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ด้วยความเคารพ ละเอียด รอบคอบ ไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงทรงแสดงไว้ เมื่อเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็มีความหวังดี ปรารถนาดีที่จะให้ผู้อื่นได้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องด้วย การเกื้อกูล ก็คือ ด้วยการกล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนผู้ที่ได้ฟัง จะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับการสะสมของผู้นั้น ตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
ข้อความใน พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๒๐๘ แสดงความเป็นจริงของคำว่า อรหํ (พระอรหันต์) ดังนี้
“พึงทราบว่า อรหํ (พระอรหันต์) ด้วยเหตุเหล่านี้ คือ เพราะเป็นผู้ไกลจากข้าศึกคือกิเลส เพราะเป็นผู้หักกำกงแห่งสังสารจักรเสียได้ เพราะควรแก่การรับวัตถุที่ควรถวายทั้งหลาย มีปัจจัย (เครื่องอาศัยให้ชีวิตเป็นไป) เป็นต้น และเพราะไม่มีที่ลับในการทำชั่ว"
... ยินดีในกุศลของคุณ lack และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...
ขอบพระคุณคำตอบจากท่านอาจารย์มากครับ ตอนนี้ผมยังไม่มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนเลย ติดเรื่องงาน ตอนนี้เตรียมหาข้อมูลเรียบเรียงคำพูดที่นุ่มนวลที่จะเตือนเพื่อน โดยหวังว่าเพื่อนจะโน้มเอียงมา ในหลักฐานที่มีที่มาที่ไป ที่ควรเชื่อในเบื้องต้นก่อนครับ
จาก
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 438
วรรคที่ ๒
ปรูปหารกถา
[๔๔๖] สกวาที การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์มี อยู่ หรือ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. ราคะ กามราคะ ความกลุ้มรุมแห่งกามราคะ สัญโญชน์คือกามราคะ โอฆะคือกาม โยคะคือกาม กามฉันทนิวรณ์ ของพระอรหันต์มีอยู่ หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[๔๔๗] ส. ราคะ กามราคะ ความกลุ้มรุมแห่งกามราคะ สัญโญชน์คือกามราคะ โอฆะคือกาม โยคะคือกาม กามฉันทนิวรณ์ ไม่มีแก่พระอรหันต์ หรือ?
ป. ถูกแล้ว.
... ...
[๔๕๐] ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์มีอยู่หรือ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. โดยอรรถาธิบายอย่างไร?
ป. โดยอรรถาธิบายว่า เทวดาผู้นับเนื่องในหมู่มาร นำเข้าไปซึ่งการปล่อยสุกกะคืออสุจิแก่พระอรหันต์.
[๔๕๑] ส. เทวดาผู้นับเนื่องในหมู่มาร นำเข้าไปซึ่งการ ปล่อยสุกกะคืออสุจิแก่พระอรหันต์ได้ หรือ?
ป. ถูกแล้ว
...
...
[๔๖๑] ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์มีอยู่หรือ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์เป็นผล ของอะไร?
ป. เป็นผลของการกิน การดื่ม การเคี้ยง การลิ้ม
ส. การปล่อยสุกกะคืออสุจิของพระอรหันต์ เป็น ผลของการกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม หรือ?
ป. ถูกแล้ว
...
จากข้อความการสนทนาระหว่าง สกวาที และ ปรวาที ข้างต้นครับ
ผมอ่านดูแล้ว เหมือนกับว่า พระอรหันต์จะยังมีน้ำสุกกะคืออสุจิเคลื่อนด้วย เทวดาผู้นับเนื่องในหมู่มารและ เป็นผลของการกิน การดื่ม การเคี้ยง การลิ้ม
แต่ใน ข้อความนี้
" ... อานนท์ ความจริง เมื่อภิกษุเหล่านั้นนอนหลับลืมสติ ไม่รู้สึกตัว น้ำอสุจิจึงเคลื่อนเพราะความฝัน ภิกษุเหล่าใด นอนหลับ มีสติตั้งมั่น รู้สึกตัว น้ำอสุจิของภิกษุเหล่านั้นไม่เคลื่อน อนึ่ง น้ำอสุจิของภิกษุปุถุชน ผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม ก็ไม่เคลื่อน ข้อที่น้ำอสุจิของพระอรหันต์จะพึงเคลื่อนนั้น ไม่ใช่ ฐานะ ไม่ใช่โอกาส"
ขอความกรุณาท่านอาจารย์ ช่วยอธิบายให้กระจ่างยิ่งขึ้นหน่อยครับ
ขอบพระคุณอย่างสูงครับ
เรียน ความคิดเห็นที่ ๒ ครับ
ข้อความใน พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ ๒๘๙
"ดูกร อานนท์ ความจริง เมื่อภิกษุเหล่านั้นนอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว น้ำอสุจิเคลื่อน เพราะความฝัน ภิกษุเหล่าใดนอนหลับ มีสติทั้งมั่น รู้สึกตัว น้ำอสุจิของภิกษุเหล่านั้นไม่เคลื่อน อนึ่ง น้ำอสุจิของภิกษุปุถุชน ผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม ก็ไม่เคลื่อน ข้อที่น้ำอสุจิของพระอรหันต์ จะพึงเคลื่อนนั้น ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส.
ชัดเจนที่สุดแล้ว ครับ
สำหรับข้อความในกถาวัตถุ มีความละเอียดอย่างยิ่ง ต้องอาศัยข้อความในอรรถกถาประกอบด้วย ว่า ข้อความตรงนั้น มุ่งหมายถึงอะไร สำหรับที่มีความเห็นว่า พระอรหันต์มีการปล่อยสุกกะ (อสุจิ) นั้น ตรงนี้ ไม่ใช่พระอรหันต์จริงๆ แต่เป็นผู้ที่สำคัญผิดว่าเป็นพระอรหันต์ หรือ ผู้ที่บอกว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ เพื่อหลอกลวงผู้อื่นหวังลาภสักการะ หรือ ผู้ที่ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่ดำเนินในหนทางเพื่อจะถึงความเป็นพระอรหันต์ โดยสรุป ก็คือ เป็นผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ นั่นเอง ครับ
ขอบพระคุณคำตอบของอาจารย์ khampan.a อย่างสูงครับ
คำอธิบายของอาจารย์ ในคำเห็นที่ 3
"สำหรับข้อความในกถาวัตถุ มีความละเอียดอย่างยิ่ง ต้องอาศัยข้อความในอรรถกถาประกอบด้วย ว่า ข้อความตรงนั้น มุ่งหมายถึงอะไร สำหรับที่มีความเห็นว่า พระอรหันต์มีการปล่อยสุกกะ (อสุจิ) นั้น ตรงนี้ ไม่ใช่พระอรหันต์จริงๆ แต่เป็นผู้ที่สำคัญผิดว่าเป็นพระอรหันต์ หรือ ผู้ที่บอกว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ เพื่อหลอกลวงผู้อื่นหวังลาภสักการะ หรือ ผู้ที่ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่ดำเนินในหนทางเพื่อจะถึงความเป็นพระอรหันต์ โดยสรุป ก็คือ เป็นผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ นั่นเอง ครับ"
อรรกถาปรูปหารกถา
ว่าด้วยผู้อื่นนำมาให้
บัดนี้ ชื่อว่า เรื่องผู้อื่นนำมาให้. ในเรื่องนั้น ชนเหล่าใดย่อม สำคัญว่า เทวดาผู้นับเนื่องในหมู่มารน้อมนำน้ำสุกกะ คือน้ำอสุจิเข้า ไปแก่พระอรหันต์ได้ เพราะเห็นการสละน้ำสุกกะ คืออสุจิของชน ทั้งหลายผู้ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ ผู้หลอกลวง ผู้เย่อหยิ่ง ผู้ สำคัญในธรรมอันตนไม่บรรลุว่าบรรลุแล้ว หรือผู้ปฏิบัติอยู่เพื่อความ เป็นพระอรหันต์ ดุจนิกายปุพพเสลิยะ และอปรเสลิยะทั้งหลายใน ขณะนี้ สกวาทีหมายถึงชนเหล่านั้นจึงถามปรวาทีว่า การปล่อยสุกกะ คืออสุจิของพระอรหันต์มีอยู่หรือ คำตอบรับรองเป็นของปรวาที.
บัดนี้ ชื่อว่าการปล่อยน้ำสุกกะ ย่อมมีเพราะราคะเป็นสมุฏฐาน เหตุใด เพราะเหตุนั้น สกวาทีจึงเริ่มซักถามว่า ราคะของพระ อรหันต์มีอยู่หรือ เนื้อความนั้นแม้ทั้งปวงมีอรรถตื้นทั้งนั้น.
... ...
หลังอาจารย์อธิบายและผมตามไปอ่าน อรรกถาปรูปหารกถา แล้ว แจ่มแจ้งเลยครับ การศึกษาพระธรรมต้องละเอียดจริงๆ ไม่สำคัญตนว่ารู้แล้ว
ขอขอบพระคุณอย่างสูง และอนุโมทนาในกุศลจิต ทุกๆ ท่านครับ
ขอถวายความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ข้อคิดเห็น
ภิกษุ คือ ใคร ถ้าไม่ทราบว่าภิกษุคือใครต่างจากคฤหัสถ์อย่างไร การดำเนินหนทางที่ถูกต้องในพระธรรมวินัยก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะไม่ได้ศึกษาคำสอนและขาดความเข้าใจ ก็จะไม่รู้จักภิกษุในธรรมวินัยว่าเป็นอย่างไร
ผู้ถามสามารถสอบถามสนทนากับผู้กล่าวคำนี้ได้ว่า
ขัอ ๑. "ปฏิบัติ" คืออะไร? ถ้าไม่เข้าใจว่าปฏิบัติคืออะไร ก็ไม่ใช่คำสอนที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ เป็นการกระทำนอกคำสอน
ข้อ ๒. ถ้ามีผู้กล่าวว่า พระไตรปิฎก เชื่อถือไม่ได้หรือว่ามีการคลาดเคลื่อน
ก็ขอให้สอบถามว่า ข้อความส่วนไหนที่ผิดหรือคลาดเคลื่อน ให้ยกข้อความนั้นมา ไม่ใช่กล่าวลอยๆ โดยไม่มีที่อ้าง
ภิกษุอวดอ้างคุณวิเศษอันไม่มีในตน เช่น ได้ฌาน มรรคผล ต้องอาบัติปาราชิก คือ เป็นอาบัติ (โทษที่ล่วงละเมิดพระวินัยบัญญัติ) ที่ขาดจากความเป็นภิกษุแล้ว จะกลับมาบวชอีกไม่ได้แล้ว
อ้างอิงจาก ความคิดเห็น 7 โดย ธีรพันธ์
ขอถวายความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ข้อคิดเห็น
ภิกษุ คือ ใคร ถ้าไม่ทราบว่าภิกษุคือใครต่างจากคฤหัสถ์อย่างไร การดำเนินหนทางที่ถูกต้องในพระธรรมวินัยก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะไม่ได้ศึกษาคำสอนและขาดความเข้าใจ ก็จะไม่รู้จักภิกษุในธรรมวินัยว่าเป็นอย่างไร
ผู้ถามสามารถสอบถามสนทนากับผู้กล่าวคำนี้ได้ว่า
ขัอ ๑. "ปฏิบัติ" คืออะไร? ถ้าไม่เข้าใจว่าปฏิบัติคืออะไร ก็ไม่ใช่คำสอนที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ เป็นการกระทำนอกคำสอน
ข้อ ๒. ถ้ามีผู้กล่าวว่า พระไตรปิฎก เชื่อถือไม่ได้หรือว่ามีการคลาดเคลื่อน
ก็ขอให้สอบถามว่า ข้อความส่วนไหนที่ผิดหรือคลาดเคลื่อน ให้ยกข้อความนั้นมา ไม่ใช่กล่าวลอยๆ โดยไม่มีที่อ้าง
ภิกษุอวดอ้างคุณวิเศษอันไม่มีในตน เช่น ได้ฌาน มรรคผล ต้องอาบัติปาราชิก คือ เป็นอาบัติ (โทษที่ล่วงละเมิดพระวินัยบัญญัติ) ที่ขาดจากความเป็นภิกษุแล้ว จะกลับมาบวชอีกไม่ได้แล้ว
ขอบคุณในคำแนะนำครับ
กลุ่มพระที่ผมคุยด้วยบอกว่า พระไตรปิฎก เชื่อถือไม่ได้ โดยบอกว่า ผู้เขียนบันทึกเอาแต่ความประพฤติดีของพระอรหันต์ มาเขียน แต่ในชีวิตจริงไม่สามารถปฏิบัติจริงได้เพระต้องดำเนินชีวิต โดยยกคำของหลวงปู่ หลวงพ่อ ที่คนยกย่องว่าเป็นอรหันต์ และกล่าวรับรองความเป็นอรหันต์ของพระบางรูปที่ เผารังมดแดง หรือแสดงความโกรธ มาอ้างอิง
แม้ผมจะพยายามชี้แจง สังโยชน์ 10 ก็ยังไม่ฉุกคิดอีก ก็คงจะทำอะไรไม่ได้
ทุกวันนี้เวลาคิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นทีไร ผมรู้สึกโกรธทุกที
ท่านอาจารย์ได้แนะไว้ว่า
"การเกื้อกูล ก็คือ ด้วยการกล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนผู้ที่ได้ฟัง จะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับการสะสมของผู้นั้น ตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น"
ขอบคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตครับ