สิ่งแวดล้อมกับพระพุทธศาสนา

 
nattawan
วันที่  13 ก.ย. 2566
หมายเลข  46551
อ่าน  355

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ดับกิเลสด้วยพระปัญญาที่ตรัสรู้ความจริง

ตราบใดที่ยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรารู้ความจริงหรือเปล่า!!

ทุกคำเพื่อประโยชน์ที่แท้จริง คือความเข้าใจของตนเอง

ต้องไตร่ตรองว่านับถือพระพุทธศาสนาหรือเปล่า ... ถ้านับถือ ... ก็ต้องนับถือผู้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็นพระบรมศาสดา

พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณเกินกว่าคำใดๆ ไม่มีคำที่สามารถจะประมาณถึงคุณของพระองค์ได้

เราเข้าใจแต่ละคำจริงๆ หรือเปล่า เช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่มีอะไรเลยที่ไม่รู้ไม่ว่าโลกไหน มนุษยโลก พรหมโลก เทวโลก อนุตรจักรวาล เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ฟังจริงๆ จะรู้ไหมว่าพระองค์ทรงตรัสสรู้จริงๆ แม้แต่คำว่าสิ่งแวดล้อม ทุกคนพูดได้ เหมือนทุกคนรู้จัก แล้วคำของพระพุทธเจ้ากล่าวถึงสิ่งนี้หรือเปล่า!!! ถ้าไม่ศึกษาจะไม่รู้เลย ไม่เคยเว้นสิ่งที่มีจริงสักคำเดียว

เป็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งที่ทำให้สามารถจะเข้าใจแต่ละคำได้ เช่น สิ่งแวดล้อม พอพูดคำนี้คิดถึงอะไร!! สิ่งแวดล้อมที่เรารู้ เราคิดคืออะไร!! พระองค์ตรัสหรือเปล่าถึงความจริงของแต่ละหนึ่งๆ คำ ซึ่งต้องไตร่ตรอง อาจจะไม่เคยคิดมาก่อน จึงได้ไม่รู้จักพระองค์ แต่ลองคิด เริ่มคิด นี่เป็นหนทางที่จะนับถือและรู้จักพระองค์!!!

สิ่งแวดล้อม ... แวดล้อมอะไร!! ลม ฟ้า อากาศต่างๆ เป็นสี เสียง กลิ่น รสเป็นสิ่งต่างๆ แต่แวดล้อมอะไร!! ต้องละเอียด!! แวดล้อมเราทุกคนหมด แมัเดี๋ยวนี้กำลังแวดล้อมใช่ไหม!!

เชิญคลิกชม บ้านธัมมะ สิ่งแวดล้อมกับพระพุทธศาสนา

www.dhammahome.com/video/topic/6157

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nattawan
วันที่ 13 ก.ย. 2566

พระองค์ทรงแสดงความจริงที่ใครๆ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ทั้งๆ ที่กำลังมีเพราะอยู่ในโลกของความไม่รู้!! โลกในความคิดเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องสิ่งต่างๆ!! แต่ว่าถ้าไม่มีเรา ... จะมีอะไรแวดล้อมอะไรไหม!!! ภูเขา ต้นไม้แวดล้อมอะไรหรือเปล่า!! ต้องมีสิ่งที่มีชีวิตโดยเฉพาะที่กำลังเป็นเราเดี๋ยวนี้!!! ไม่ต้องไปพูดถึงสิ่งแวดล้อมที่ห่างไกลออกไป ... ไม่เคยขาดสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เกิด

ที่ว่าเป็นเรา ... ตอนเกิดมีใครรู้บ้างว่าเป็นเรา ... แต่มีสิ่งหนึ่งเกิด ... ถ้าไม่มีก็ไม่มีสิ่งที่มีชีวิต ... สิ่งนั้นต้องเป็นธาตุรู้ ใช้คำว่า " ธาตุ " แสดงชัดเจน สิ่งนั้นจะเป็นอื่นไม่ได้นอกจากเป็นสิ่งที่มีจริง ที่มีลักษณะที่ไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นเป็นธาตุแต่ละหนึ่ง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่น เสียง เปลี่ยนเสียงให้เป็นเคำ หวาน แข็งไม่ได้ เสียงจึงเป็นธาตุชนิดหนึ่ง แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ ... จะรู้เสียงไหม!!! เสียงจะปรากฏไม่ได้!!!

ธาตุ คือ สิ่งที่มีจริง ไม่มีใครเปลี่ยนได้ เพราะฉะนั้น ทั้งโลกเต็มไปด้วยธาตุ ต้องเป็นผู้ตรงต่อความจริง ถึงจะเริ่มรู้จักและเคารพในความที่พระองค์ทรงพระมหากรุณาให้คนที่ไม่รู้ เกิดมาในโลกเต็มไปด้วยญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง เหตุการณ์ต่างๆ สุขบ้างทุกข์บ้าง แล้วก็จากโลกนี้ไป โดยไม่รู้ว่าเป็นธาตุทั้งหมด!!!

แต่ละหนึ่งที่เกิดมาเป็นสิ่งที่มีจริง ปรากฎตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นแต่ความหลากหลายของธาตุจำแนกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 อย่าง ... ธาตุหนึ่งเกิดขึ้น ไม่มีรูปร่างลักษณะใดๆ เลยทั้งสิ้น ไม่หวาน ไม่แข็ง ไม่มีกลิ่นไม่มีรสใดๆ เจือปนเลย แต่เกิดขึ้นรู้ ... จริงไหม ... มิฉะนั้นจะมีการเกิดไหม!! เกิดขณะแรกในโลกนี้ ... อะไรเกิดจึงจะเป็นคน เป็นนก เป็นเทวดา เป็นงูเป็นอะไรๆ ... ต้องมีธาตุรู้เกิดขึ้น ต้นไม้เป็นงูไม่ได้ ปลาก็เป็นงูไม่ได้ ธาตุรู้ถ้าเอารูปร่างออกหมดจะเป็นงูหรือจะเป็นปลาหรือจะเป็นนก เป็นอะไรไม่ได้เลย เป็นได้อย่างเดียวคือธาตุรู้

นี่คือความตรงต่อความเป็นจริงซึ่งเป็นธาตุทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้นานแสนนานก็เป็น แต่ไม่มีใครรู้ตามความเป็นจริง เพราะแต่ละคนยังไม่รู้ว่า " เดี๋ยวนี้สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ... อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ... " เคยได้ยินแต่คิดเอง อนิจจัง คือ เกิดแล้วต้องโตแก่ เจ็บ ตาย ตอนนี้แข็งแรงดี พรุ่งนี้อนิจจัง เป็นโรคร้ายก็ได้ ตายก็ได้ ทุกขัง เกิดมาแล้วก็หมดไปทุกขณะ ไม่เหลืออะไรเลย ไม่ใช่แค่ตอนตายเท่านั้นที่ไม่เหลือ เดี๋ยวนี้สิ่งที่ปรากฏเมื่อกี้นี้ยังอยู่ไหน!! หมดแล้ว ... ไม่เหลือเลย!!! แต่ไม่รู้!!!

จากการตรัสรู้ของผู้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ที่เกิดมาแล้วหลายชาติหลายกัปป์ แต่ก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตายซึ่งมีเพราะมีจริงๆ ปรากฏจริงๆ จึงสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งนั้นได้ ... นี่เป็นที่มาของสิ่งแวดล้อม ไม่มีการเกิด ... ไม่มีสิ่งมีชีวิต ... จะมีสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร!!! อะไรแวดล้อมอะไร!!! มีตาเห็น มีหูได้ยินทั้งวันแวดล้อมทุกขณะ แล้วแต่จะคิดไปว่าอะไรแวดล้อม ... อากาศบ้าง อะไรบ้าง ... แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ ... ไม่มีอะไรจะแวดล้อม!!!

แต่ละคำ ... ทำให้ถึงแก่นความจริงที่สุด ... ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ... เป็นผู้ตรงต่อความเป็นจริงว่า จริงไหม!! อะไรเกิด ... อะไรแก่ ... อะไรเจ็บ ... อะไรตาย!!! ต้องเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งจะเป็นเราหรือเป็นใครได้หรือ!!! ในเมื่อเพียงแต่เป็นเห็น ... แน่นอนขณะนี้มีธาตุรู้ซึ่งเคยคิดว่าเป็นเรา แต่ความจริงเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นต้องรู้ มีธาตุรู้มากมายหลายประเภทซึ่งพระองค์ทรงแสดงโดยละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวง แต่ละหนึ่งธาตุ ให้เริ่มเข้าใจในความหมายของคำว่า อนัตตา สิ่งใดที่เกิดขึ้นเป็นธาตุแต่ละหนึ่งซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่น เสียงมีจริง เป็นธาตุชนิดหนึ่งเพราะไม่มีใครเปลี่ยนเสียงให้เป็นเค็ม หวาน แข็งได้ แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ ... จะรู้เสียงไหม!! เสียงจะปรากฏได้ไหม!!

ทุกสิ่งที่มีจริงเป็นธรรมะ แต่ธรรมะมีมาก ข้อสำคัญที่คนไม่รู้ แต่พระองค์ทรงตรัสรู้และทรงแสดงความจริง ละเอียดอย่างยิ่งถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง ถ้าไม่เคยฟังธรรมะ เราก็คิดว่าเราอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อม สัตว์ป่าอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ ... จะมีอะไรแวดล้อม!!! แต่ว่าสิ่งที่แวดล้อมกำลังแวดล้อมอยู่ก็ไม่รู้ ... เดี๋ยวนี้ ... นี่คือความเป็นจริง ... เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ... พระพุทธ ... พระธรรม ... พระสงฆ์ ...

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nattawan
วันที่ 13 ก.ย. 2566

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ... และไม่เคยขาดเลยทุกกาลสมัย ... สิ่งที่มีจริง ... เราไม่รู้ ใครก็ไม่รู้ ขณะนี้เกิดดับตลอดเวลาก็ไม่รู้ จนกว่าจะค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ไตร่ตรอง ค่อยๆ รู้ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ห่างไม่ไกล ... เดี๋ยวนี้เอง เพราะว่าเห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วมีได้ยิน พร้อมกันในขณะเดียวกันไม่ได้ เห็นเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นรู้เฉพาะสิ่งที่กระทบตา ได้ยินเป็นอีกธาตุหนึ่ง เป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นได้ยินเฉพาะเสียง แต่เห็นและคิดไม่ได้ ... นี่คือแต่ละธาตุ เกิดแล้วดับอีกสิ่งหนึ่งจึงเกิดได้ ... ทีละหนึ่งๆ ต่อกันสนิทจนเป็นสังสารวัฏฏ์!!!

ทุกขณะที่เกิดขึ้นและดับไปสืบเนื่องไม่มีวันจบ ... จริงไหม!!! ... ตั้งแต่เกิด ... เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ให้เราไปเชื่อ ไม่ใช่ให้เราไปตาม ไม่ใช่ว่าเราได้ยินคำอะไร ก็ทำไปเลยแต่ไม่รู้ควาหมาย สติ สมาธิ ปัญญา ... ตามเลย ... แต่ว่าพระองค์ตรัสว่าอย่างไร!!! มีธรรมะจริงไหม ... ธรรมะต่างกันโดยประเภทใหญ่ๆ 2 อย่าง อย่างหนึ่งเกิดขึ้นต้องรู้ อีกอย่างหนึ่งเกิดแล้วไม่รู้อะไรเลย แข็งเกิดเป็นแข็ง ลักษณะที่แข็งจะรู้อะไรได้!! ไปทุบ ไปตี ไปด่า ไปว่าต้นไม้ ต้นไม้ได้ยินไหม รู้ไหม เจ็บไหม เสียใจไหม ... เป็นไปไม่ได้เลย!!!

ที่เราใช้คำว่าโลก ก็ไม่พ้นไปจากสิ่งที่เกิดขึ้นต่างกันเป็น 2 อย่าง คือ สภาพรู้ เกิดขึ้นโดยไม่รู้ไม่ได้ นอนหลับรู้ไหม!! หลับไม่ใช่ตาย ... ต้องรู้จึงเป็นคนเกิด แต่ขณะเกิดและขณะหลับไม่ได้กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จึงไม่ปรากฏว่าขณะนั้นธาตุรู้ๆ อะไร!!! แต่พระองค์ทรงแสดงทุกขณะจิต แม้ขณะที่เกิด ขณะที่หลับสนิท ว่าขณะนั้นธาตุรู้ ... รู้อะไร!!! แต่พระองค์ทรงแสดงว่าขณะเกิดและขณะหลับ ไม่มีอะไรปรากฏให้รู้เลย เหมือนขณะตื่น ขณะได้ยิน เป็นต้น แต่ก็ต้องมีธาตุรู้ตราบใดที่ยังไม่สิ้นชีวิต

ที่ว่ายังมีชีวิตเพราะเหตุว่ายังมีธาตุรู้เกิดขึ้นเป็นไป จนกว่าจะหมดปัจจัยที่จะทำให้เป็นคนนี้อีกต่อไป จะเป็นคนนี้ต่อไปอีกไม่ได้ จึงมีธาตุรู้ที่เกิดขึ้นทำจุติกิจ ยุติพ้นจากสภาพความเป็นบุคคลนี้ เฉพาะขณะนั้น แล้วก็มีปัจจัยให้เกิดต่อไป เหมือนขณะแรกที่เกิด!!!

เป็นเรื่องสิ่งแวดล้อมทั้งหมด แต่ว่าเราไปคิดถึงเพียงบางสิ่ง เพราะยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้ต้องเป็นผู้ตรง (สัจจบารมี) รู้ว่าสิ่งที่ได้ฟัง ไม่ผิด เป็นจริง แต่จะรู้ได้อย่างไร!! พระองค์ไม่เพียงให้เรารู้เท่านั้นแต่ให้สามารถประจักษ์แจ้งความจริงได้ จึงสามารถที่จะถึงแต่ละคำของพระองค์ว่า ทุกอย่างที่เกิดไม่เที่ยง อนิจจัง ทุกขังการเกิดแล้วต้องดับไปจะเป็นสุขหรือ!! เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดแล้วแสนที่จะพอใจยึดมั่นก็ไม่เหลือเลย ช้าหรือเร็ว แม้ลักษณะที่เกิดก็ต้องดับ จะดำรงอยู่ต่อไปไม่ได้ ลักษณะที่ไม่เที่ยงนั่นแหละเป็นทุกข์แล้วเป็นอนัตตา ประมาทคำนี้แค่ไหน!! ได้แต่พูดว่าอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่เรา ไม่ใช่แก้วน้ำ ... โต๊ะ ... ภูเขา ... ทั้งหมดแตกย่อยลงไปเป็นแต่ละหนึ่ง สามารถแตกย่อยได้ละเอียดยิบ แม้แต่ตัวที่ถือว่าเป็นเรา เอาไปแตกให้ละเอียดยิบ ... ไหน ... เราอยู่ไหน!! แข็งอยู่ไหน ขาอยู่ไหน ตับอยู่ไหน ปอดอยู่ไหน แต่พอรวมกัน ... เรา ... เดี๋ยวนี้เอง ... ถูกไหม!!!

ต้องเป็นผู้ตรงต่อความเป็นจริง จึงสามารถที่จะเป็นคนดี เริ่มตั้งแต่ดีเพราะเข้าใจความจริงตามความเป็นจริง จึงไม่เห็นผิดว่าเป็นเรา เพราะตราบที่เป็นเรา ไม่มีอะไรที่จะรักยิ่งกว่าตัวเรา หาทุกอย่าง ไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว แต่หารู้ไม่ว่า ได้มาแล้ววันนี้ตายวันนี้ก็ได้ จริงไหม!!!

เริ่มรู้จักคุณของผู้ที่ทำให้ในสังสารวัฏฏ์ไม่เคยเข้าใจถูกเลยว่า ขณะนี้เป็นเพียงขณะหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครสามารถจะทำให้เกิดขึ้นได้ ถ้าตาบอดก็ไม่เห็น หมอวิเศษที่ไหนก็ทำไม่ได้ แต่กรรมทำให้มีจักขุปสาท โสตปสาทที่รูปซึ่งต่างจากรูปอื่นที่เกิดเพราะกรรม ที่แก้วไม่มีจักขุปสาท ไม่มีโสตปสาท ไม่มีกายปสาท กระทบก็ไม่รู้สึก ... แต่มีแข่งใช่ไหม!! ถ้าไม่กระทบ รู้ไหมว่าแข็ง!! พอกระทบแก้วแล้วรู้แข็ง!!! เพราะธาตุรู้เกิดขึ้นรู้แข็ง!!! จะเป็นเราได้อย่างไร!!! เกิดแล้วดับแล้ว!! เร็วสุดที่จะประมาณได้

ถ้าไม่มีการฟังคำของพระองค์ จะชื่อว่านับถือพระองค์หรือ!!! ต้องตรง!! ถ้าไม่รู้จักธรรมะ จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม!!! ต้องตรง!!!

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nattawan
วันที่ 13 ก.ย. 2566

บารมี บารคือ ฝั่ง บารมีถึงฝั่ง ... ไหนล่ะฝั่งที่ไม่มีกิเลส!! เริ่มรู้แล้วว่าเดี๋ยวนี้อยู่ฝั่งไหน!! ถ้าไม่รู้จะไปสู่ฝั่งที่ไม่มีกิเลสได้ไหม!! เราไม่ชอบคนมีกิเลสใช่ไหม!! ได้ยินคำว่ากิเลสก็ไม่ชอบแล้ว แต่กำลังมีกิเลส ... ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ... แต่จะค่อยๆ ตรง ค่อยๆ รู้ขึ้น ด้วยเหตุนี้ การแก้ปัญหาของโลก การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม การแก้ปัญหาทุกอย่าง ... ไม่สำเร็จเพราะไม่รู้ว่าต้นเหตุอยู่ไหน!!! ถ้ายังไม่เจอ ... แก้ไม่ได้ พยายามเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จทั้งโลก ... นานมาแล้วและตลอดไปด้วย

จึงมีที่พึ่ง ... พระรัตนตรัย ไม่ใช่พึ่งแต่ปาก แต่ไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร!! ทรงแสดงพระธรรมให้รู้ความจริงคืออะไร!! เพื่อให้หมดความไม่รู้ซึ่งเป็นเหตุให้ค่อยๆ ละคลายหมดกิเลสตามลำดับ จนถึงความไม่มีกิเลสเลย เพราะพระองค์เป็นผู้ทรงตรัสรู้และทรงดับกิเลส

จะอยู่ต่อไปโดยไม่รู้ ... ทั้งๆ ที่มีคำของพระองค์ที่ตรัสไว้เพื่อให้ไตร่ตรองและศึกษาด้วยความละเอียด ให้ค่อยๆ เข้าใจว่าคำสอนของพระองค์มีความละเอียดลึกซึ้งลุ่มลึกถึง 3 ระดับ คือระดับฟัง จากไม่เคยฟัง ต่างกันแล้วใช่ไหม!! สามารถรู้แล้วว่าไม่พ้นจากสิ่งที่มีจริง คือธาตุรู้กับธาตุไม่รู้ ต้องเป็นผู้ตรงตั้งแต่ต้น เป็นสัจจบารมี มิฉะนั้นจะไม่สามารถรู้ความจริงซึ่งเป็นสัจจะในขณะนี้ได้ และถ้าไม่มีขณะนี้จะไปรู้ขณะไหน!!!

ธรรมะละเอียดลึกซึ้งยากที่จะรู้ได้ ใครคิดเองผิด เพราะไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงแสดงแม้แต่เหตุว่า ฟังอย่างไรจึงจะเข้าใจสิ่งที่ฟัง!!! ขณะฟังได้ยินเสียงและยังต้องรู้ความหมายด้วยว่าเสียงนั้นกล่าวถึงอะไร!! ต้องตรง!! ถ้าไม่มีธาตุรู้จะมีสิ่งแวดล้อมไหม!! ต้องรู้ว่าสิ่งแวดล้อมๆ อะไร!!

ถ้าไม่มีธาตุรู้อะไรก็ปรากฏไม่ได้ จริงไหม!!! โลกจะมีไหมถ้าไม่มีเห็นและไม่ได้ยินสิ่งต่างๆ ธาตุรู้เป็นสิ่งที่ถูกปิดบัง แม้เดี๋ยวนี้ที่เห็นก็เป็นเราเพราะไม่รู้ว่า มีธาตุรู้ที่เกิดขึ้นเห็น ถ้าธาตุรู้นั้นไม่เกิดขึ้น จะมีเราเห็นไหม!! พอเห็น ก็ไม่รู้ว่าเป็นธาตุรู้แล้ว ด้วยเหตุนี้เราจึงมีสิ่งแวดล้อมในความคิด แต่ความเป็นจริง คือ มีธาตุรู้เมื่อไหร่ก็มีสิ่งแวดล้อมธาตุรู้เมื่อนั้น!!! ต้นไม้ไม่รู้อะไรจะเอาอะไรไปแวดล้อมอะไรเพราะฉะนั้น จึงรู้ความต่างกันของธรรมะ ค่อยๆ ละเอียดขึ้น

การฟังพระธรรมไม่ใช่ความคิดเก่าๆ ที่เอาความคิดเรามาใส่ในสิ่งที่เราได้ยิน ไม่ใช่ความคิดของครูอาจารย์ท่านใดทั้งสิ้น ไม่ใช่ความคิดใครๆ ทั้งโลก แต่เป็นการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครรู้ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์ ถึงฟังแล้วก็สนใจในสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่เคยคิดเลยตั้งแต่เกิดจนตายว่ามีธาตุรู้ ... ไม่มีเรา!!!

เพราะฉะนั้น ธาตุเป็นธาตุ เปลี่ยนธาตุไม่ได้ ธาตุรู้ต้องเกิด ไม่เกิดไม่มีและไม่ยั่งยืนเลย เกิดแล้วดับทันที ... ใครรู้!!! พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงการเกิดขึ้นทุกขณะที่ละเอียดอย่างยิ่ง ของสิ่งที่ขณะนี้กำลังเกิดดับสืบต่อกัน ขณะนี้ มีเห็นแวดล้อมสิ่งที่เห็น ขณะที่ได้ยินก็มีสิ่งที่แวดล้อม เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่นการลิ้มรส การกระทบสัมผัส การคิดนึก ... มีสิ่งแวดล้อมไหม!!!

เรากำลังฟังคำของพระองค์ ทิ้งความคิดของคนที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและการคิดเอง เปลี่ยนเป็นการฟังผู้ทรงตรัสรู้ เพื่อเข้าใจถูกต้องว่า สิ่งที่ได้ฟังจริบหรือเปล่า!! ไม่ใช่ให้เชื่อเลย!! ถ้าไม่ถูก ... ไม่ถูกตรงไหน!! ยิ่งเปิดเผยความจริงยิ่งรุ่งเรือง!!! พระพุทธศาสนาเท่านั้นที่เปิดเผยจิตซึ่งกำลังมีทุกขณะแต่ไม่เคยมีใครรู้เลย มีแต่สนใจสิ่งที่แวดล้อมจิต ... รูปเสียง กลิ่น รส สัมผัส วงศาคณาญาติต้นไม้ใบหญ้า อาหารการกินต่างๆ ปัญหาต่างๆ

เริ่มรู้ว่าโลกกของความรู้ไม่ใช่รู้อื่น ... รู้สิ่งที่ไม่รู้นั่นแหละ ... จากความไม่รู้ค่อยๆ รู้ขึ้น ค่อยๆ เป็นผู้ตรง ในบารมี 10 ที่จะทำให้รู้ความจริงที่เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว พระองค์ตรัสว่า ... ธรรมะละเอียดลึกซึ้งยากที่จะรู้ได้ ... ลืมคำนี้ไม่ได้เลย!!!

ธรรมะต้องกระจ่าง ถ้าไม่กระจ่างจะไม่มีวันเข้าใจและประจักษ์แจ้งได้!!! รู้ไหมว่าแวดล้อมด้วยอะไรขณะฟัง!!! แวดล้อมแล้วด้วยสิ่งที่กระทบตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ ... นี่คือความลึกซึ้งของพระธรรม ... ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ทุกคำของพระองค์กล่าวถึงความจริงที่ไม่รู้

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nattawan
วันที่ 13 ก.ย. 2566

ทั้งชีวิตมีแต่ธรรมะที่เกิดขึ้นเป็นไปแวดล้อมด้วยธรรมะแต่ไม่รู้เลยว่าเป็นธรรมะทั้งหมด ถ้าไม่มีจิตที่เป็นใหญ่เป็นประธานในความเป็นสภาพรู้ สิ่งที่ปรากฏก็จะไม่มีสิ่งแวดล้อมเลย เพราะจะไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ให้ได้ยิน ให้ได้กลิ่น ให้ลิ้มรส ให้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และจะไม่มีความคิดนึกต่างๆ ถึงเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏและไม่มีเจตสิก ... สภาพธรรมะที่เกิดร่วมกับจิต เป็นสิ่งที่แวดล้อมจิต แต่ว่าอยู่ใกล้ชิดมาก ทั้งหมดเป็นพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ที่จะก้าวไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องว่าทุกอย่างเป็นธรรมะที่ไม่ใช่เรา

กราบนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 13 ก.ย. 2566

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ