ภาษาบาลีสัปดาห์ละคำ [คำที่ ๖๓๒] มรณธมฺมา

 
Sudhipong.U
วันที่  6 ต.ค. 2566
หมายเลข  46716
อ่าน  232

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ มรณธมฺมา

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

มรณธมฺมา อ่านตามภาษาบาลีว่า มะ - ระ - นะ - ดำ - มา มาจากคำว่า มรณ (ความตาย) กับคำว่า ธมฺมา (เป็นธรรมดา) รวมกันเป็น มรณธมฺมา แปลว่า สัตว์ทั้งหลาย มีความตายเป็นธรรมดา แสดงถึงความเป็นจริงว่า สัตว์โลกทั้งหมด ไม่มีเว้นเลย เมื่อเกิดมาแล้ว ล้วนมีความตายเป็นธรรมดาด้วยกันทั้งหมด ต้องไปสู่อำนาจของความตาย คือไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้เลยแม้แต่คนเดียว ความเกิด ย่อมมีอยู่ตราบใด ความตายก็ย่อมมีอยู่ตราบนั้น เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ความตายก็ย่อมเกิดขึ้น ซึ่งก็คือ จิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่เคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ จะกลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย ไม่มีใครอยู่เหนือความตายได้เลย ตามข้อความในปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ จูฬรถวิมาน ดังนี้

บทว่า โน เตปิ อชรามรา ความว่า มีความแก่และความตายเป็นธรรมดาทีเดียว อธิบายว่า แม้ความเป็นผู้มีทรัพย์มากเป็นต้น ก็ห้ามความแก่และความตายที่อยู่เหนือท่านเหล่านั้นไม่ได้


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา เกิดจากการที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานมาก ทุกคำจึงมาจากพระคุณอันประเสริฐยิ่งของพระองค์ การที่แต่ละคนจะได้มีโอกาสได้ยิน ได้ฟังพระธรรมแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดงในครั้งนั้นและได้สืบทอดมาจนถึงยุคนี้สมัยนี้ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระธรรมยังดำรงอยู่ จึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นแห่งปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดของคำสอน ก็ล้วนเป็นคำจริง เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูล เป็นเครื่องเตือนที่ดีในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษามีความเข้าใจถูกเห็นถูก มีความประพฤติที่ดีงามทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ขัดเกลากิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต จนกระทั่งสูงสุดเพื่อความเป็นผู้หมดจดจากกิเลส ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น

ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงจนหมดสิ้น การเวียนว่ายตายเกิดย่อมมีอยู่ตราบนั้น ไม่เป็นสุคติภูมิ ก็เป็นทุคติภูมิ ตามกรรมของแต่ละบุคคล กล่าวคือถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็ทำให้ไปเกิดในสุคติภูมิ เกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นเทวดา ตรงกันข้าม ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมก็ทำให้ไปเกิดในอบายภูมิ เป็นสัตว์นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์ดิรัจฉานบ้าง ตามควรแก่กรรมของแต่ละบุคคลที่ได้กระทำมา

ชีวิต เป็นการเกิดดับสืบต่อกันของจิตแต่ละขณะๆ จิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นเป็นไป ที่กิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตเกิดขึ้นเป็นไปก็เพราะได้สะสมมาแล้วในอดีต เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อปัญญายังไม่เจริญขึ้นถึงขั้นที่จะดับกิเลสได้ กิเลสก็จะเกิดขึ้นอีกต่อไปอย่างเช่นในชาตินี้ และเพราะยังมีกิเลสอยู่นี้เอง การเวียนว่ายตายเกิด จึงยังไม่จบสิ้น เป็นเหตุให้มีสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อไป ยังไม่พ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏฏ์

การเกิดในภพหนึ่งชาติหนึ่งนั้น สั้นมาก ไม่ยั่งยืนเลย ความเกิดยังเป็นไปตราบใด ความตายก็ย่อมมีอยู่ตราบนั้น แม้จะเกิดเป็นเทวดามีความสุขสะดวกสบายทุกอย่าง แต่ถึงอย่างไรแล้ว ในที่สุดก็จะต้องเคลื่อนพ้นจากความเป็นเทวดา แม้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็เป็นเช่นเดียวกัน เกิดมาในแต่ละภพแต่ละชาติ ก็ต้องสิ้นสุดที่ความตายทั้งนั้น เกิดแล้วก็จะต้องละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น แล้วยังต้องเกิดอีก ยังต้องเดินทางต่อไปในสังสารวัฏฏ์ มีการเกิดอยู่ร่ำไป ตราบใดที่ยังไม่หมดกิเลส ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมนั่นเอง ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมแต่ละหนึ่งๆ เท่านั้น

ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น บุคคลรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา หรือญาติพี่น้องเป็นต้น ย่อมสามารถช่วยเหลือทำกิจในด้านต่างๆ แก่เราได้ แต่พอถึงเวลาตาย บุคคลเหล่านั้นไม่สามารถที่จะช่วยต้านทานไว้ได้เลย กล่าวคือไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้ไม่ตายได้ ใครๆ ก็ช่วยเราไม่ได้เลยจริงๆ แม้จะมีแพทย์ผู้มีความสามารถมากเพียงใด ก็ไม่สามารถทำให้ไม่ตายได้ จึงไม่มีใครสามารถรอดพ้นจากความตายไปได้เลย

ดังนั้น ต้องไม่ลืมเลยว่า ทุกคนกำลังจะตาย จะตายเหมือนอย่างคนที่ตายไปแล้ว บางคนไปเยี่ยมคนป่วยหนัก คิดว่าเขากำลังจะตาย แต่ความจริงทุกคนทั้งหมดเลยกำลังจะตาย คนที่ไปเยี่ยมอาจจะตายก่อนก็ได้ ซึ่งไม่มีการรู้ล่วงหน้าเลยว่าใครจะตายเมื่อไหร่ที่ไหนอย่างไร แต่ทุกคนกำลังจะตายแน่นอน มั่นใจได้เลยว่า ตายแน่นอนทุกคน พอถึงเวลานั้นก็ตายแน่ๆ เมื่อจิตขณะสุดท้ายในภพนี้ชาตินี้เกิดขึ้น ก็ต้องละจากโลกนี้ไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ก่อนตายจะทำอะไร? ซึ่งควรจะได้พิจารณาจริงๆ ว่า เมื่อแต่ละคนจะต้องตายอย่างแน่นอน เพราะสัตว์ทั้งหลายมีความตายเป็นธรรมดา ถ้าเห็นว่าสิ่งใดมีประโยชน์ที่สุด ก็ทำสิ่งนั้น ไม่ทำสิ่งอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ทำดีและฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งกับตนเองและผู้อื่น นั่นคือ ประโยชน์ที่ควรจะเกิดขึ้นก่อนที่จะตายจากความเป็นบุคคลนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่จะสะสมสืบต่อเป็นที่พึ่งต่อไป

ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..

บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 6 ต.ค. 2566

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
kullawat
วันที่ 6 ต.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เฉลิมพร
วันที่ 7 ต.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ