วิทยาศาสตร์กับพระพุทธศาสนา

 
nattawan
วันที่  23 ก.ย. 2566
หมายเลข  46588
อ่าน  328

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การฟังธรรมตามกาลนั้น ... การเกิดเป็นมนุษย์ไม่มีอะไรประเสริฐกว่า การได้ฟังพระสัทธรรม ซึ่งเป็นพระธรรมที่พระบรมศาสดาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงตลอด 45 พรรษา

สังคมโลกที่เป็นอย่างทุกวันนี้ เกิดจากจิตที่เศร้าหมอง มีกิเลสด้วยความโลภ โกรธ หลง ไม่ว่าระดับประเทศ สังคมหรือชุมชนต่างๆ

ถ้าเราเป็นชาวพุทธแต่ไม่เคยทราบว่า ความจริงที่พระองค์ทรงตรัสรู้นั้นคืออะไร!! พระธรรมคำสอนนั้นสอนให้รู้ว่าสภาวธรรมนั้นไม่มีตัวตน เป็นอนัตตา

ถ้าฟังพระธรรมด้วยความจริงใจและปรารถนาที่จะรู้ความจริงต่างๆ ต้องฟังและพิจารณาไตร่ตรองจากสิ่งที่ท่านอาจารย์สุจินต์ฯ ได้ถ่ายทอดให้รู้ให้เข้าใจ ฟังคำต่างๆ ฟังทีละคำ คิดทีละคำ ถ้าฟังผ่านๆ จะไม่ได้รับประโยชน์อะไร ฟังอย่างผิวเผินก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไร ... ต้องเงี่ยหูฟัง ... เงี่ยโสตลงสดับ

การที่จะรู้ว่าธรรมะคืออะไร รู้ก่อนหรือเปล่า หรือเพราะรู้ว่าไม่รู้จึงฟัง!! เป็นเรื่องที่จะสะสมกลายเป็นผู้ที่จะไตร่ตรองความลึกซึ้งของพระธรรม เพราะจริงๆ แล้วเราคิดเรื่องอื่นๆ มากมาย วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าไปไกลแต่มีสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ... และความจริงคืออะไร!! หรือจะกล่าวว่าและวิทยาศาสตร์กล่าวว่าอย่างไร!! เพื่อที่จะได้รู้ความต่างระหว่างวิทยาศาสตร์และพระพุทธศาสนา

เชิญคลิกชม ...

รายการบ้านธัมมะ 15 กรกฎาคม 2566 เรื่อง วิทยาศาสตร์กับพระพุทธศาสนา

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nattawan
วันที่ 23 ก.ย. 2566

ผู้ที่มีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ก็ก้าวไกลไปไม่หยุด แต่พระพุทธศาสนาให้เข้าใจความจริง ซึ่งมีอยู่ทุกขณะ มีมากมายหลายศาสตร์ วิทยาศาสตร์ก็เป็นศาสตร์หนึ่ง แต่ว่าศาสตร์ทั้งหมดจะเทียบได้กับพระพุทธศาสนาหรือ!!!

คำสอนไม่ใช่การที่เราจะต้องไปค้นคว้าด้วยตนเอง แต่มีผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งถ้าเราไม่ได้ฟังจะไม่สามารถเข้าใจ แม้แต่คำว่า " พุทธศาสนา " หรือ " พระสัมมาสัมพุทธเจ้า " จะต่างจากศาสตร์อื่นๆ ไม่ใช่ศาสตร์อื่นไม่ดี ... ไม่ถูก ... เป็นความรู้ของแต่ละศาสตร์ ซึ่งมีประโยชน์ในแต่ละทาง แต่ชีวิตที่เกิดมา และมีสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่าเราไม่รู้ ไม่ว่าจะเรียนวิชาใดมาก่อนทั้งหมดทั้งสิ้น แต่เดี๋ยวนี้ก็มีสิ่งที่มีจริงๆ แต่เราไม่สามารถรู้ได้ด้วยตนเอง ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ไตร่ตรองฟังดู คนที่มีความรู้มากๆ อาจคิดว่า เราก็มีความรู้มาก แล้วเดี๋ยวนี้เราไม่รู้อะไร!!! แค่เดี๋ยวนี้ไม่รู้อะไร ... ตอบได้ไหม!!!

ถ้าไม่ได้ฟังคำจากการตรัสรู้ของพระองค์ ... ไม่รู้เลยว่า เดี๋ยวนี้ไม่รู้อะไร แต่สำคัญผิดว่ารู้เยอะ ... ถ้าไม่มีสิ่งที่มีจริง (ธรรมะ) ลุ่มลึกที่เราไม่รู้ จะมีศาสตร์พวกนี้ไหม!! อัญมณีจับก็แข็ง!!! ทสงตาก็สี ... ถ้าไม่มีสีที่หลากหลายแตกต่างกัน จะเป็นแซฟไฟร์ เป็นโน่นเป็นนี่เป็นอะไรต่างๆ ได้อย่างไร!! เพราะอาศัยสิ่งที่มีจริง ต่างๆ กัน และมีความคิดความจำ ... วิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เกิดจากการคิดการจำของนักวิทยาศาสตร์ ถ้าไม่มีความจำความคิด และไม่มีสิ่งที่ให้คิดให้จำ ไม่มีสี ไม่มีเสียง ... อะไรต่างๆ ก็ไม่มีทาง เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเราไม่รู้ ศาสตร์อื่นไม่สามารถให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ (ธรรมะแต่ละหนึ่งลุ่มลึกที่สุด) ที่ศาสตรใดๆ ก็ไม่รู้ แต่จะรู้ปลายทางที่เป็นสมมติเป็นรูปร่างรูปทรง ... แข็งระดับนี้เป็นเพชร เพราะฉะนั้น ธาตุแข็งที่หลากหลายต่างกัน วันนี้เข้าใจแค่คำเดียว " สิ่งที่มีจริงๆ คืออะไร!!! "

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nattawan
วันที่ 23 ก.ย. 2566

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงทุกอย่างที่มีจริง ซึ่งเราไม่เคยรู้ และเราไม่สามารถที่จะตอบได้ด้วยตัวเอง ทุกศาสตร์อาจจะแสดงความเข้าใจของตนเองในศาสตร์นั้นๆ วิทยาศาสตร์ก็เข้าใจในเชิงของวิทยาศาสตร์ แต่ว่าสิ่งที่มีจริงๆ ต้องพิจารณาทีละคำว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ทุกอย่างไม่เว้นเลย

ทุกคนส่วนใหญ่ก็หวังว่าจะได้รับคำแนะนำ เพื่อที่จะไปทำ แต่ตามความเป็นจริงรู้ไหมว่า พระองค์ทรงแสดงความจริงให้แต่ละคนเข้าใจได้ถูกต้องว่า ไม่รู้อะไรเลย เช่น เดี๋ยวนี้รู้อะไร!! เดี๋ยวนี้มีจริงๆ กำลังมีด้วย ... รู้อะไร!! เพราะฉะนั้น ต้นตอของสิ่งที่มีจริง ไม่มีใครรู้จนกว่าจะได้ฟังคำของพระองค์ และเข้าใจทุกคำที่พระองค์ทรงแสดงความจริงถึงที่สุดของแต่ละสิ่งที่มี พิจารณาไตร่ตรองว่า เดี๋ยวนี้มีจริงๆ แล้วรู้อะไร!! ในสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้จริงๆ ของแต่ละหนึ่งด้วย แต่ละหนึ่งไม่ปนกัน เช่น กลิ่นจะเป็นแข็งไม่ได้สามารถพิสูจน์ได้ เข้าใจได้ เดี๋ยวนี้ขณะที่กลิ่นปรากฏ ... ไม่มีแข็งแน่นอนมีแต่กลิ่นเท่านั้นที่ปรากฏในหนึ่งขณะ

ชีวิตประกอบด้วยแต่ละหนึ่งขณะ ขาดสักขณะเดียวก็ไม่ได้ แต่อะไรคือความจริงที่มีแต่ละหนึ่งขณะ!!! คนที่ไม่สนใจเลย เกิดมาก็อยู่ไป สุขบ้างทุกข์บ้างก เรียนโน่นเรียนนี่บ้างแสวงหาเงินทองทรัพย์สินต่างๆ บ้าง แล้วก็จากโลกนี้ไปโดยไม่รู้สักขณะเดียวว่า ทำไมถึงมีเกิด เกิดแล้วทำไมต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ละหนึ่งขณะไม่ได้ยั่งยืนเลย เสียงเมื่อกี้นี้หมดไป แล้วไม่เกิดขึ้นอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ เกิดแล้วหมดไป เพราะฉะนั้น เกิดมาในโลกนี้มีพฤติกรรมแค่เห็น สุขทุกข์ ... แล้วก็จากโลกนี้ไป ... ไปไหนก็ไม่รู้ บางคนก็สงสัยว่าตายแล้วเกิดไหม!!! แต่ถ้าเข้าใจในเหตุและผล สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่จะเกิดมีขึ้นได้ ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้น ... เกิดไม่ได้!! ความสุขต้องมีปัจจัยให้เกิดขึ้น ความทุกข์ก็ต้องมีปัจจัยให้เกิดทุกข์ เวลาที่สุขเกิดจะเปลี่ยนให้เป็นทุกข์ก็ไม่ได้ ให้ไม่หมดไปก็ไม่ได้ ... ไม่ยั่งยืนเลย!!

อยู่ในโลกนี้ชั่วคราว แสนสั้น ไม่มีใครรู้ว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ ... เดี๋ยวนี้ก็ได้ ได้รู้จักความจริงของสิ่งที่กำลังมีหรือเปล่า!! พอจะรู้ไหมว่าแต่ละคนไม่รู้แค่ไหน!! เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ มีเห็น มีจำ มีคิด ... ใครรู้อะไรบ้าง!!! หมดแล้ว ... ใช่ไหม!! แล้วมีอีกหมดอีกๆ ควรรู้ไหม!!!

มีศาสตร์ไหนที่จะสามารถเปลี่ยนความจริงนี้ได้บ้าง!!! ศาสนาเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์เลยก็ยังสงสัยว่าทรงตรัสรู้อะไร!!! รู้กับตรัสรู้ต่างกันตรงไหน!!

ขณะนี้ถ้ามีคนบอกว่าเห็นมีจริงๆ ... แต่เห็นคืออะไร ... ใครรู้!!! พระองค์ทรงแสดงความจริงของเห็นโดยนัยประการต่างๆ ที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงของทุกขณะ ไม่ว่านักวิทยาศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ หรืออะไรก็ตาม ทุกคนมีชีวิตอยู่ชั่วหนึ่งขณะ เกิดขึ้นหมดไป แล้วก็มีขณะต่อไปเกิดดับสืบต่อ ตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้จนถึงขณะที่สิ้นชีวิต เกิดมาเพื่ออะไร!!

ลองคิด ... เพื่อเห็น ... อยากเห็นหรือ!! ... ไม่อยากก็ต้องเห็น ... บังคับบัญชาไม่ได้ ... มีเราจริงๆ หรือเปล่า ... คิดว่ามีเราตั้งแต่เกิดจนตาย แต่พระองค์ตรัสความจริงของสิ่งที่ลึกซึ้งและเป็นความจริงที่สามารถพิจารณาจนประจักษ์แจ้งตามที่ทรงแสดง

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nattawan
วันที่ 23 ก.ย. 2566

ถ้าไม่มีจิต ไม่มีสภาพรู้ ไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้ ก็ไม่มีความคิด ความจำ ความใส่ใจ ความสนใจในสิ่งที่ปรากฏที่มีอาการความเป็นไปที่แตกต่างหลากหลาย จึงทำให้มีศาสตร์วิชาการสาขาต่างๆ มากมายก็เพราะว่าจิตเกิดขึ้นคิดนั่นเอง

แม้แต่พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้น จิตจึงเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด ถ้าไม่ฟังพระธรรมและเข้าใจถูก ก็จะยึดถือจิตว่าเป็นเรานั่นเอง

กราบนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nattawan
วันที่ 23 ก.ย. 2566

... ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา ...

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 23 ก.ย. 2566

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ