ดีเพราะปัญญาปรุงแต่ง
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เราจะนำคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มาปรับใช้ให้เกิดการบริการที่ดีขึ้น และใช้ในการดำเนินชีวิตปัจจุบันตามปกติได้อย่างไรบ้าง
เชิญคลิกชม หาคำตอบได้ค่ะ ...
รายการบ้านธัมมะ 29 ตุลาคม 2565 เรื่อง ดีเพราะปัญญาปรุงแต่ง
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
ระหว่างการคิดที่จะเอาธรรมะมาใช้เพื่อประโยชน์ของเรา หรือของหน่วยงาน กับการที่ศึกษาธรรมะเพื่อเข้าใจ ... อะไรถูก!!!
ศึกษาธรรมะเพื่ออะไร!!! ... เพื่อความเข้าใจในสิ่งที่มีจริง ... ที่กำลังมีขณะนี้ ... คุณค่ายิ่งของจิตที่ประกอบด้วยความเข้าใจถูกซึ่ง ... ไม่ใช่เรา
จิตขณะนี้ไม่ใช่เรา ... จิตเป็นจิต ... ไม่ใช่เรา และมีสิ่งที่เกิดกับจิต ถ้าสิ่งนั้นไม่ดี เช่น ความไม่พอใจ ... เป็นผู้บริการแห่งราชนาวีสโมสร มีผู้มาใช้บริการมากมาย ... เราก็คิดเป็นเรื่องราว ... แต่ต้องมีจิต ... ถ้าประกอบด้วยสิ่งที่เกิดกับจิตที่ไม่ดี คือ อกุศลเจตสิก เช่นความหงุดหงิด ... ทำไมถึงไม่อย่างนั้นอย่างนี้ ... ลูกค้าก็เอาแต่ใจ ถ้าถอดพวกนี้ออกหมด ... มีจิตที่มีจริง และมีสิ่งที่เกิดกับจิต ... แล้วแต่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ถ้าประกอบด้วยความเบื่อหน่าย ... ความเครียด ... ก็เป็นสิ่งที่ไม่ดี
อะไรที่จะปรุงแต่งให้มีสิ่งดีๆ เกิดกับจิต ... มีการสละ ... ช่วยเหลือ ... มีเมตตา ... ซึ่งไม่ใช่เรา เมตตาเป็นธรรมะ ... ความเป็นมิตร ... เป็นเพื่อน ... เกิดกับจิตเมื่อไหร่ ... จิตนั้นก็ประกอบไปด้วยความเป็นมิตร ... เป็นเพื่อน
ลูกค้าก็ต้องการความสบาย ในฐานะเป็นบุคลากรของหน่วยงาน ก็มีความปรารถนาดีต่อหน่วยงาน ขณะนั้นก็มีจิตที่ดี ... สภาพที่ช่วยเหลือ ... เป็นมิตร ... เป็นเพื่อน ... สร้างขึ้นมาไม่ได้
ระหว่างการคิดที่จะเอาธรรมะมาใช้ในงาน ... ในหน่วยงานของเราอย่างไร ... นั่นคือความเป็นเราที่คิดจะเอาธรรมะมาใช้ แต่ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ... ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ถ้าทำได้ไม่ยาก ... เอาธรรมะหมวดนี้มาใช้ บุคลากรในราชนาวีสโมสรกลายเป็นคนที่บริการเยี่ยมด้วยจิตดีทั้งหมด ... ทำไม่ได้.. แต่ค่อยๆ ขัดเกลา ปรุงแต่งขึ้นจากความเข้าใจในพระธรรมคำสอน
ค่อยๆ เข้าใจว่า เป็นธรรมะเกิดขึ้นทำกิจ ... ไม่ใช่เรา คำสอนของพระองค์จะเป็นปัจจัยให้มีการปรุงแต่งของความเข้าใจ เมื่อความเข้าใจถูกเกิดขึ้น ... จะเห็นโทษของกิเลสอกุศล ... เป็นปัจจัยให้สิ่งดีๆ เกิดกับจิต เจตสิกดีๆ ทั้งหลายเกิดกับจิต ซึ่งมาจากความเข้าใจถูก ความเข้าใจธรรมะ ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องของการปรุงแต่งของธรรมะ ... ไม่ใช่เรา
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
อยากให้คนอื่นเป็นอย่างที่เราต้องการใช่ไหม!!! ... ลืมว่าทำได้ไหม!!! หรือว่าขณะที่ไม่พอใจ ... ไม่อยากให้เขาเป็นอย่างนั้นเลย แล้วเราที่กำลังไม่ดี ... เคยคิดไหม ... แก้อะไรได้ ... แก้เขาหรือแก้เราได้!!! ... หมดทางถ้าจะไปแก้คนอื่น ... เป็นไปไม่ได้ ... เพราะแม้แต่ตัวเองยังแก้ไม่ได้!!! ... แล้วจะไปแก้คนอื่น ... เป็นไปได้หรือ!!!
ความจริงก็เป็นความจริงว่า จริงๆ แล้วพระองค์ตรัสว่า " อยู่คนเดียวในโลก " ... จริงไหม!!! และคิดว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย ... แต่ถ้าไม่มีเห็น ... จะมีคนอื่นไหม!!! ไม่ได้ยินคำพูด ... จะไม่มีคนอื่นพูด!!!
ต้องเข้าใจตามความเป็นจริง อยู่คนเดียวในโลก ... ความจริงก็ไม่มีคนนั้นที่อยู่ที่นี่ว่าเป็นเราก็ไม่มี!!! ... มีแต่ธรรมะ
เริ่มเข้าใจว่า ธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้ ถ้าไม่มีเหตุให้โกรธ ... ก็ไม่โกรธ ... ถ้าไม่มีเหตุให้ติดข้อง ... ก็ไม่ติดข้องในสิ่งนั้น
ดูเหมือนว่าเราท่องเที่ยวไปไกลมาก ... ไปโลกนั้น ... ไปประเทศนี้ ... เห็นภูเขา ... เห็นหิมะ ... หารู้ไม่ ... สังสารวัฏฏ์ : ท่องเที่ยว ... ไม่ได้อยู่กับที่เลย ... วัฏฏะ : วนไปเวียนมาแค่หกทาง ... ไม่ว่าชาติไหน ที่ไหน เมื่อไหร่ ... มีเห็นแน่ๆ ...
เห็นก็ยังเกิดเป็นเห็นเหมือนเดิม และมีสิ่งที่ถูกเห็น ... มีเห็น มีได้ยิน มีคิด ... ทั้งหมดไม่ว่าโลกไหน มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เทวดาหรือพรหม ไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ... ให้รู้ว่าเราไม่ได้ไปไหนเลย วนเวียนกับความคิด จากสิ่งที่ปรากฏ แล้วๆ เล่าๆ ไม่รู้จบ!!!
สมควรไหมที่จะมีสิ่งนั้นเกิดและดับ ... เกิดและดับ กว่าจะรู้ความจริงว่า นี่แหละคือความจริงถึงที่สุด สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ สิ่งนั้นเกิดแน่ๆ แล้วที่ไม่รู้ คือ ดับทันที เห็นไม่นานเลย ... ดับแล้ว มิฉะนั้นจะไม่มีการคิดถึงสิ่งหลากหลาย ที่ปรากฏสีสัน วรรณะ รูปร่างต่างๆ เพราะฉะนั้น เป็นโลดที่ไม่ใช่โลกที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน ... ด้วยความไม่รู้
ให้ทราบว่า การประจักษ์แจ้งความจริง การตรัสรู้ธรรมมะถึงที่สุด ... อัศจรรย์ที่สุดยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ต่างๆ ... คำสอนของพระองค์เป็นปาฏิหาริย์ยิ่งกว่านั้น จากปาฏิหาริย์ที่ทรงสามารถรู้ความจริง ซึ่งถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ ... ทุกชาติ แสนนานมาแล้ว ถ้าไม่เริ่มฟังธรรม ... จะไม่รู้ความจริงเลย
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ธรรมะทั้งปวงเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น การคิดนำธรรมะมาใช้ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
เมื่อเราค่อยๆ ศึกษาธรรมะเพิ่มขึ้น เราจะเข้าใจว่า ความประพฤติปฏิบัติที่ดีงามทั้งทางกาย วาจาและใจ ไม่ว่าจะเป็นขณะทำงานหรือในชีวิตประจำวัน เกิดจากความเข้าใจ คือ ปัญญาปรุงแต่งให้เกิดธรรมะฝ่ายดี ... ไม่ใช่เราที่นำธรรมะมาใช้
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
เพราะฉะนั้น ถ้าคิดว่า แล้วเราจะทำอย่างไร แล้วเราจะไปแก้ไขเขาอย่างไร ปัญหาต่างๆ ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ไม่เสียเวลา เพราะเหตุว่า แก้อะไรได้ คือ แก้ที่ตัวเองเท่านั้น จากความไม่รู้ เป็นค่อยๆ รู้ความจริง ถ้ารู้ความจริง จะดีขึ้นไหม?
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
เชิญติดต่อขอหนังสือ และสติกเกอร์ติดหลังรถ ตามที่อยู่ในรูปข้างบนค่ะ
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ