ฟังธรรมเพื่อเข้าใจเดี๋ยวนี้
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา นี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เข้าใจจริงๆ ในทุกคำตามคำกล่าวนั้นหรือไม่
ไม่ว่าจะเป็นคำว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดหมายถึงอะไร ... เหตุใดจึงเกิดขึ้นแล้วดับไป และคำว่า " ธรรมดา " มีความหมายว่าอย่างไร!!
หากไม่ได้ศึกษาพระธรรม เพียงแต่รู้จักคำนั้นและพูดตามอย่างผิวเผิน แต่เราไม่เคยได้เข้าใจถึงความลึกซึ้งที่พระองค์ทรงตรัสรู้เลย
เชิญคลิกชม ...
รายการบ้านธัมมะ 24 กันยายน 2565 เรื่อง ฟังธรรมเพื่อเข้าใจเดี๋ยวนี้
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
ฟังธรรมะมาพอสมควร รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วหรือยัง!! น่าคิดไหมว่า ฟังธรรมะเมื่อไรก็ตาม ฟังแล้วรู้จักพระองค์หรือยัง!! คิดถึงคำโน้นคำนี้ ทางตาเป็นรูปธรรม ทางหูเป็นรูปธรรม ... นามธรรม คิดถึงหมด แต่คิดถึงพระองค์แล้วหรือยัง!!
แต่ละคำที่ได้ฟัง ถ้าไม่เคยรู้ว่ามีผู้ที่กล่าวคำนี้ ซึ่งเป็นคำที่ไม่เหมือนใครเลย ไม่ได้พูดธุรกิจการงานต่างๆ ไม่ได้พูดถึงโรคภัยต่างๆ แต่พูดถึงสิ่งที่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครรู้ ... หรือใครรู้แล้ว!! ถ้ารู้ ... นั่นคือเริ่มรู้จักพระองค์!!!
ทรงตรัสสรู้ความจริงของสิ่งที่มีทุกอย่าง ไม่ว่าเมื่อไหร่ ขณะไหน จะทำธุรกิจการงาน ทำอาหาร ทำสวนทำไร่หรืออะไรก็ตาม แต่ขณะนั้นรู้จักพระองค์หรือยัง!! ... ว่าทรงตรัสรู้ความจริงของทุกอย่าง ไม่เว้นเลย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน บนที่นอน เดินไปที่สวน ทำอะไรทั้งหมด
พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของทุกอย่างโดยประการทั้งปวง ซึ่งขณะนี้ก็มี กำลังเห็นและความจริงของเห็นคืออะไร!! ทั้งๆ ที่กำลังเห็น ... ไม่มีใครรู้เลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงโดยละเอียดยิ่ง ลึกซึ้งอย่างยิ่งตลอด 45 พรรษา เพื่อให้ผู้ฟังเริ่มไตร่ตรอง เริ่มเข้าใจ ... ไม่ใช่ทรงถามใครว่านี่อะไร ... นั่นอะไร ... แต่ทุกคำที่ได้ฟัง รู้เลยว่าตรัสถึงอะไร เช่น เดี๋ยวนี้ ... ตรัสถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ไม่ได้ตรัสถึงขณะอื่นเลย
ขณะนี้เห็น พระองค์ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ทรงตรัสรู้ความลึกซึ้งของเห็น ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่า ... เห็นเดี๋ยวนี้ ... เห็นอะไร ... เห็นคน เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ เห็นหมดทุกอย่าง แต่นั่นหรือเห็น!!!
เห็นคือธาตุ (สิ่งที่มีจริง) ที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้เอง ไม่มีใครไปทำให้เห็นเกิดขึ้นเลย แต่เห็นเกิดแล้วก็ไม่รู้ว่าเห็นจริงๆ คืออะไร ... เป็นเราเห็นและคิดว่าเห็นคน เห็นสิ่งของต่างๆ ด้วย
แต่ความละเอียดลึกซึ้ง คือ เห็นจริงๆ จะเห็นอะไรไม่ได้เลย นอกจากสิ่งที่เป็นสีสันวรนณะ โดยไม่ต้องเรียกชื่อ และไม่ต้องคิดด้วย เพราะกำลังปรากฏให้รู้ว่า สิ่งนี้มีจริงๆ เมื่อเห็นเกิดขึ้น ต้องอาศัยตา ถ้าไม่มีตาเห็นเกิดไม่ได้
นี่คือทุกขณะในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ... ความลึกซึ้ง คือ ไม่มีใครรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เลย ซึ่งพระองค์ตรัสว่า สิ่งนี้ต้องเกิด ... ไม่เกิดไม่มี ... มีปัจจัยที่อาศัยที่ทำให้เกิดขึ้น เมื่อเกิดแล้วดับไปทันที นี่คือความจริง
จึงเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีละเอียดอย่างยิ่งโดยประการทั้งปวงต้องฟังทุกคำ ... เริ่มคิดขณะนี้ทำไมว่าเห็นเกิดแล้วดับ ... ถ้าเห็นไม่ดับจะไม่มีได้ยิน จะไม่มีคิดนึก จะไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น มีแต่เห็น ซึ่งเห็นเพียงแต่สิ่งที่กระทบตา
ตั้งแต่เกิดไม่พ้นจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ... แล้วใครเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!! ใครไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!! ใครเริ่มเห็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ได้ฟังคำ ... ซึ่งพูดถึงสิ่งที่กำลังมี ... ให้เริ่มเข้าใจขึ้น ... จากการไม่เคยเข้าใจเลย
เห็นทั้งวันแต่หารู้ไม่ว่า ที่ว่าทั้งวันนั้นกี่ขณะที่เกิดขึ้นเห็นสิ่งหนึ่งเท่านั้นที่กระทบตาแล้วดับ เพราะฉะนั้น ขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏทุกอย่าง ที่ว่ามีหลายคน มีห้องนี้ ก็ต้องเป็นสิ่งที่กระทบตาทั้งนั้น จึงปรากฏ แต่เร็วมาก ทำไมเราไม่เห็นเพียงสีสันวรนณะที่กระทบตา แต่ด้วยความรวดเร็วของการสืบต่อของการกระทบกันของสิ่งที่ปรากฏ ทำให้เกิดรูปร่างสัณฐานเดี๋ยวนี้ใช่ไหม!!!
ถ้ามีเห็นหนึ่งขณะ ... จะมีรูปร่างสัณฐานใดๆ ไหม!! เพียงแค่หนึ่งขณะ แต่ขณะนี้มีรูปร่างสัณฐานต่างๆ ปรากฏเป็นคนบ้าง เป็นโต๊ะบ้าง เป็นเก้าอี้บ้างทั้งนั้นเลย หมายความว่ากว่าจะเป็นรูปร่างสัณฐาน ... เห็นต้องเกิดเท่าไหร่!!!
แล้ววันนี้ก็เห็นทั้งวันเลย อยู่ที่ไหนก็เห็น แสดงว่าเห็นขณะนี้ไม่ใช่เห็นขณะอื่น แต่ละหนึ่งๆ ๆ เห็นสิ่งที่ปรากฏเร็วสุดที่จะประมาณได้ ไม่มีใครสามารถรู้ได้ จึงต่อกันโดยความรวดเร็วอย่างยิ่ง นี่คือความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ขณะนี้เกิดดับ
มีผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง ทรงแสดงความจริง ... เริ่มไตร่ตรองหรือยัง!!! พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร มีแต่คำจริงที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงที่ได้ทรงตรัสสรู้ความจริงนั้นถึงที่สุดโดยประการทั้งหมด จึงกล่าวว่าแต่ละหนึ่งๆ ที่มีจริงเปลี่ยนไม่ได้ ปรากฏว่ามีจริงๆ เพราะเกิดแล้วมีลักษณะหลากหลายเป็นแต่ละหนึ่ง เมื่อไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับ จึงแสดงว่า สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งนั้นมีจริง ภาษาบาลีใช้คำว่า " ธรรม "
พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของทุกอย่างที่มีจริงไม่เว้นเลย ขณะเห็น ... ไม่มีใครรู้จักพระองค์ เพราะไม่รู้ว่าเห็นเกิดแล้วดับและไม่กลับมาอีกเลย ... แล้วก็เห็นมากมายแค่ไหน จึงปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้จำได้
อยู่ในโลกของความไม่รู้ความจริงใช่ไหม!!! เริ่มไตร่ตรองไม่ใช่พูดถึงอวิชชาพูดถึงเรื่องอะไรๆ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ไหน ... แต่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ... ไม่รู้แจ้งว่าเห็นเกิดแล้วดับ ... เมื่อเห็นแล้วก็ดับ ... เห็นแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้น การไม่รู้อย่างนี้ก็ยึดถือสภาพธรรมะที่สืบต่อว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ ... และความจริงคืออะไร ... ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ไตร่ตรอง ถ้าไม่คิด ไม่ไตร่ตรอง ไม่มีทางรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!!!!
กราบนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
การรู้แจ้งธรรมะ รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ เข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ และการจะรู้แจ้งธรรมะได้นั้น ต้องเริ่มจากการฟังให้เข้าใจถึงสิ่งที่มีจริงในทุกๆ ขณะว่า คืออะไรที่ไม่ใช่เรา
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
เพราะฉะนั้น ต้องรู้จุดประสงค์ของการฟัง สิ่งที่ได้ฟังเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งเพียงใด เห็นเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นแล้วดับไป จริง ก็ต้องประจักษ์แจ้ง ด้วยกทรละความติดข้องและความไม่รู้
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ข้อความบางส่วนจากหนังสือแนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม 1
ปัญญาที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงนั้น เกิดจากการฟัง การพิจารณา การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งเป็นการปฏิบัติอบรมเจริญปัญญาให้เกิดขึ้นเป็นลำดับ ... ไม่ใช่เราทำ
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
... พึงยกย่องคนที่ควรยกย่อง ...
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ภิกษุในธรรมวินัย ไม่รับ และ ไม่ยินดีในเงินและทอง
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ