ปัญญา ... คุณค่าของชีวิต

 
nattawan
วันที่  2 ต.ค. 2566
หมายเลข  46635
อ่าน  368

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

นักปราชญ์กล่าวว่า ชีวิตของผู้ที่เป็นอยู่ด้วยปัญญาประเสริฐสุด เพราะในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้น ปัญญาประเสริฐสุด เป็นสภาพธรรมะที่สามารถเข้าใจทุกอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง สามารถละความไม่ดีทั้งหมดได้เปรียบเสมือนแสงสว่างที่กำจัดความมืด คือ ความไม่รู้ที่สะสมมายาวนาน ให้ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเปิดเผย ปรากฏถูกต้องตรงตามความเป็นจริง

เชิญคลิกชม ...

รายการบ้านธัมมะ 22 ตุลาคม 2565 เรื่อง ปัญญา : คุณค่าของชีวิต

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nattawan
วันที่ 2 ต.ค. 2566

ไม่เข้าใจก็รู้ว่าไม่เข้าใจ ... นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องการ เข้าใจต้องเข้าใจทีละหนึ่งอย่าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ความจริง ... (ทุกคำไม่ผ่านหูเฉยๆ) ... ถึงที่สุดโดยประการทั้งปวงหมายความว่า แต่ละหนึ่งละเอียดยิ่ง

เดี๋ยวนี้มีจริงๆ หรือเปล่า!! เริ่มคิดทีละเล็กทีละน้อยว่า พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงทุกอย่างถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง ... เดี๋ยวนี้มีเห็น ... จริงไหม!! ใครทำให้เห็นเกิดขึ้น!! ถ้าไม่มีปัจจัย ไม่มีตา ไม่มีสิ่งที่กระทบตาได้ ... จะมีเห็นไหม!!

เริ่มรู้ว่าไม่มีอะไรทั้งหมดที่เกิดขึ้น ต้องมีเหตุสมควรให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น บังคับบัญชาไม่ได้ ... ตามปกติถ้าไม่ได้ยินคำนี้ ... เราเห็นใช่ไหม!!! นั่นคือไม่รู้ว่าเห็นเกิดเองตามเหตุปัจจัยแล้วดับ ถ้ารู้ว่าเห็นเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ใครก็ทำให้เห็นเกิดไม่ได้ เห็นเกิดแล้วดับ เพราะขณะต่อไปไม่เห็น

ให้รู้ว่าตลอดชีวิตมีสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย แล้วดับไม่เหลือเลย ขณะแรกที่เกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีขณะนี้เพราะฉะนั้น ขณะนั้นก็มีสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย แล้วดับด้วยไม่เหลือเลยด้วย ทุกอย่างที่มีขณะนี้ ... ชั่วขณะที่เกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย

ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงอย่างนี้ ก็จะรู้ว่าแต่ละหนึ่งไม่ซ้ำกัน ... เป็นแต่ละหนึ่ง เช่น เห็นไม่ใช่คิด ... ต้องหนึ่งขณะที่เห็น หนึ่งขณะที่คิด เริ่มค่อยๆ เข้าใจความหมายว่า สิ่งที่มีนั่นแหละเป็นสิ่งที่มีจริง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้คำภาษามคธี ซึ่งเป็นคำภาษาบาลีที่ดำรงพระศาสนา เพราะฉะนั้น เห็นขณะนี้จะใช้ภาษาไหนก็ได้ จักขุวิญญาณก็ได้ จิตก็ได้ มโน ... มนัสได้หมด ขอให้รู้ว่าหมายความถึงธาตุรู้ซึ่งมีจริงๆ เกิดขึ้นรู้ไม่ใช่เกิดขึ้นเป็นอย่างอื่น เช่น แข็งรู้อะไรไม่ได้ เลยเพราะเกิดเป็นแข็งหวานก็เกิดเป็นหวาน จำก็เกิดเป็นจำ

เริ่มรู้ว่าแต่ละหนึ่งต้องเกิดจึงมี ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น ธรรมะทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วดับ ... อนิจจัง ... แต่ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระองค์ ไม่มีใครสามารถรู้ความจริงได้!!! เพราะสืบดับต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้

เริ่มเข้าใจชีวิตว่า แท้จริงแล้วก็ คือ มีสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดตามเหตุปัจจัย ดับแล้วไม่กลับมาอีก ... จึงไม่มีเรา ... ทั้งหมดเป็นอนัตตา

อะไรก็ตามที่ปรากฏเป็นหนึ่ง นั่นคือสิ่งหนึ่ง ... อัตตา เพราะฉะนั้น อัตตาไม่ใช่สิ่งนั้นหรอก ถ้าไม่มารวมกันแตกย่อยออกไปให้ละเอียดยิบ เช่นดอกไม้ดอกหนึ่งแตกย่อยให้ละเอียดยิบ ... ไหนล่ะดอกไม้ ... ไม่มี ... ชีวิตก็เช่นเดียวกัน แต่ละขณะก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ปรากฏขึ้นรวมกันให้รู้ว่าเป็นสิ่งนั้น แต่ความจริงแต่ละหนึ่งเกิดขึ้น และดับไปไม่เหลือเลย

เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัวรู้สิ่งที่ใครๆ ก็ไม่เคยคิดมาก่อนและไม่สามารถจะประจักษ์แจ้ง แต่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี เมื่อทรงตรัสรู้แล้วทรงพระมหากรุณาให้คนอื่นได้รู้ด้วย เพราะทรงสะสมอบรมถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ทรงตรัสรู้เพียงพระองค์เดียว แต่ทรงแสดงความจริงที่ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลย

เริ่มรู้จักว่าจริงไหม!! ไม่มีใครสามารถเลือกเป็นเศรษฐี เป็นคนชั่ว เป็นอะไรได้เลย ทั้งหมดเกิดตามเหตุปัจจัยเพราะฉะนั้น มีความเข้าใจ มีความเห็นใจ ใครก็ตามที่ไม่ดี ไม่ใช่เขาอยากไม่ดี แต่มีเหตุปัจจัยที่สะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น!! เป็นเพื่อนและหวังดีต่อเขา ... มันไม่ได้ทำร้ายใคร ... แต่ทำให้เกิดประโยชน์ว่า เขาก็มีกำลังใจที่จะสามารถให้เขาเข้าใจถูกเห็นถูกได้ ... ยิ่งเป็นประโยชน์!!!

ทุกอย่างต้องไตร่ตรอง ฟังคำของผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง ทรงแสดงพระธรรม 45 พรรษา ... กี่คำ ... แต่ละคำเทียบได้ไหม ... ตรัสด้วยพระองค์เองกับเราที่ได้ฟัง ... ห่างกันมากในความเข้าใจธรรมะ เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ ไม่ประมาทเลย

แต่ละคำลึกซึ้งมาก และเป็นจริงซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ขณะนี้เห็นเกิดและดับ ... จริงไหม ... ถ้าจริงต้องรู้ได้ใช่ไหม ... เพราะจริง!!! แต่ไม่ใช่รู้ได้เพราะเราอยากรู้ ... ด้วยความเป็นเรา ... แต่เริ่มจากมีความเข้าใจถูกว่า ... ใครก็ทำให้เห็นเกิดไม่ได้ เห็นเกิดและดับ ... ใครจะไม่ให้ดับก็ไม่ได้ ... แต่สามารถค่อยๆ เข้าใจความต่างกันของเห็นกับสิ่งที่ปรากฏทางตา ของเสียงกับได้ยิน ของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในชีวิต ... นี่คือธรรมะ

ไม่เคยมีความเห็นถูก ... เริ่มมี ... เพราะฉะนั้น เคารพใคร!!! พระองค์ผู้ทรงให้ความจริง ยิ่งรู้เท่าไหร่ ความเคารพยิ่งมากเท่านั้น

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nattawan
วันที่ 2 ต.ค. 2566

ถ้าไม่ศึกษาธรรมะให้เข้าใจถูกต้องแล้ว ก็ยังคงมีความไม่รู้ และความเห็นผิด ต่อเมื่อศึกษาแล้วมีความเห็นที่ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง รู้ได้เลยว่าปัญญาเป็นคุณค่าของชีวิตเพราะเป็นความรู้ที่นำไปสู่การละความไม่รู้ และความเห็นผิด และความเห็นแก่ตัว และความเป็นตัวตนและละความไม่ดีทั้งหมด

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nattawan
วันที่ 2 ต.ค. 2566

... ก็ให้ทราบว่าตลอดชีวิต มีสิ่งที่เกิดขึ้น ตามเหตุ ตามปัจจัย แล้วดับ ไม่เหลือเลย ...

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nattawan
วันที่ 2 ต.ค. 2566

แนะนำหนังสือ ธรรมะคืออะไร

โดย อ. คำปั่น อักษรวิลัย

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nattawan
วันที่ 2 ต.ค. 2566

ข้อความบางส่วนจากหนังสือธรรมะคืออะไร

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nattawan
วันที่ 2 ต.ค. 2566

ภิกษุในธรรมวินัย

ไม่รับและไม่ยินดี ในเงินและทอง

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nattawan
วันที่ 2 ต.ค. 2566

... กรรมย่อมจำแนกสัตว์ ...

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 2 ต.ค. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 3 ต.ค. 2566

... ก็ให้ทราบว่าตลอดชีวิต มีสิ่งที่เกิดขึ้น ตามเหตุ ตามปัจจัย แล้วดับ ไม่เหลือเลย ...

ขอบคุณ และยินดีในความดีทุกประการค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
nattawan
วันที่ 17 ต.ค. 2567

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ