ต้องไม่ลืมว่าธรรมอยู่ไหน_สนทนาธรรม ไทย-ฮินดี วันเสาร์ที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๖

 
เมตตา
วันที่  24 ก.ย. 2566
หมายเลข  46594
อ่าน  261

- ธรรมอยู่ไหน? (อยู่ปัจจุบันนี้) เดี๋ยวนี้ธรรมอะไร? (เห็น) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงที่มีทุกวัน แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า อยู่ไหน เมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้มีชวนะไหม? (มี) เดี๋ยวนี้ชวนะเป็นอะไร? (อาช่าบอกว่าชวนะเป็นส่วนหนึ่งในวิถีจิตที่ขบวนการเห็น แล้วก็มีชวนะหลังจากเห็น) แล้วเดี๋ยวนี้ชวนะอยู่ไหน? (อาช่า: ชวนะเกิดหลังจากโวฏฐัพพนะ) เดี๋ยวนี้ชวนะอยู่ไหน? (แกตอบว่าอยู่ที่เห็นแล้วมีชวนะ) พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งไม่มีใครรู้มาก่อน (คุณสุคิน: คำถามแรกที่ท่านอาจารย์ถาม ธรรมอยู่ไหน แกตอบว่า อยู่ที่เห็น นี่คือธรรม ผมก็บอกว่าลักษณะเดี๋ยวกัน ชวนะก็เป็นธรรม ถามในลักษณะเดียวกันว่า อยู่ไหน แล้วก็เข้าใจอย่างไร ผมเลยถามว่าตอนนี้มีไหมชวนะ เขาตอบว่ามีครับ) คุณสุคินก็ช่วยเขานะ (ไม่ครับ ผมไม่แน่ใจว่าเขาเข้าใจคำถามหรือเปล่า) ไม่ได้ค่ะ หมายความว่า ต้องให้เขาคิดแม้แต่คำถาม เพราะฉะนั้น ต้องฟังคำถามด้วยตัวเองทั้งหมดที่ถามเพื่อเริ่มเป็นผู้ที่คิดละเอียด (ค่ะ) เพราะฉะนั้น ถามใหม่นะ ธรรมอยู่ไหน? (อยู่ปัจจุบัน เช่นเห็น เห็นเป็นธรรม) อยู่เดี๋ยวนี้ ชวนะอยู่ไหน? (อยู่เดี๋ยวนี้ครับ) อยู่เดี๋ยวนี้ทั้งหมด เพราะฉะนั้น เราเรียนให้เข้าใจว่า ธรรมไม่ได้อยู่ไกล ไม่ต้องหา มีแล้ว อยู่เดี๋ยวนี้ แต่ไม่รู้.

- พูดเรื่องชวนะ ทุกคนอยากรู้จักชวนะแต่ไม่รู้ว่าเพราะเดี๋ยวนี้มีชวนะ แต่ไม่รู้ กว่าจะรู้ไม่ใช่พูดเรื่องชวนะทุกวันแต่ไม่รู้ว่าชวนะเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ เพราะลึกซึ้ง.

- คนที่ไม่รู้ จะไม่รู้จักพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เพื่อให้คนอื่นรู้ว่า ธรรมอยู่ไหน และเดี๋ยวนี้เป็นอะไร.

- สัมปฏิจฉันนะอยู่ไหน? (อยู่ตรงนี้) สันตีรณะอยู่ไหน? (ก็อยู่ตรงนี้) ภวังค์อยู่ไหน? (อยู่ตรงนี้) รู้ไหม? (ไม่รู้) ถ้าไม่ฟังเลยจะรู้ไหม? (ไม่รู้) เพราะฉะนั้น ฟังแล้วรู้ว่ามีสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ ชวนะ เพื่ออะไร? (เพื่อจะเข้าใจว่า ทุกอย่างที่มีอยู่ตรงนี้เป็นธรรม และไม่มีเรา)

- เพียงเข้าใจเท่านั้นหรือ? (ก็คือ จะเข้าใจจึงจะมารู้จริงได้) สามารถรู้จริง ประจักษ์จริงได้ไหม? (ถ้าความเข้าใจเจริญขึ้นก็รู้ได้) สามารถจะประจักษ์ได้ไหม? (ได้ แต่ต้องใช้เวลานาน) นี่คือคำตอบ ต้องฟังคำถามเพื่อรู้ว่าถามอะไร แล้วก็ตอบให้ตรงคำถาม.

- อะไรสามารถประจักษ์แจ้งความจริงได้? (ความเข้าใจ) ความเข้าใจถูก ภาษาบาลีใช้คำว่า ปัญญา เท่านั้น เดี๋ยวนี้สามารถรู้ประจักษ์แจ้งความจริงได้ไหม? (เวลานี้ไม่สามารถรู้ได้ครับ) ต้องมั่นคงนะ เป็นสัจจญาณ เป็นสัจจบารมีและอธิษฐานบารมี.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เมตตา
วันที่ 24 ก.ย. 2566

- เดี๋ยวนี้มีปัญญาบารมีไหม? (มี) ถูกต้อง ทุกครั้งที่เข้าใจเป็นบารมีทีละน้อยทีละหนึ่งจนกว่าจะรู้จริงๆ ถ้ารู้จริงไม่ใช่เพียงรู้ว่า เดี๋ยวนี้มีชวนะ เดี๋ยวนี้มีสัมปฏิจฉันนะ เดี๋ยวนี้มีจักขุวิญญาณ นั่นเป็นเรื่องของสิ่งที่กำลังมี เพราะฉะนั้น ปัญญาขั้นแรก คือต้องฟังดีๆ เห็นความลึกซึ้ง และค่อยๆ เข้าใจทุกคำ เดี๋ยวนี้กำลังรู้ว่า ธรรมอยู่ไหน เห็นอยู่ไหน กำลังเห็น ความเข้าใจเห็นยังไม่พอ ทั้งๆ ที่กำลังเห็น ทำให้เริ่มรู้ความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรมทั้งหมด.

- คุณอาช่าอยากจะรู้อะไร? (อยากจะรู้ความจริง) อยากจะเข้าใจจนรู้ความจริงของเห็นขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้.

- เพราะฉะนั้น ความเห็นถูก คือเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมี เริ่มรู้ว่าสิ่งนั้นๆ เป็นอะไร ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ทุกขณะเป็นปกติในชีวิตประจำวัน สามารถจะรู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ไหม?

- อดทนไหมที่จะไม่รู้ว่าวันไหนกว่าปัญญาจะค่อยๆ รู้ทีละน้อย? (อดทน) เหมือนคนในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกรไหม? (ครับ) คนสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกรเข้าใจธรรมมากกว่าเรา หรือน้อยกว่าเรา หรือเท่าๆ เรา? (คิดว่ามากกว่าเรา) คิดไม่ได้ แต่รู้ว่าธรรมลึกซึ้ง เขาต้องเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งที่สามารถประจักษ์แจ้งความจริงเดี๋ยวนี้ที่กำลังเกิดดับ (เขาถึงตอบอย่างนั้นเข้าใจว่า คนสมัยนั้นเข้าใจความลึกซึ้งของธรรม) ๔ อสงไขยแสนกัปป์จากนี้ไปแล้วก็มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้แล้วได้ฟังอีก เราไม่รู้ใครเคยฟังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกรหรือเปล่า ไม่มีใครรู้ได้ก็จริงแต่สามารถรู้ตัวเองจากการที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้เข้าใจแค่ไหน.

- เพราะฉะนั้น เข้าใจความจริงไม่ใช่เราเป็นอะไร? (เป็นธรรมหนึ่ง เป็นเจตสิก) เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องจนกว่าจะมีความมั่นคงจริงๆ ไม่มีเรา ไม่มีโต๊ะ ไม่มีเก้าอี้ ไม่มีห้องนี้ ไม่มีอะไร.

- เพราะฉะนั้น อีกนานไหมกว่าจะค่อยๆ เข้าใจ เดี๋ยวนี้พูดถึงตา เห็น แต่ยังไม่รู้จักยังไม่ปรากฏ (ใช้เวลานานมาก) จริงไหม? (จริง) สัจจบารมีมั่นคงขึ้น เป็นวิริยะด้วยเพราะว่าฟังครั้งเดียวไม่พอ ฟังอีกไม่พอๆ ต้องมีวิริยะทุกครั้งที่จะฟังเพื่อเข้าใจขึ้น ทำไมพูดอย่างนี้บ่อยๆ ? (เพื่อเข้าใจความจริงทุกอย่าง) .

- เพราะฉะนั้น คนที่จะรู้จักพระพุทธเจ้าจะเข้าใจธรรมต้องเริ่มต้นด้วยการเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งของสิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แต่คนอื่นยังไม่รู้ความจริงเลยจึงต้องฟังทุกคำ.

- คนที่ไม่เข้าใจความลึกซึ้งอย่างยิ่งของคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเกี่ยวกับสิ่งที่มีจริงที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่มีบารมีเลย.

- ถ้าไม่ใช่บารมีจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ไหม?

- เพราะฉะนั้น ที่จะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไปต้องเป็นผู้ที่เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้.

- เพราะฉะนั้น ที่เราพูดถึงทั้งหมดเพื่อให้ไม่ลืมแล้วเพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีซึ่งยังไม่รู้ถ้าปัญญาไม่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย.

- เดี๋ยวนี้ก่อนเห็นมีจิตไหม? (มี) จิตอะไรก่อนเห็น? (อาวัชชนะ) รู้อาวัชชนะไหม เดี๋ยวนี้? (ไม่รู้) เดี๋ยวนี้รู้เห็นไหม? (ไม่รู้) ก็มีเห็นนะ เพราะฉะนั้น ก็เห็นปรากฏจึงรู้ ความลึกซึ้ง คือ เห็นมี ทุกคนกำลังเห็นแต่ไม่รู้ความจริงของเห็น.

- ไม่รู้ว่า ถ้าอาวัชชนจิตไม่เกิดก่อน เห็นเกิดไม่ได้ ค่อยๆ เข้าใจความเป็นอนัตตา ไม่มีใครทำอะไร ธรรมเกิดแล้วๆ ตามเหตุปัจจัยไม่ต้องทำให้เกิดเลยไม่มีใครทำได้.

- อาวัชชนจิตเป็นชาติอะไร? (กิริยา) ทำไมเป็นกิริยา? (เพราะว่าไม่ได้เป็นกุศล ไม่ได้เป็นอกุศล ไม่ได้เป็นวิบาก) แล้วกิริยาคืออะไร เห็นไหม คำถามเดิมแล้วจะตอบอย่างไร? (ตอบว่าเป็นจิตที่เป็นผลไม่ได้) แสดงถึงความเข้าใจ และก่อนอาวัชชนจิตเป็นจิตอะไร? (เป็นภวังค์) ภวังค์เป็นชาติอะไร? (วิบาก) วิบากคืออะไร? (ผลของกรรมในอดีต) .

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 24 ก.ย. 2566

- คุณอาช่ามีวิบากไหม? (มี) วิบากแรกที่สุดคืออะไร? (ปฏิสนธิ) ปฏิสนธิของคุณอาช่าเป็นสันตีรณอกุศลวิบากเปล่า? (ไม่ใช่) เป็นสันตีรณกุศลวิบากหรือเปล่า? (ไม่เป็น) แล้วเป็นอะไร? (เป็นผลของกุศลกรรม) ระดับไหนขั้นไหน? (เป็นกุศลที่ดีระดับหนึ่ง) เป็นกุศลที่ดีระดับหนึ่งที่เป็นไปกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส.

- รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นกามอารมณ์ที่น่าพอใจ ถ้าติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสเป็นอกุศล การติดข้องเป็นเหตุให้เกิดทุจริตต่างๆ ถ้าเป็นผลของกรรมที่เกิดจากทุจริตไปเกิดที่ไหน? (ทุคติภูมิ) เพราะฉะนั้น แมวสุนัขเกิด ปฏิสนธิจิตเป็นอะไร? (อกุศลสันตีรณะ) .

- แมว สุนัขมีชวนะไหม? (มี) เมื่อไหร่? (เมื่อไร่เกิดวิถีจิตตอนนั้นมีชวนะ) แค่ว่า มี พอไหม? (ครับ) เวลาอกุศลจิตเกิดเป็นคุณอาช่า หรือเป็นแมว หรือเป็นสุนัข? (เป็นธรรมอย่างหนึ่ง) เหมือนกันหมดใช่ไหม? (ครับ) จนกว่าจะเข้าใจว่า ไม่มีแมว ไม่มีนก แต่ทั้งหมดเป็นจิตเป็นธรรม.

- ก่อนเห็นเป็นอะไร? (อาวัชชนะ) ต่างกับภวังค์อย่างไร? (ต่างกันตรงที่ภวังค์เป็นชาติวิบากส่วนอาวัชชนะเป็นชาติกิริยา) ทำกิจอะไร ต่างกันไหม? (ต่างกัน) ต่างกันอย่างไร? (ต่างกันตรงที่ภวังค์ทำกิจดำรงชีวิต ส่วนอาวัชชนจิตทำกิจอาวัชชนะ) .

- เพราะฉะนั้น จิตที่ทำกิจภวังค์ทำกิจอะไรอีก? (จิตหนึ่งทำกิจหนึ่ง แต่ว่าจิตนี้นอกจากทำภวังค์แล้วทำกิจปฏิสนธิ และจุติด้วย)

- จิตที่ไม่ได้ทำปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ ต่างกับจิตอื่นอย่างไร? (จิตที่ไม่ใช่ปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ เป็นวิถีจิต) ต้องจำไว้ไม่ลืมเลยสำหรับคนที่เริ่มฟังธรรม จิตที่ไม่ได้ทำปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ เป็นวิถีจิตทั้งหมด.

- ภวังคจิตต่างกับวิถีจิตอย่างไร? (ต่างกันตรงที่ว่า ภวังค์ไม่ผ่านทวารใด ส่วนวิถีจิตผ่านทวารใน ๖ ทวาร) คงจะหมายความว่า ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต ไม่ใช่วิถีจิตเพราะไม่รู้อารมณ์ของโลกนี้หรืออารมณ์อื่นนอกจากอารมณ์ของปฏิสนธิเท่านั้น.

- ได้ยินคำว่าภวังคจิตหมายความถึงจิตที่ไม่ใช่วิถีจิต ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่คิด ไม่ทำอะไรเลย.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 24 ก.ย. 2566

- คุณอาช่าตายวันนี้ได้ไหม? (ได้) ตายตอนเย็นนี้ได้ไหม? (ได้) ตายเดี๋ยวนี้ได้ไหม? (ได้) อะไรตาย? (จุติจิต) จุติจิตเท่านั้นเกิดขึ้นทำให้ไม่มีการเกิดต่อไปของกรรมที่ทำให้เป็นคนนี้.

- กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ แล้วตาย จิตอะไรตาย? (จุติจิต) เพราะขณะตายไม่รู้อารมณ์ของโลกนี้เลย ถ้ารู้อารมณ์ของโลกนี้ยังไม่ตายแน่ ไม่มีใครเลยนอกจากธรรม เป็นธรรมที่เกิดดับตลอดไม่มีที่สิ้นสุดตราบใดที่ยังไม่เข้าใจว่า ไม่ใช่เรา.

- กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เป็นอะไร? (เป็นจิต) จิตอะไร? (วิบาก) จิตเห็นเป็นวิบาก ดับแล้วเป็นอะไร? (เห็นดับแล้วเป็นสัมปฏิจฉันนะเกิดต่อ) .

- จักขุวิญญาณดับแล้วจิตอะไรเกิดต่อจุติจิตเกิดก่อน? (สัมปฏิจฉันนะ) สัมปฏิจฉันนะดับ จุติจิตเกิดได้ไหม? (ตามที่เข้าใจเป็นไปไม่ได้) ตามความเป็นจริงหรือตามที่คุณอาช่าเข้าใจเอง? (เข้าใจครับว่าเป็นไปไม่ได้) เพราะเป็นธรรม ไม่มีใครบังคับบัญชา.

- ก่อนตายก็มีกรรมที่ทำให้เห็น ได้ยิน เป็นต้น กำลังจะตายก่อนตายก็ต้องมีขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียดว่า จิตอะไรเกิดก่อน ใครก็รู้ไม่ได้ เลย ขณะตายรู้ไหม? (ใครก็รู้ไม่ได้) ที่ทำกิจตายเป็นวิถีจิตหรือเปล่า? (ไม่) เพราะฉะนั้น กรรมที่ทำให้เห็นต้องทำให้เห็นหมด จะตายก่อนสัมปฏิจฉันนะไม่ได้.

- ถ้าศึกษาธรรมไม่คิดถึงธรรมเลย ไม่ไตร่ตรองเลย จะค่อยๆ เข้าใจว่า ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลยนอกจากธรรมได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทำให้เราได้เข้าใจละเอียดขึ้นๆ และเริ่มรู้ว่าไม่ใช่เรา.

- สัมปฏิจฉันนะเกิดกี่ขณะ? (๑ ขณะ) ดับไหม? (ดับ) มีอะไรที่เกิดแล้วไม่ดับไหม? (ไม่มี) เพราะฉะนั้น จิตเกิดดับเร็วมากมีอายุ ๓ ขณะ เรียกว่าอนุขณะของจิต ขณะเกิดไม่ใช่ขณะที่ยังไม่ดับ ขณะที่ยังไม่ดับไม่ใช่ขณะที่ดับ.

- จิตเหมือนกันหมดไหม? (จิตทุกดวงเกิดแล้วดับทันที) มีจิตพิเศษที่ไม่เป็นอย่างนี้ไหม? (ไม่มี) ต้องมั่นคง แล้วเจตสิกละ? (เจตสิกก็แบบนี้) จิตและเจตสิกมีอายุเท่ากัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปทุกขณะ.

บูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 24 ก.ย. 2566

- สัมปฏิจฉันนะดับอล้วอะไรเกิดต่อ? (สันตีรณะ) ใครทำให้สันตีรณะเกิด? (ไม่มีใครทำ) สัมปฏิจฉันนะทำให้สันตีรณะเกิดหรือเปล่า? (ทำให้เกิด) เพราะเป็นปัจจัย จิตทุกขณะเว้นจุติจิตของพระอรหันต์ดับต้องมีจิตที่เกิดต่อโดยจิตนั้นเป็นปัจจัย.

- สัมปฏิจฉันนะดับทำให้ชวนจิตเกิดได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะมีปัจจัยที่เป็นอนันตรปัจจัย และสมนันตรปัจจัย.

- สันตีรณจิตมีอายุเท่าไหร่? (มีอายุเท่ากับจิตอื่นๆ) .

- สันตีรณะมีอะไรเป็นปัจจัยให้เกิด? (๑. อนันตรปัจจัย ๒. สมนันตรปัจจัย ๓. ผลของกรรม) .

- เพราะฉะนั้น เมื่อสันตีรณะดับแล้ว กรรมทำให้อะไรเกิดต่อได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น กรรมทำให้วิบากจิตเกิดเท่าไหร่เฉพาะวิถีจิต? (๓) อะไรบ้าง? (ปัญจวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ และสันตีรณะที่รู้อารมณ์เดียวกัน) เท่านี้เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้น จิตที่เป็นผลของกรรมจิตไหนจะรู้อารมณ์มากที่สุด? (ปัญจวิญญาณ) แค่เห็น แค่กระทบตาแล้วเห็นเท่านั้น สัมปฏิจฉันนะแค่รับเท่านั้น อารมณ์ดับแล้วยัง? (ยังครับ) เพราะฉะนั้น เป็นปัจจัยให้วิบากจิตเกิดได้ใช่ไหม ยังไม่พอ แค่เห็นแล้วรับไว้ยังไม่พอต้องมีอีก ๑ ขณะที่รู้อารมณ์ที่รับไว้แล้ว.

- อกุศลวิบากจิตทั้งหมดมีเท่าไหร่? (มี ๗) อกุศลวิบากจิตมี ๗ เพราะฉะนั้น เมื่อกรรมทำแล้วให้ผลเป็นอกุศลวิบากจิต ๗ ใช่ไหม? (ใช่) เพราะฉะนั้น อกุศลวิบากจิตไหนทำปฏิสนธิกิจ? (สันตีรณะ) จักขุวิญญาณทำไม่ได้ สัมปฏิจฉันนะทำไม่ได้ เหลือสันตีรณวิบากจิตเท่านั้นจึงทำปฏิสนธิกิจได้.

- เพราะฉะนั้น สันตีรณะเท่าที่เราพูดถึงแล้ววันนี้ยังไม่นับอื่นทำกี่กิจ? (๑. ทำกิจปฏิสนธิ ๒. ทำกิจสันตีรณะ) พูดใหม่ค่ะ (วันนี้เราพูดถึงสันตีรณะก็คือทำสันตีรณ ๒. ก็คือทำกิจปฏิสนธิครับ) เราไม่ได้พูดถึงภวังค์ และจุติหรือ? (เราพูดถึงภวังค์ และจุติแต่ว่าไม่ใช่ในจากมุมของสันตีรณะทำกิจแต่พูดถึงโดยรวม) พูดถึงจุติกิจ? (ใช่ เราพูดถึงแต่ว่าตอนนั้นไม่ได้พูดถึงสันตีรณะทำกิจปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ) เพราะฉะนั้น สันตีรณะทำกิจสันตีรณะ แล้วก็ทำจุติกิจ แต่จุติจิตเป็นจิตประเภทเดียวกับปฏิสนธิและภวังค์.

- ยังสงสัยไหม? (ไม่ครับ) จิตที่ทำกิจภวังค์ทำปฏิสนธิกิจและจุติกิจ และสันตีรณะทำปฏิสนธิกิจ ภวังคกิจ จุติกิจ และสันตีรณกิจ ยังมีอีกกิจหนึ่งที่สันตีรณจิตทำแต่เรายังไม่พูดถึง.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 24 ก.ย. 2566

- เมื่อสันตีรณจิตดับแล้วจิตอะไรเกิดต่อ? (โวฏฐัพพนะ) กรรมทำให้โวฏฐัพพนจิตเกิดหรือเปล่า? (ไม่) เพราะอะไร? (เพราะกรรมให้ผลครบแล้ว ๓ ดวง ดวงสุดท้ายเป็นปัจจัยให้โวฏฐัพพนจิตเกิด แต่โวฏฐัพพนะเองไม่ใช่ผลของกรรม) เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า เห็นขณะนี้ กรรมทำให้วิบากจิตเกิดขึ้นรู้เป็นวิถีจิตเท่าไหร่เท่านั้น แค่นั้นเอง หมดหน้าที่ของกรรม.

- เพราะฉะนั้น โวฏฐัพพนจิตเกิดไม่ใช่ผลของกรรมเพราะอะไร? (๑. เหตุผลหนึ่ง คือรูปยังไม่ได้ดับ ๒. อนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย หลังจากสันตีรณะก็ต้องเป็นโวฏฐัพพนะและจิตที่จะรู้รูปต่อไปถ้าไม่มีโวฏฐัพพนะจิตต่อไปก็เกิดไม่ได้) เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นกุศลกรรมจะทำให้กุศลวิบากจิตเกิดรู้อารมณ์ที่ดีเท่านั้น ถ้าเป็นอกุศลกรรมเป็นปัจจัยให้อกุศลวิบากเกิดรู้อารมณ์ที่ไม่ดีเท่านั้น แต่โวฏฐัพพนะรู้อารมณ์ที่ดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ จึงไม่ใช่ผลของกรรมหนึ่งกรรมใด แสดงให้เห็นว่ากรรมเท่านั้นที่ทำให้เกิดจิตที่เป็นวิบาก จิตที่ไม่ใช่วิบากก็เกิดเพราะปัจจัยอื่นที่ไม่ได้เกิดจากกรรม (ท่านอาจารย์ทวนอีกครั้ง) แสดงว่ากรรมเป็นปัจจัยให้วิบากจิตเกิดเท่านั้น แต่จิตที่ไม่ใช่ผลของกรรมเกิดเพราะปัจจัยอื่น และต้องไม่ลืมว่า เรากำลังกล่าวถึงวิถีจิตทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งไม่ใช่เรา และก็ไม่รู้ด้วยว่าอะไรทำให้เกิดจิตแต่ละขณะ แต่หมายความว่า แค่เห็น แล้วก็มีสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะเท่านั้น พอหรือ? เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้มีจิตอื่นเกิดต่อไปเรื่อยๆ เราจึงจะกล่าวถึงจิตที่เกิดต่อจากโวฏฐัพพนจิต.

- ทั้งวันมีจิตมากมายเกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่ที่เรากำลังกล่าวถึงเรากล่าวถึงเฉพาะจิตประเภทที่ไม่มีเหตุใดๆ เกิดร่วมด้วย ไม่มีโลภะเกิดร่วมด้วย ไม่มีโทสะเกิดร่วมด้วย ไม่มีโมหะเกิดร่วมด้วย จิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยเป็นอเหตุกจิต.

- คุณอาช่าลองนับดูซิว่า จิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุทั้งหมดที่เรียนแล้วฟังแล้วศึกษาแล้วทั้งหมดมีเท่าไหร่ เดี๋ยวนี้กำลังมีหมดเลย? ( ... ) ถ้าเรารวมเป็นประเภทเราก็สามารถจะกล่าวได้ว่าจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุไม่ใช่กุศลถูกต้องไหม? (ครับ) และไม่ใช่อกุศล เป็นจิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยทั้งหมดมี ๑๘ โดยมากเราจำจำนวนกับชื่อ แต่เรากำลังเข้าใจว่าทั้งหมดกำลังมีเดี๋ยวนี้.

- จิตทั้งหมดต้องเป็นชาติหนึ่งชาติใดใน ๔ ชาติ เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล หรือเป็นวิบาก หรือเป็นกิริยา.

- อเหตุกะทั้งหมดไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล จึงมีแต่วิบากและกิริยา ที่จะต้องเข้าใจเมื่อไม่ใช่กุศล อกุศล ก็ต้องเป็นวิบากหรือกิริยา.

- วิบากที่ประกอบด้วยเหตุก็มีไม่ประกอบด้วยเหตุก็มี กิริยาที่ประกอบด้วยเหตุก็มีไม่ประกอบด้วยเหตุก็มี แต่เราจะพูดเฉพาะจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นวิบากที่ไม่ประกอบด้วยเหตุและกิริยาที่ไม่ประกอบด้วยเหตุที่เรากำลังพูดถึงเป็นอเหตุกจิต.

- เพราะฉะนั้น ที่เราพูดถึงแล้วมีอเหตุกวิบากที่เป็นอกุศล ๗ และมีอเหตุกกุศลวิบาก ๘ ซึ่งไม่ประกอบด้วยเหตุ เพราะฉะนั้น เราพูดถึงแล้วคืออเหตุกวิบากจิต ๑๕ อกุศลวิบาก ๗ กุศลวิบาก ๘ และเราพูดถึงกิริยาจิตแล้ว ๒ คือปัญจทวาราวัชชนะกับมโนทวาราวัชชนะ ที่เรากล่าวถึงแล้วทั้งหมด ๑๗ ดวง.

- เพราะฉะนั้น สำหรับวันนี้ที่ควรเข้าใจ ก็คือว่าอเหตุกะทั้งหมดที่เรากล่าวถึงแล้ว ที่เป็นวิบาก ๑๕ และกิริยา ๒ ทั้งหมด ๑๗ ทำชวนกิจไม่ได้ ซึ่งต่อไปเราจะได้พูดถึงชวนกิจ ทำได้เฉพาะจิตของตนเท่านั้นว่าแล้วแต่จะทำได้กี่กิจ.

- คราวหน้าเราจะได้พูดถึงสิ่งที่คุณอาช่าอยากจะรู้ตั้งแต่ต้นนะ คือชวนจิตหรือชวนกิจ แต่ต้องเข้าใจพวกนี้ก่อนให้มั่นคง จะเข้าใจธรรมขึ้นเมื่อคิด ไตร่ตรอง ละเอียดขึ้นๆ เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะถึงคราวต่อไปนะก็คงจะคิด ไม่ลืม แล้วก็พิจารณาที่ได้ฟังแล้วละเอียดขึ้นๆ .

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ก.ย. 2566

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ