ศึกษาธรรมทีละคำ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เริ่มกราบไหว้บูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เข้าใจความจริงแม้เพียงเริ่มต้นไม่กี่คำ แค่ " สัพเพ สังขารา อนิจจา " สังขาร หมายความว่าสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยปรุงแต่ง
แต่ละคำต้องชัดเจน ธรรมะมีจริงแต่ละหนึ่งๆ ๆ แข็งเป็นแข็ง ... เป็นโต๊ะหรือเปล่า!! เป็นเก้าอี้หรือเปล่า!! สีสันวรรณะปรากฏเป็นอะไรบ้าง!! ปรากฏเมื่อลืมตา คือคำเรียกสิ่งที่ปรากฏจะใช้คำว่า สีก็ได้ จะใช้คำว่าวรรณะหรือวรรณโณก็ได้ แต่ขอให้ใช้กับสิ่งที่ปรากฏกับเห็นๆ ต้องเห็นสิ่งนั้น ไม่เห็นสิ่งอื่น ไม่เห็นแข็ง ไม่เห็นเสียง ไม่เห็นร้อน แต่เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ... ไม่เรียกก็ได้ เปลี่ยนเป็นภาษาอื่นก็ได้ เช่น จีน อังกฤษ อะไรก็ได้ แต่เปลี่ยนสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้
นี่เป็นสัจจธรรมจนกว่าจะตรัสรู้ความจริงเมื่อไหร่ จึงเป็นอริยสัจจธรรม ทำให้บุคคลผู้รู้หมดความสงสัยและความเห็นผิดที่ยึดถือสิ่งหนึ่งสิ่งใดว่าเป็นอัตตา เช่น คน มี 2 อย่าง คือ อัตตานุทิฏฐิ : เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และสักกายทิฏฐิ : เป็นของเรา เป็นตัวเราแต่ไม่ใช่ข้างนอก เช่น คนโน้น คนนี้ คนนั้น แต่คือตัวนี้หรือตัวเรา
ฟังธรรมะจึงเห็นความละเอียดยิ่งของทุกคำ ถ้าใครกล่าวธรรมะแต่ไม่กล่าวให้เข้าใจความหมายและความจริงของธรรมะ ... จะเข้าใจความจริงไหม!!
เป็นผู้ที่ค่อยๆ รู้ความหมายของคำที่พูด เช่น " เข้าใจธรรมะเพื่อรู้ความจริง " แต่ยังไม่รู้ว่าอะไรคือธรรมะ!! ยังไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร!! แต่ก็ได้ยินแล้วและความลึกซึ้งมากกว่านั้นมาก ... พูดคำที่ไม่รู้จักตลอดชีวิต ... จริงไหม!! ... จนกว่าจะรู้จัก!! เป็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่ว่าชาติใด ศาสนาใดประเทศไหน อยู่ที่ไหน ... ธรรมะก็เป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง
เชิญคลิกชม บ้านธัมมะ ศึกษาธรรมทีละคำ www.dhammahome.com/video/topic/5821
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
ทิฏฐิ: ความเห็น " ตายแล้วไม่เกิดอีก " เป็นความเห็นหรือเปล่า!! " พระอรหันต์นิพพานแล้วยังเกิดอีก " นี่ก็เป็นความเห็น ... ความเห็นหลากหลายมาก จึงเป็นทิฏฐิต่างๆ ถ้ามีพระพุทธรูป ... กราบไหว้แล้วขอ ... ถูกหรือผิด!! ตรงไหม!! จริงใจไหม!! ความเข้าใจตรงไหม!! ความเห็นตรงไหม!! ขอแล้วจะได้หรือ ... ถ้าได้ไม่ใช่เพราะ ... ใช่ไหม!! นี่คือความเป็นผู้ตรง!!!
แต่ว่าความไม่ตรงและไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด เป็นความเห็นผิด ทิฏฐิมี 2 อย่าง คือ สัมมาทิฏฐิ: เห็นชอบตามความเป็นจริง และมิจฉาทิฏฐิ: ความเห็นผิด
ใครไม่มีความเห็นผิดบ้าง!! เพิ่งจะเริ่มได้ยินแล้วจะว่าไม่มีความยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างไร!! ถูกต้องไหม!! การยึดถือสิ่งหนึ่งสิ่งใด คือ เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ... จนกว่าจะเห็นว่าไม่มีเรา เป็นธรรมะ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ
คำว่า " ธรรมะ " ต้องมั่นคงเปลี่ยนไม่ได้เลย ธรรมะเป็นธรรมะ เป็นอื่นไม่ได้!!! แต่ละธรรมะต้องเป็นเฉพาะสิ่งนั้นด้วย ... ไม่เป็นอย่างอื่น!!! เช่น ความติดข้อง ความพอใจ ความสนุกสนานจะเปลี่ยนเป็นความทุกข์โทมนัสได้ไหม!! ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขณะนั้นก็เป็นแต่ละหนึ่ง
จึงมีธรรมะแต่ละหนึ่งจริงๆ แต่ว่าขณะใดที่ไม่รู้ความจริง ขณะนั้นเพราะเป็นความเห็นผิด!!! ตั้งแต่เล็กน้อยที่สุด คือ ความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นพื้นฐาน เป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จนกว่าจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น จึงสามารถที่จะดับความเห็นผิด จนไม่มีความเห็นผิดอีกเลย ... แต่ยังเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ... แต่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร
ค่อยๆ ตรงตามความเป็นจริงขึ้น มิฉะนั้น จะละความเห็นผิดไม่ได้เลย แข็งมีจริง เปลี่ยนแข็งได้ไหม!! ให้เป็นเค็ม ... ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ธรรมะทั้งหลายเป็นปรมัตถธรรม : ปรม คือ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ... เป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น อัตถ คือ ลักษณะ ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง ปรมัตถธรรม หมายถึง สิ่งที่มีจริง มีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
เห็นเป็นธรรมะ เป็นปรมัตถธรรม เริ่มเข้าใจความหมายเดียวกัน แต่มีความละเอียดมากมาย กว่าจะรู้ความจริงได้ จึงต้องใช้คำที่แสดงความจริงของสิ่งนั้นเพิ่มขึ้นๆ ๆ จึงค่อยๆ จะคลายความไม่รู้ในสิ่งนั้นได้
ธรรมะอะไรไม่ใช่ปรมัตถธรรมบ้าง!! ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจ ... ต้องคิดก่อน ... ถ้าไม่คิดก็ไม่สามารถเข้าใจได้ ... ธรรมะอะไรไม่ใช่ปรมัตถธรรม ... ไม่มีเพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงเป็นธรรมะแน่นอน เพิ่มความเข้าใจขึ้นว่า เป็นใหญ่จริงๆ เพราะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนให้เป็นอื่นได้ ... ลึกซึ้งไหม!! ลึกซึ้งจึงเป็นอภิธรรมะ เพราะฉะนั้นธรรมะนั่นเองเป็นปรมัตถธรรมและเป็นอภิธรรมะ ต้องเข้าใจธรรมะว่าเป็นธรรมะ และความจริงของธรรมะแต่ละหนึ่ง ไม่ใช่เราแน่นอน และไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วย
ต่อไปนี้เป็นผู้ที่มีความเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เพียงจำ ไม่ใช่เพียงฟังแล้วบอกว่าฟังอภิธรรม แต่เป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ ว่า ธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน และใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนธรรมะให้เป็นอื่นได้ ธรรมะลึกซึ้งมาก ... ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงธรรมะได้และความจริงลึกซึ้งมากกำลังเกิดดับอย่างรวดเร็วเกินจะประมาณได้ พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงนี้ จึงทรงแสดงความจริงนี้ 45 พรรษา จนมีผู้ที่มีความเข้าใจจนกระทั่งประจักษ์แจ้งเป็นพระอริยบุคคลตามลำดับ จนถึงหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์
ยินดีในกุศลจิตค่ะ
เมื่อมีความเข้าใจจริงๆ ที่ถูกต้อง ทำให้เป็นผู้ตรง!! แข็งเป็นปรมัตถธรรมและเป็นอภิธรรมะหรือเปล่า!! แข็งกำลังเกิดดับ ขณะที่กำลังกระทบก็ไม่ปรากฏให้รู้ จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ รู้ทีละหนึ่งๆ ละเอียดขึ้นๆ จนปรากฏเพียงหนึ่ง เมื่อปรากฏเพียงหนึ่งจึงประจักษ์แจ้งการเกิดและดับได้!!! เห็นเกิดและดับ ... ได้ยินเกิดและดับ ... เพียงหนึ่งขณะ นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม!!! ก็ต้องฟังคำของพระองค์และต้องรู้ว่าพระองค์ตรัสคำนี้ ... อย่างนี้ ... ให้เข้าใจถูกต้อง
ใครก็ตามที่ไม่ได้พูดตามคำที่พระองค์ตรัสแล้ว เขารู้จักพระองค์หรือเปล่า!!!!!
ดีที่เป็นผู้ตรงที่รู้ว่าฟังคำที่ไม่รู้จักแล้วไม่รู้เรื่อง แต่สมควรที่จะรู้ เช่น ฟังพระสวดพระอภิธรรมในงานศพแล้วไม่เข้าใจภาษาบาลี เป็นต้น แต่บางคนก็ฟังไปเถอะ กี่งานศพแล้วก็ไม่ได้สนใจที่จะเข้าใจเลย ต่างคนก็ต่างอัธยาศัย แต่ถ้าได้ยินว่ามีการแสดงธรรมะ ศึกษาธรรมะ เผยแพร่ธรรมะให้คนอื่นได้รู้ด้วย จะสนใจที่จะฟังไหม!! จะศึกษาไหมว่าคำนั้นถูกหรือผิด!! ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ฟังแล้วต้องไตร่ตรอง เพราะฉะนั้น มีทางไหนที่กล่าวถึงความจริงให้เข้าใจและศึกษาคำนั้น ย่อมเข้าใจว่าอภิธรรมะคืออะไร!!
อภิธรรมะคือธรรมะที่ลึกซึ้ง พระองค์ตรัสรู้แล้วตรัวว่า ธรรมะลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น คนอื่นจะบอกว่าธรรมะไม่ลึกซึ้ง ง่ายๆ รู้จักพระองค์หรือเปล่า!!! พูดคำของพระองค์หรือเปล่า!!! เพราะฉะนั้น คนที่ศึกษาเข้าใจแล้วก็สามารถจะรู้ได้ว่า ไม่จริงอย่างที่เขาคิด เป็นไปไม่ได้เลย ไม่เข้าใจแม้จะฟังแล้วจะไปรู้อะไร!!! ... ที่จะหมดกิเลสได้!!! ต้องเป็นผู้ตรงเพื่อหวังดีและเป็นมิตร จึงไม่ทำร้ายคนอื่นให้หลงผิด แม้ใครจะชังจะไม่ชอบอย่างไรก็ไม่สำคัญเลย ตราบใดที่เราหวังดีที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจสิ่งที่ถูกต้อง
จะกลัวอะไร ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย เพราะคำจริงเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ไม่มีอะไรประเสริฐเท่าความจริง ไม่เท็จ ไม่ลวง ไม่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิด ... หลงผิดในสังสารวัฏฏ์ต่อไปอีกยาวนาน เป็นหลุมลึกมากที่จะขึ้นมาจากความเห็นผิด
ถ้าเห็นประโยชน์จริงๆ ตลอดชีวิตเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แต่ยังเห็นคุณว่ามีโอกาสมีเวลาเมื่อไหร่ก็ศึกษาธรรมะ เพื่อจะเข้าใจให้ถูกต้อง
บุคคลที่ควรรู้จักที่สุด คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องอาศัยการฟังพระธรรมเพื่อรู้ความจริง!!!
ยินดีในกุศลจิตค่ะ
ชีวิตแต่ละคนหลากหลายตามการสะสม จะเห็นประโยชน์ของพระธรรมต้องเป็นผู้ที่ได้สะสมเหตุที่ดีมาแล้ว แต่ละคนไม่สามารถทราบได้ว่าได้สะสมอะไรมาบ้าง
การที่จะเป็นผู้ที่สนใจศึกษาธรรมะไม่ใช่เรื่องบังเอิญและไม่ใช่เรื่องของการบังคับขู่เข็ญ แต่เป็นเรื่องของการสะสมมาของแต่ละบุคคล
ถ้าสะสมมาที่จะได้ยินได้ฟังพระธรรม ใครๆ ก็ห้ามไม่ได้ แม้ว่าจะถูกผู้อื่นรั้งไว้ว่าอย่าไปฟังธรรมะเลย อย่าไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ... มีคนพูดอย่างนี้ แต่ถ้าผู้นั้นมีความจริงใจ มีความมั่นคง ที่จะได้ฟังคำจริง ผู้นั้นไปฟังธรรมะเลย เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อฟังพระธรรม มีบุคคลเช่นนี้จริงๆ
หรือบางคนมีชีวิตที่ลำบาก เดือดร้อนมาก ทุกข์มาก แต่มีเหตุปัจจัยให้ผู้นั้นได้ฟังพระธรรมและศึกษาพระธรรม ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล
บางคนมีชีวิตสะดวกสบายมาก เป็นลูกเศรษฐี เป็นผู้มีความสุข แต่ก็มีเหตุมีปัจจัยให้ได้ฟัง ได้ศึกษาและได้ประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง
นี่คือชีวิตที่หลากหลาย แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่ง แต่เพราะเหตุใดจึงมาฟังพระธรรม และเห็นประโยชน์ ... ก็ตามการสะสม ... ใช่ไหม!!!
ธรรมะเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ฟังชาตินี้ไม่พอ จึงต้องฟังต้องศึกษาต่อไป อบรมเป็นระยะเวลายาวนาน
ถ้าผู้ใดมีความเข้าใจพระธรรม ประโยชน์ย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้นั้นแน่นอน เพราะความเข้าใจเป็นปัญญา เป็นธรรมะฝ่ายดี เมื่อปัญญาเกิดขึ้นก็คอยอุปการะเกื้อกูลให้ผู้นั้นมีความประพฤติดีงาม
ถ้ามีปัญญาจะไม่ทำชั่ว ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ทำร้ายผู้อื่น นี่คือชีวิตของผู้มีปัญญา!!!
การเข้าใจธรรมะเป็นประโยชน์เกื้อกูลสำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์จริงๆ สิ่งที่เป็นประโยชน์จริงๆ ที่จะให้ผู้อื่น คือ ให้ความเข้าใจธรรมะ ให้เข้าใจความจริง!!! ถ้าเห็นประโยชน์จะไม่ละเลยการศึกษาธรรมะแน่นอน เพื่อสะสมความเข้าใจความจริง!!!
ยินดีในกุศลจิตค่ะ
เริ่มเข้าใจคำว่า "ธรรมะ" มากขึ้น ว่าธรรมะ หมายถึง สิ่งที่มีจริง เป็นปรมัตถธรรม เพราะเป็นความจริงที่ถึงที่สุดของความจริง และเป็นอภิธรรมะด้วย เพราะเป็นความจริงที่ละเอียดยิ่ง และเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ เพราะว่าเป็นพระปัญญาตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงความจริงนั้นได้
ปรมัตถธรรมและอภิธรรมะก็คือ ธรรมะขณะนี้ ไม่ได้อยู่ในตัวหนังสือหรือในตำรา แต่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มีในขณะนี้ ... เป็นชีวิตประจำวันทั้งหมดนั่นเอง!!!
กราบนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตค่ะ
เริ่มเข้าใจคำว่า "ธรรมะ" มากขึ้น ว่าธรรมะ หมายถึง สิ่งที่มีจริง เป็นปรมัตถธรรม เพราะเป็นความจริงที่ถึงที่สุดของความจริง และเป็นอภิธรรมะด้วย เพราะเป็นความจริงที่ละเอียดยิ่ง และเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ เพราะว่าเป็นพระปัญญาตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงความจริงนั้นได้
ปรมัตถธรรมและอภิธรรม ก็คือ ธรรมะขณะนี้ ไม่ได้อยู่ในตัวหนังสือหรือในตำรา แต่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มีในขณะนี้ ... เป็นชีวิตประจำวันทั้งหมดนั่นเอง
ยินดีในกุศลจิตครับ