เห็นเป็นจิตไม่ใช่เรา_สนทนาธรรม ไทย-ฮินดี วันเสาร์ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๖

 
เมตตา
วันที่  7 ต.ค. 2566
หมายเลข  46752
อ่าน  215

- เดี๋ยวนี้มีอะไร? (มีเห็น) เพราะว่าเราฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรมไม่มีใครเลยทั้งสิ้น เห็นเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นกี่ขณะ? (๑ ขณะ) แล้วกลับมาเกิดอีกได้ไหม? (ไม่ได้) .

- เห็นเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร? (ก็คือ ปัจจัยหลายอย่าง) เลยไม่รู้ว่าปัจจัยอะไรนะ (แกเอ่ยชื่อว่ามีอนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัย อรัมมณปัจจัย) อะไรอีก? (วิบปากปัจจัย) แล้วอะไรอีก? (เชื่อว่ามีอีกหลายปัจจัย แต่แกนึกไม่ออก) .

- เห็นต่างกันเพราะอะไร? (ต่างกันเพราะผลของกรรมต่างกัน) ถูกต้อง เพราะฉะนั้น จิตเห็นมีกี่ประเภท? (๑. เป็นกุศลวิบาก ๒. เป็นอกุศลวิบาก) .

- จิตไหนไม่มีอนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัย? (ไม่มีจิตไหนที่ไม่มีอนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย) แน่ใจหรือ? (จากเหตุผลนี้แกแน่ใจเพราะจากเหตุผลว่า จิตนี้เกิดแล้วดับ และจิตอะไรจะเกิดต่อครับ) แล้วจุติจิตของพระอรหันต์มีอนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัยไหม? (ไม่ครับ) เพราะฉะนั้น มีจิตกี่ประเภทที่ไม่มีอนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย? (จุติจิตของพระอรหันต์) เท่านั้น ธรรมต้องเป็นธรรมเปลี่ยนไม่ได้เลย.

- โสดาปัตติมรรคจิตมีอนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัยไหม? (มี) อรหัตตผลมีอนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัยไหม? (คุณสุคิน: แกตอบว่าไม่ แต่แกคงไม่รู้จักจิตนี้) จุติจิตของพระอรหันต์ไม่ใช่อรหัตตมรรคจิต (เมื่อกี๊น่าจะเป็นการสื่อผิด แต่ว่าแกเข้าใจอย่างนั้นว่า อรหัตตผลก็มีอนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย) ถูกต้อง.

- ทำไมจุติจิตของพระอรหันต์ไม่ใช่อรหัตตผล? (เขาเข้าใจอย่างนี้ครับว่า อรหัตตผลเกิดหลังจากอรหัตตมรรคจิต และหลังจากนั้นกรรมก็ยังต้องให้ผลอยู่จนกว่าจุติจิตไม่เกิด และหลังจากจุติจิตเกิดเมื่อไหร่เมื่อนั้นก็ไม่มีจิตเกิดต่อครับ) .

- เพราะฉะนั้น จุติจิตของพระอรหันต์เป็นจิตอะไร? (เป็นวิบาก) แน่นอนค่ะ แต่วิบากอะไร? (เป็นกุศลวิบาก) ประเภทไหน? (แกตอบได้แค่นี้ว่า ระดับเป็นผลของกุศลที่สูงมากและตอนจุติจิตเกิดก็ไม่มีกิเลสด้วย) ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างที่เราจะคิดเองแต่ต้องรู้ว่า ตอนเกิดยังไม่เป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น จิตอะไรเกิด? (แกเข้าใจแล้วครับตอนถามถึงปฏิสนธิจิตแกเลยเข้าใจว่าเกิดกับปัญญาครับ) เพราะฉะนั้น จิตอะไรของพระอรหันต์ทำกิจจุติ? (เป็นจิตประเภทเดียวกับที่ปฏิสนธิครับ) เป็นชาติอะไร? (เป็นวิบาก) ถ้าปฏิสนธิจิตเป็นวิบากที่เป็นมหาวิบากดับแล้วจิตที่ทำกิจจุติเป็นรูปาวจรวิบากได้ไหม? (ไม่ได้) แล้วจิตอะไรทำจุติจิต? (แกสับสนอยู่) ถ้าปฏิสนธิจิตเป็นอกุศลวิบากจิต แล้วจุติจิตเป็นอะไร? (เป็นจิตประเภทเดียวกัน) เพราะฉะนั้น ถ้าปฏิสนธิจิตเป็นอกุศลวิบากจิต จุติจิตเป็นอะไร? (อกุศลวิบากจิต) ก็ชัดเจนนะ.

- จิตที่เป็นอเหตุกวิบากจิตทำกิจปฏิสนธิได้ไหม? (ได้) จิตอะไรที่ทำปฏิสนธิกิจที่เป็นอเหตุกอกุศลวิบาก? (สันตีรณะ) .

- เพราะฉะนั้น จิตที่เป็นอกุศลวิบากมีเท่าไหร่? (มี ๗) จิตที่เป็นกุศลวิบากที่ประกอบด้วยเหตุมีเท่าไหร่? (นึกได้แค่ ๓ คือ ปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ) อะไรนะคุณสุคิน พูดใหม่ค่ะ (แกนึกได้แค่ ๓ อย่างกุศลวิบากที่ประกอบด้วยเหตุด้วย) มีเหตุหรือไม่มีเหตุ? (มีเหตุด้วย เมื่อกี๊เข้าใจว่าท่านอาจารย์ถามถึงจิตที่มีเหตุครับ) คำถามว่าอย่างไร เมื่อกี๊นี้ (กุศลวิบากที่มีเหตุด้วยมีอะไรบ้าง หรือท่านอาจารย์หมายถึงกุศลวิบากที่ไม่มีเหตุหรืออย่างไรครับ) ดิฉันถามเพื่อให้เขาคิด (ก็คือ ทีแรกเขาก็ตอบว่ามีเห็น มีได้ยิน แต่ผมเข้าใจว่าท่านอาจารย์ถามว่ากุศลวิบากที่มีเหตุด้วยมีอะไรบ้าง แกก็ตอบว่ามีจิตที่ทำปฏิสนธิ ภวังค์ และก็จุติอย่างในภูมิมนุษย์นี้ก็เป็นกุศลวิบากที่มีเหตุด้วย) คิดว่าตอนนี้เรากำลังปะปนกันเพราะคำถามเป็นต้นนะ เพราะฉะนั้น คำถามที่วกวนแล้วยากเกินไปเขาอาจจะคิดไม่ถึง เราจะไม่พูดถึงแล้วเพราะว่าเขาจะคิดเองถ้าเราพูดถึง เช่น กุศลวิบากที่ประกอบด้วยเหตุ หรือกุศลวิบากที่ไม่ประกอบด้วยเหตุอันนี้ดิฉันต้องการให้เขาคิดว่ามีเท่าไหร่? (ทีแรกท่านอาจารย์หมายถึงกุศลวิบากที่ไม่ประกอบด้วยเหตุใช่ไหม) ค่ะ ถูกต้อง (มี ๘) อะไรบ้าง? (๕ วิญญาณจิต แล้วก็สัมปฏิจฉันนะ ๑ และสันตีรณะ ๒) .

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เมตตา
วันที่ 7 ต.ค. 2566

- อเหตุกกุศลวิบากทำปฏิสนธิจิตได้กี่ดวง? (๑ท่านอาจารย์ถามใหม่ครับ) กุศลวิบากอเหตุกที่ไม่ประกอบด้วยเหตุทำปฏิสนธิกิจได้กี่ดวง? (๑ ดวง คืออุเบกชาสันตีรณะ) ทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมไม่ทำได้ทั้งสอง? (แกให้ ๒ เหตุผล ๑. โสมนัสสันตีรณะกุศลวิบากทำกิจเฉพาะสันตีรณะได้ ๒. ถ้าเป็นกุศลระดับโน้นก็ต้องมีเหตุ เพราะฉะนั้น โสมนัสสันตีรณะทำปฏิสนธิไม่ได้) .

- อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากทำปฏิสนธิกิจได้ไหม? (ได้) ปฏิสนธิจิตของคุณอาช่าเป็นอเหตุกกุศลวิบากหรือเปล่า? (ไม่) รู้ได้อย่างไร? (เพราะเกิดมาไม่ได้พิการ) เพราะฉะนั้น จิตที่ทำให้เกิดเป็นคนพิการเป็นจิตอะไร? (อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก) ทำไมไม่เป็นโสมนัสปฏิสนธิ? (เพราะว่า ถ้าเป็นผลของกุศลที่มีกำลัง ผลต้องเป็นวิบากที่มีเหตุ) ก็เข้าใจได้นะโดยที่เราไม่ต้องพูดถึงความละเอียดมากกว่านี้ พอแล้ว ใช่ไหม? (คุณสุคิน: ผมถามอย่างนี้ครับ เข้าใจแค่นี้พอไหมหรืออยากเข้าใจมากกว่านี้ แกบอกอยากเข้าใจมากกว่านี้) .

- อเหตุกจิตมีทั้งหมดเท่าไหร่? (๑๘) กิจทั้งหมดมีเท่าไหร่? (๑๔ กิจ) อเหตุกจิตทั้งหมดทำได้กี่กิจ เท่าที่เราฟังแล้วเท่าที่เรากล่าวถึงกี่กิจ? (นับได้ ๑๓ กิจ) หายไปไหน ๑? (ทั้งหมด ๑๔ ครับ ไม่ได้นับสัมปฏิจฉันนะ) เรายังไม่ได้พูดถึงตทาลัมพนกิจ เราพูดถึงแค่ชวนกิจใช่ไหม? (แต่แกเอ่ยถึงตทาลัมพนะเหมือนแกเคยฟังมาครับ) เราพูดถึง หรือเขาไปอ่านเอง หรือเขาไปฟังเอง? (เราน่าจะเคยพูดถึงแต่คราวที่แล้วเรายังไม่ได้สนทนาตทาลัมพนะเป็นอย่างนี้ครับ) .

- ตทาลัมพนกิจ คืออะไร? (คุณสุคิน: แกบอกว่าได้ยินแต่ชื่อ แต่ยังไม่ได้สนทนาเรื่องนี้ครับ) เพราะฉะนั้น ที่สนทนาแล้ว ๑๓ กิจใช่ไหม? (ครับ)

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 7 ต.ค. 2566

- อเหตุกจิตทำชวนกิจได้ไหม? (ไม่ได้) ถามอีกทีนะ อเหตุกจิตเป็นจิตของใคร ทำกิจชวนะได้ไหม? (แกเริ่มสับสน ไม่มีคำตอบ แกเริ่มจะเดาว่าน่าจะเป็นกิริยาจิตของพระอรหันต์) เพราะฉะนั้น ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ๑๘ ดวงเท่านั้น แต่ที่เราพูดถึงบ่อยๆ เพื่อว่า ถ้าเข้าใจจริงๆ แล้วไม่ลืม.

- ถ้าเข้าใจจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุถูกต้องทั้งหมด จิตอื่นๆ ไม่มีปัญหาเลย (คุณสุคิน: เมื่อกี๊ผมยกตัวอย่างว่าถ้าเรารู้อเหตุกจิต ๑๘ มีอะไรบ้าง และนอกจากนั้นมั่นใจว่าเป็นจิตที่ประกอบด้วยเหตุ และเมื่อกี๊ที่แกสงสัยเรื่องกิรอยาจิตของพระอรหันต์ที่เกิดหลังจากเป็นพระอรหันต์แล้ว ผมเลยอธิบายให้แกว่าอย่างนี้เราก็ไม่สงสัยแล้วว่า กิริยาจิตพวกนี้จะมีเหตุหรือไม่ ต้องมีเหตุแน่นอน อาช่าบอกว่าที่แกสับสนก็เพราะว่าเราพูดถึงอเหตุกจิต ๑๘ มีหนึ่งจิตที่เกิดเฉพาะกับพระอรหันต์แกก็เลยสับสนตรงนั้นว่าเราพูดถึงจิตนั้นหรือไม่หรือจิตอื่น) .

- ถ้าอย่างนั้นเราพูดถึงชีวิตประจำวัน คุณอาช่ายิ้มเพราะจิตอะไร? (เป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิตก็ได้) พระอรหันต์มีกุศลจิตอกุศลจิตไหม? (ไม่มี) พระอรหันต์ยิ้มได้ไหม ยิ้มนะไม่ใช่หัวเราะ? (มีแต่ไม่เหมือนอย่างที่เรามี) เพราะไม่มีกิเลสไม่ได้ยิ้มด้วยโลภะใช่ไหม ไม่ได้ยิ้มด้วยกุศลจิต.

- พระอรหันต์ยิ้มด้วยอกุศลจิตได้ไหม? (ไม่ได้) .

- คุณอาช่ายิ้มด้วยอกุศลจิตได้ไหม? (ได้) คุณอาช่ายิ้มด้วยกุศลจิตได้ไหม? (ได้) พระอรหันต์ยิ้มด้วยกุศลจิตได้ไหม? (ไม่ได้) .

- เวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมมีคนที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ้มได้ไหม? (ตามที่แกเข้าใจไม่ได้ครับ) พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ้มได้ไหม? (แกเข้าใจว่ามีเหตุสำหรับพระอรหันต์ยิ้มได้แต่ไม่ใช่สถานการณ์อย่างนั้น) เพราะฉะนั้น เรากำลังพูดถึงยิ้มเท่านั้นว่าพระอรหันต์ยิ้มได้ไหม? (ค่ะ) พระอรหันต์ยิ้มด้วยกุศลจิตได้ไหม? (ไม่ได้) พระอรหันต์จึงมีจิต ๒ ชาติ วิบากจิตกับกิริยาจิตเท่านั้น.

- ท่านพระมหาโมคคัลลานะยิ้มได้ไหม? (ได้) ท่านพระสารีบุตรยิ้มได้ไหม? (ได้) ท่านพระอรหัต์ ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะยิ้มด้วยจิตอะไร? (กิริยาจิต) ต้องด้วยกิริยาเท่านั้น.

- เวลาที่ท่านพระมหาโมคคัลลานะลงจากภูเขาคิชฌกูฏแล้วยิ้ม คุณอาช่ารู้ไหมว่ายิ้ม? (ไม่เคยได้ยิน) ธรรมดาพระอรหันต์ยิ้มตามการยิ้มของทุกๆ คนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็ได้ แต่จิตที่เป็นอเหตุกหสิตุปาทที่ยิ้มของพระอรหันต์เป็นการยิ้มของอารมณ์ที่คนอื่นรู้ไม่ได้ (ครับ) เข้าใจไหม? (เข้าใจครับ) .

- เวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จพระองค์ยิ้ม ท่านพระอานนท์ไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ้มเพราะอะไร ขณะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ้มด้วยอเหตุกจิตที่เป็นหสิตุปาทจิตที่คนอื่นไม่รู้ว่าอารมณ์อะไรที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ้ม.

- หสิตุปาทจิตทำกิจอะไร? (ไม่ทราบ) จิตเห็นยิ้มได้ไหม? (ไม่ได้) ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสยิ้มได้ไหมขณะนั้น? (ไม่ได้) สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะยิ้มได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น จิตที่ยิ้มทำกิจอะไร? (เข้าใจว่าหสิตุปาทจิตทำกิจชวนะครับ) .

- เพราะฉะนั้น อเหตุกจิตที่ทำชวนกิจมีกี่ดวง? (๑ ดวง) เป็นชาติอะไร? (กิริยา) เป็นจิตของใคร? (พระอรหันต์) .

- จิตอะไรที่เป็นอเหตุกจิตที่ทำจุติกิจ? (สันตีรณะ) สันตีรณโสมนัสทำจุติกิจได้ไหม? (ไม่ได้ มีแต่อุเบกขาสันตีรณะที่ทำจุติกิจได้) กี่ดวง? (๒) .

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 7 ต.ค. 2566

- เพราะฉะนั้น เราศึกษาทั้งหมดแล้ว ๑๓ กิจ เหลืออีกกิจเดียวคือกิจสุดท้ายคือตทาลัมพนกิจ จิตอะไรที่ทำตทาลัมพนกิจได้? (คุณสุคิน: ท่านอาจารย์ครับเราต้องให้แกรู้ก่อนว่าตทาลัมพนะคืออะไร) เขาพูดแล้วไม่ใช่หรือเขาบอกว่าเขาฟังมาแล้วไม่ใช่หรือ? (สรุปแล้วแกไม่รู้ครับ) ถ้าอย่างนั้นเราจะพูดถึงกิจที่ ๕ ของสันตีรณจิต.

- เพราะฉะนั้น เริ่มต้นสันตีรณจิตเป็นจิตชาติอะไร? (เป็นวิบาก) เพราะฉะนั้น อเหตุกวิบากมีทั้งหมดเท่าไหร่? (๑๕) กุศลวิบากสันตีรณะมีเท่าไหร่? (มี ๒) เพราะฉะนั้น จิตนี้คือสันตีรณจิตทำกิจได้ ๕ กิจในเมื่อจิตอื่นทำไม่ได้ถึง ๕ กิจ.

- อุเบกขาสันตีรณวิบากจิตไม่ว่าจะเป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ ๓ กิจ และทำสันตีรณกิจ และทำตทาลัมพนกิจรับอารมณ์ต่อจากชวนกิจกิจ.

- ไม่ต้องรีบเลยนะแต่ต้องเข้าใจไม่ลืม ๕ กิจ ที่มีจิตประเภทเดียวที่ทำ ๕ กิจได้ คือสันตีรณจิตที่เป็นกุศลวิบาก และเป็นอกุศลวิบาก.

- สำหรับโสมนัสสันตีรณจิตทำได้กี่กิจ? (๒ กิจ) กิจอะไรบ้าง? (สันตีรณกิจ และตทาลัมพนกิจ) เก่งมาก จะลืมไหม? (ไม่ลืม) .

- ทำไมสันตีรณจิตทำตทาลัมพนกิจได้? (ไม่ทราบ) เพราะเหตุว่าเป็นวิบากจิตขณะสุดท้ายที่เกิดสำหรับที่เป็นอเหตุกจิต ถ้าอารมณ์ดับก่อนสันตีรณะก็เกิดไม่ได้.

- ครบอเหตุกจิต ๑๘ ดวงแล้วยัง? (ครบ) เดี๋ยวนี้มีอเหตุกจิตครบ ๑๘ ไหม? (ไม่ครบ) ทำไมล่ะ ขาดอะไร? (สำหรับเราเกิดได้ ๑๗) ถูกต้อง ไม่มีปัญหาเลยนะ เพราะฉะนั้น คราวต่อไปเราก็ไม่ต้องพูดถึงอเหตุกะเพราะว่ามีในชีวิตประจำวันเกือบตลอดเวลา.

- (คุณสุคิน: อาช่าอยากฟังเรื่องชวนะ เขาอยากเข้าใจชวนะให้มั่นคงขึ้นครับ) ดีค่ะ เดี๋ยวนี้มีจิตเห็น จิตอื่นไม่ปรากฏใช่ไหม? (ใช่) แต่ว่าเห็นแล้วชอบหรือไม่ชอบปรากฏไหม? (ใช่) ไม่ใช่มีแต่เห็นแล้วก็สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะใช่ไหม? (ใช่) เพราะฉะนั้น ทั้งวันจิตที่ปรากฏก็จะเป็นอเหตุกะ และก็กุศลอกุศล.

- ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงจะไม่มีใครรู้จิตเหล่านั้นเลย ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นไม่ใช่มีแต่จักขุวิญญาณทีละหนึ่งเท่านั้น จิตที่เกิดก่อนและจิตอื่นที่เกิดต่อจากจักขุวิญญาณไม่ได้ปรากฏเลยว่ามี เพราะฉะนั้น เวลาที่เห็นแล้วชอบ เห็นแล้วไม่ชอบ เห็นแล้วเป็นกุศล เห็นแล้วเป็นอกุศลเป็นจิตซึ่งพอจะรู้ได้.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 7 ต.ค. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพ

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 7 ต.ค. 2566

- ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงไม่มีใครรู้เลยว่า เห็นเป็นจิตไม่ใช่เรา ขณะที่เป็นกุศลหรืออกุศล ชอบหรือไม่ชอบ ต้องเป็นขณะที่กำลังรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด และรู้ด้วยว่าสิ่งที่เป็นสภาพรู้เกิดดับเร็วกว่าสิ่งที่ไม่ใช่สภาพรู้.

- สิ่งที่ไม่เคยขาดเลย คือธาตุรู้ซึ่งเกิดดับสืบต่อตลอดเวลา เมื่อมีสิ่งที่มีอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่เคยรู้เลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงให้เริ่มเข้าใจถูก ว่า ตลอดทุกขณะมีอะไร เดี๋ยวนี้กำลังเห็นเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ว่า ขณะนี้ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้นที่ปรากฏนอกจากสิ่งที่จิตรู้ คือเห็น.

- กว่าจะรู้จักสภาพเห็นจริงๆ ทั้งๆ ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ก็ต้องอาศัยการฟังและค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพราะทุกอย่างที่ปรากฏเหมือนไม่ได้ดับไปเลย.

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่ใครก็ไม่รู้ ขณะนี้ไม่ใช่มีแต่จิตเห็นแต่มีจิตอื่นๆ ด้วยซึ่งถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ก็จะยึดถือเห็นว่าเป็นเรา โดยไม่รู้ว่าเห็นไม่ใช่จิตอื่นๆ .

- สภาพรู้ที่มีในชีวิตหลากหลายมาก แต่ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ไม่มีใครรู้ว่าทั้งหมดไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น.

- ทุกอย่างที่มีที่ปรากฏเดี๋ยวนี้สั้นมากเกิดแล้วดับไปสืบต่อไม่รู้เลย ว่า สั้นที่สุดเร็วที่สุด.

- ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้ไหม ว่า ขณะนี้สิ่งที่มีหมดแล้วไม่เหลือเลย ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้ไหม ว่า ธาตุรู้หรือสภาพรู้มีหลากหลายมากมายทั้งวัน.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 7 ต.ค. 2566

- ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ประโยชน์ที่ได้รู้ ว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรบ้างทำให้ค่อยๆ รู้ว่า เราไม่สามารถจะรู้ความจริงได้ถ้าไม่ได้ฟังธรรม เพราะฉะนั้น การฟังธรรมเพื่อเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ว่าเป็นอย่างนี้ จนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริง ไม่ใช่เพียงฟังเฉยๆ เชื่อว่าความจริงเป็นอย่างนี้ แต่ไม่รู้แจ้งอย่างนี้.

- ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเดี๋ยวนี้สามารถจะรู้ได้ไหม? (ถ้าปัญญาเจริญพอรู้ได้ครับ) เดี๋ยวนี้รู้ได้หรือยัง? (เดี๋ยวนี้ยังไม่รู้) สมควรจะรู้ไหม? (สมควร) มีหนทางจะรู้ไหม? (มี) หนทางนั้นคืออะไร? (อย่างที่เราทำอยู่ คือสนทนา ฟัง แล้วสนทนาธรรมเข้าใจเพิ่มขึ้น) อีกนานไหมกว่าจะรู้อย่างนี้? (อีกนานมาก) เบื่อไหม? (ไม่เคยเบื่อ) พูดถึงเห็นกำลังเห็นตลอดเวลา พบกันก็พูดเรื่องเห็นอีก กำลังเห็นอีก เพื่ออะไร? (เพราะว่ามีจริงแล้วก็เกิดขึ้นตลอดเวลา) เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองตรัสอย่างนี้ทุกครั้ง.

- เพราะฉะนั้น คุณอาช่าก็ได้ฟังเรื่องของจิต ๑ ประเภท คือประเภทที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยครบทั้ง ๑๘ ดวง และทั้ง ๑๔ กิจ เพราะฉะนั้น ทบทวนเองมีอะไรสงสัยคราวหน้าเราจะได้สนทนากัน ถ้าไม่มีคราวหน้าเราก็จะได้พูดถึงจิตที่ประกอบด้วยเหตุ.

- เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เราพูดถึงแค่จิตแต่พูดถึงจิตนัยต่างๆ ในนัยที่จิตที่ประกอบด้วยเหตุก็มีที่ไม่ประกอบด้วยเหตุก็มี โดยอีกนัยหนึ่งพูดถึงจิตที่เกิดเป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นวิบากก็มี เป็นกิริยาก็มี เพื่อไม่ลืมความจริงเพื่อรู้ความจริงเพิ่มขึ้นว่า เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เอง เป็นอย่างนั้น จนกว่าปัญญาประจักษ์แจ้งความจริงเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ที่ได้ฟัง.

- มั่นใจในความจริงเดี๋ยวนี้ไหม? (มั่นใจ) ต้องเป็นผู้ฟังธรรมเป็นสาวกเป็นสาวิกาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.

- ยินดีด้วยในกุศลของคุณสุคินขอบพระคุณมาก แล้วก็ยินดีในกุศลของคุณอาช่าและทุกคนที่มั่นคงที่เห็นประโยชน์สูงสุดในชีวิตที่จะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อรู้ความจริงยิ่งๆ ขึ้น.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ