Thai-Hindi 07 Oct 23
Thai-Hindi 07 Oct 23
- มีอะไรสงสัยไหม (อาช่าไม่มีคำถามแต่ขอสนทนาเรื่องชวนะต่อ) เดี่ยวนี้มีอะไร (มีเห็น) เพราะว่าเราฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรมไม่มีใครเลยทั้งสิ้น
- เห็นเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นกี่ขณะ (๑) แล้วกลับมาเกิดอีกได้ไหม (ไม่ได้) เห็นเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร (เพราะปัจจัยหลายอย่าง มีอนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัย อารัมมณปัจจัย) อะไรอีก (วิปากปัจจัย) และอะไรอีก (เชื่อว่ามีอีกหลายอย่างแต่นึกไม่ออก)
- เห็นต่างกันเพราะอะไร (เพราะผลของกรรมต่างกัน) อันนี้ถูกต้องเพราะฉะนั้นจิตเห็นมีกี่ประเภท (๑ เป็นกุศลวิบาก อีก ๑ เป็นอกุศลวิบาก) จิตไหนไม่มีอนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัย (ไม่มีจิตไหน) แน่ใจหรือ (แน่ใจจากเหตุผลที่ว่าจิตนี้เกิดแล้วดับแล้วจิตอะไรจะเกิดต่อ) แล้วจุติจิตของพระอรหันต์มีอนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัยไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นมีจิตกี่ประเภทที่ไม่มีอนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย (คิดได้อันเดียวคือ จุติจิตของพระอรหันต์) เท่านั้น ธรรมเปลี่ยนไม่ได้เลย
- โสตาปฏิมัคคจิตมีอนันตรปัจัย สมนันตรปัจจัยไหม (มี) อรหัตตผลมีอนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัยไหม (ไม่มีแต่คิดว่ายังไม่รู้จักจิตนี้) จุติจิตของพระอรหันต์ไม่ใช่อรหัตตผลจิต (ตอนแรกสื่อสารผิดแต่ก็เข้าใจอย่างนั้น)
- ก็ถูกต้อง ทำไมจุติจิตของพระอรหันต์ไม่ใช่อรหัตตผล (เข้าใจว่า อรหัตตผลจิตเกิดต่อจากอรหัตตมัคคจิตและหลังจากนั้นกรรมต้องให้ผลอยู่จนกว่าจุติจิตเกิดเมื่อไหร่ไม่มีจิตเกิดต่ออีก)
- เพราะฉะนั้นจุติจิตของพระอรหันต์เป็นจิตอะไร (เป็นวิบาก) แน่นอนแต่ว่า วิบากอะไร (เป็นกุศลวิบาก) ประเภทไหน (ตอนแรกตอบได้แค่ว่า เป็นผลของกุศลที่สูงมากและจุติจิตไม่มีกิเลสด้วย) ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างที่เราจะคิดเองแต่ต้องรู้ว่า ตอนเกิดยังไม่เป็นพระอรหันต์เพราะฉะนั้นจิตอะไรเกิด (ตอนนี้เข้าใจแล้วว่า ปฏิสนธิจิตเกิดกับปัญญา)
- เพราะฉะนั้นจิตอะไรของพระอรหันต์ทำกิจจุติ (จิตเดียวกันกับที่ทำกิจปฏิสนธิ) เป็นชาติอะไร (เป็นวิบาก)
- ถ้าปฏิสนธิจิตเป็นวิบากที่เป็นมหาวิบากดับแล้ว จิตที่ทำกิจจุติเป็นรูปาวจรวิบากได้ไหม (ไม่ได้) แล้วจิตอะไรทำจุติกิจ (ยังสับสนและไม่แน่ใจ) ถ้าปฏิสนธิจิตเป็นอกุศลวิบากจิต จุติจิตเป็นอะไร (เป็นจิตประเภทเดียวกัน) เพราะฉะนั้นถ้าปฏิสนธิจิตเป็นอกุศลวิบากจิตจุติจิตเป็นอะไร (เป็นอกุศลวิบากจิต)
- ก็ชัดเจน จิตที่เป็นอเหตุกวิบากจิตทำกิจปฏิสนธิได้ไหม (ได้) จิตอะไรที่ทำปฏิสนธิกิจที่เป็นอเหตุกอกุศลวิบาก (สันตีรณะ คุณอาช่าตอบก่อนที่คุณสุคินจะถามจบ ท่านอาจารย์ยิ้ม) ได้นะคะเก่งดีค่ะ
- เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นอกุศลวิบากมีเท่าไหร่ (มี ๗) จิตที่เป็นกุศลวิบากที่ประกอบด้วยเหตุมีเท่าไหร่ (นึกได้แค่ ๓ คือจิตที่ปฏิสนธิ ภวังค์ จุติเช่นในภูมิมนุษย์)
- คิดว่าตอนนี้เรากำลังปะปนกัน เช่น คำถามเป็นต้น เพราะฉะนั้นคำถามที่วกวนและยากเกิดไปอาจจะคิดไม่ถึงเพราะฉะนั้นเราจะไม่ถามแล้วเพราะว่า เขาจะคิดเองถ้าเราพูดถึง เช่น กุศลวิบากที่ประกอบด้วยเหตุ หรือ กุศลวิบากที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ อันนี้ต้องการให้เขาคิดว่ามีเท่าไหร่ (มี๘) อะไรบ้าง (คือ ปัญจวิญญาณ ๕ สัมปฏิจฉันนะ ๑ สันตีรณะ ๒) (ท่านอาจารย์ยิ้ม) เก่งมากไม่ลืมเลย
- ทีนี้อีกครั้ง อเหตุกกุศลวิบากทำปฏิสนธิจิตได้กี่ดวง (รบกวนอาจารย์ถามใหม่) กุศลวิบากอเหตุกะที่ไม่ประกอบด้วยเหตุทำปฏิสนธิกิจได้กี่ดวง (๑ คือ สันตีรณะที่เกิดกับอุเบกขา) ทำไมเป็นอย่างนั้นทำไมไม่ทำได้ทั้ง ๒ ดวง (สองเหตุผลคือ ๑ โสมนัสสันตีรณะกุศลวิบากทำเฉพาะสันตีรณะกิจ อีกเหตุผลคือ ถ้าเป็นกุศลระดับสูงผลก็ต้องมีเหตุ เพราะฉะนั้นสันตีรณะทำกิจปฏิสนธิไม่ได้)
- อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากทำปฏิสนธิกิจได้ไหม (ได้) ปฏิสนธิจิตของคุณอาช่าเป็นอเหตุกกุศลวิบากหรือเปล่า (ไม่) รู้ได้อย่างไร (เพราะเกิดมาไม่ได้พิการ) เพราะฉะนั้นจิตที่ทำให้เกิดมาเป็นคนพิการคือจิตอะไร (อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก) ทำไมไม่เป็นโสมนัสสันตีรณะทำปฏิสนธิ (เพราะว่าถ้าเป็นผลของกุศลที่มีกำลัง ผลต้องเป็นวิบากที่มีเหตุ) ก็เข้าใจได้โดยที่ว่าไม่ต้องพูดถึงความละเอียดยิ่งกว่านี้ พอแล้วใช่ไหม (อยากจะเข้าใจมากกว่านี้)
- อเหตุกจิตมีทั้งหมดเท่าไหร่ (๑๘) กิจทั้งหมดมีเท่าไหร่ (๑๔) อเหตุกจิตทั้งหมดทำได้กี่กิจเท่าที่ฟังแล้วเท่าที่กล่าวถึงแล้วกี่กิจ กิจทั้งหมดมีเท่าไหร่ (๑๔) แล้วเราเรียนแล้วกี่กิจ (ตอนแรกนับได้๑๔ ตอนนี้นับได้ ๑๓ งงแล้ว) หายไปไหน ๑ อะไรหายไป (สัมปฏิจฉันนะ) เรายังไม่ได้พูดถึงตทาลัมพนกิจเราพูดถึงแค่ชวนกิจใช่ไหม (เคยพูดถึง) เราพูดถึงหรือไปอ่านเอง (เราพูดถึงครั้งหนึ่งแต่ยังไม่ได้สนทนา)
- ตทาลัมพนกิจคืออะไร (คุณอาช่าบอกว่า เคยได้ยินชื่อแต่ยังไม่ได้สนทนา) เพราะฉะนั้นที่สนทนาแล้ว ๑๓ กิจถูกไหม (ใช่)
- อเหตุกจิตทำชวนกิจได้ไหม (ไม่ได้) ถามอีกครั้ง อเหตุกจิตเป็นจิตของใครทำชวนะได้ไหม (เริ่มสับสน เดาว่าเป็นกิริยาจิตของพระอรหันต์หรือไม่) เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ดูเหมือนธรรมดา ๑๘ดวงเท่านั้น แต่ที่เราพูดถึงบ่อยๆ เพื่อว่า ถ้าเข้าใจจริงๆ แล้วไม่ลืม
- ถ้าเข้าใจจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุถูกต้องทั้งหมด จิตอื่นๆ ไม่มีปัญหาเลย (สับสนเรื่อง กิริยาจิตของพระอรหันต์ที่มีเหตุเพราะมีอเหตุกกิริยาจิตของพระอรหันต์ ๑ จิตด้วยเลยไม่แน่ใจ)
- ถ้าอย่างนั้นเราพูดถึงชีวิตประจำวัน คุณอาช่ายิ้มเพราะจิตอะไร (อาจเป็นกุศลหรืออกุศลก็ ได้) พระอรหันต์มีกุศลจิตหรืออกุศลจิตไหม (ไม่มี) พระอรหันต์ยิ้มได้ไหม ยิ้มนะคะไม่ใช่หัวเราะ (มีแต่ไม่เหมือนอย่างที่เรายิ้ม) เพราะไม่มีกิเลสไม่ได้ยิ้มด้วยโลภะ ไม่ได้ยิ้มด้วยกุศลจิต
- พระอรหันต์ยิ้มด้วยอกุศลจิตได้ไหม (ไม่ได้) คุณอาช่ายิ้มด้วยอกุสลจิตได้ไหม (ได้) คุณอาช่ายิ้มด้วยกุศลจิตได้ไหม (ได้) พระอรหันต์ยิ้มด้วยกุศลจิตได้ไหม (ไม่ได้)
- เมื่อเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม มีคนที่รู้แจ้งสัจจธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ้มได้ไหม (ตามที่เข้าใจไม่ได้) พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ้มได้ไหม (เข้าใจว่ามีเหตุแต่คงไม่ใช่ในสถานการณ์แบบนั้น)
- เพราะฉะนั้นเรากำลังพูดถึง “ยิ้ม” เท่านั้นว่า พระอรหันต์ยิ้มได้ไหม (ได้) พระอรหันต์ยิ้มด้วยกุศลจิตได้ไหม (ไม่ได้) พระอรหันต์จึงมีจิต ๒ ชาติ วิบากจิตกับกิริยาจิตเท่านั้น
- ท่านพระมหาโมคคัลลานะยิ้มได้ไหม (ได้) ท่านพระสารีบุตรยิ้มได้ไหม (ได้) พระอรหันต์ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะยิ้มด้วยจิตอะไร (ด้วยกิริยา) ต้องกิริยาเท่านั้น
- เวลาที่พระมหาโมคคัลลานะลงจากเขาคิชกูฏแล้วยิ้มคุณอาช่ารู้ไหมว่า ทำไมยิ้ม (ไม่เคยได้ยิน) ธรรมดาพระอรหันต์ยิ้มตามการยิ้มของทุกๆ คนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็ได้แต่ จิตที่เป็นอเหตุกหสิตุปปาทะที่ยิ้มของพระอรหันต์เป็นการยิ้มในอารมณ์ที่คนอื่นรู้ไม่ได้
- เวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จ พระองค์ยิ้ม พระอานนท์ไม่รู้ว่าพระองค์ยิ้มเพราะอะไร ขณะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ้มด้วยอเหตุกจิตที่เป็นหสิตุปปาทจิตที่คนอื่นไม่รู้ว่าอารมณ์อะไรที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ้ม
- หสิตุปปาทจิตทำกิจอะไร (ไม่ทราบ) จิตเห็นยิ้มได้ไหม (ไม่ได้) ได้ยิน ได้กลิ้น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสยิ้มได้ไหม (ไม่ได้) สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะยิ้มได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นจิตที่ยิ้มทำกิจอะไร (เข้าใจว่า หสิตุปปาทจิตทำกิจชวนะ)
- เพราะฉะนั้นอเหตุกจิตที่ทำชวนกิจมีกี่ดวง (๑) เป็นชาติอะไร (กิริยา) เป็นจิตของใคร (พระอรหันต์)
- จิตอะไรที่เป็นอเหตุกจิตที่ทำจุติกิจ (สันตีรณะ) สันตีรณโสมนัสทำจุติกิจได้ไหม (มีแต่อุเบกขาสันตีรณะที่ทำกิจนี้ได้) กี่ดวง (๒) เพราะฉะนั้นเราศึกษาทั้งหมดแล้ว ๑๓ กิจ เหลืออีกกิจเดียวคือกิจสุดท้าย“ตทาลัมพพนกิจ”
- จิตอะไรที่จะทำตทาลัมพนกิจได้ (คุณสุคินบอกว่า เราคงต้องพูดก่อนว่า ตทาลัมพนะคืออะไร) เขาพูดแล้วไม่ใช่หรือ เขาฟังแล้วไม่ใช่หรือ (สรุปว่าคุณอาช่ายังไม่รู้)
- เพราะฉะนั้นเราจะพูดถึงกิจที่ ๕ ของสันตีรณจิต เพราะฉะนั้นเริ่มต้นสันตีรณจิตเป็นจิตชาติอะไร (เป็นวิบาก) เพราะฉะนั้นอเหตุกวิบากทั้งหมดมีเท่าไหร่ (มี ๕) กุศลวิบากสันตีรณะมีเท่าไหร่ (๒) เพราะฉะนั้นจิตนี้คือ สันตีรณจิตทำกิจได้ ๕ กิจในเมื่อจิตอื่นทำไม่ได้ถึง ๕ กิจ
- อุเบกขาสันตีรณวิบากจิตไม่ว่าจะเป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ ๓ กิจ และทำสันตีรณกิจ และทำตทาลัมพนกิจรับอารมณ์ต่อจากชวนกิจ ไม่ต้องรีบเลยแต่ต้องเข้าใจไม่ลืม ๕ กิจที่มีจิตประเภทเดียวที่ทำ ๕ กิจได้คือ สันตีรณจิตที่เป็นกุศลวิบากและเป็นอกุศลวิบาก
- สำหรับโสมนัสสันตีรณจิตทำได้กี่กิจ (๒ กิจ) กิจอะไรบ้าง (กิจของมันเองคือสันตีรณะและตทาลัมพพนะ) เก่งมากนะคะ จะลืมไหม (ไม่)
- ทำไมสันตีรณจิตทำตทาลัมมพนกิจได้ (ไม่รู้) เพราะเหตุว่าเป็นวิบากจิตขณะสุดท้ายที่เกิดสำหรับที่เป็นอเหตุกจิต ถ้าอารมณ์ดับก่อนตทาลัมพพนะก็เกิดไม่ได้ ครบอเหตุกจิต ๑๘ ดวงหรือยัง (ครบ)
- เดี๋ยวนี้มีอเหตุกจิตครบ ๑๘ ไหม (ไม่ครบ) ทำไม ขาดอะไร (สำหรับเราเกิดได้ ๑๗ ไม่ใช่ ๑๘) ถูกต้องไม่มีปัญหาเลย เพราะฉะนั้นคราวต่อไปเราก็ไม่ต้องพูดถึงอเหตุกะเพราะว่ามีในชีวิตประจำวันเกือบตลอดเวลา
- (อาช่ายังติดอยู่เรื่องชวนะ ก่อนที่จะพูดถึงตทาลัมมพนะอยากจะเข้าใจชวนะให้มั่นคงขึ้น) ดีค่ะ
- เดี๋ยวนี้มีจิตเห็นจิตอื่นไม่ปรากฏใช่ไหม (ใช่) แต่ว่าเห็นแล้วชอบหรือไม่ชอบปรากฏไหม (ปรากฏ) ไม่ใช่มีแต่เห็นแล้วสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะใช่ไหม (ใช่)
- เพราะฉะนั้นทั้งวันจิตที่ปรากฏก็จะเป็นอเหตุกะแล้วก็กุศลหรืออกุศล ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงจะไม่มีใครรู้จิตเหล่านั้นเลย ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นไม่ใช่มีแต่จักขุวิญญาณทีละ ๑ ขณะเท่านั้น จิตที่เกิดก่อนและจิตอื่นที่เกิดต่อจากจักขุวิญญาณไม่ได้ปรากฏเลยว่ามี เพราะฉะนั้นเวลาเห็นแล้วชอบ เห็นแล้วไม่ชอบ เห็นแล้วเป็นกุศล เห็นแล้วเป็นอกุศล เป็นจิตซึ่งพอจะรู้ได้
- ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง ไม่มีใครรู้เลยว่า เห็นเป็นจิตไม่ใช่เรา ขณะที่เป็นกุศลหรืออกุศล ชอบหรือไม่ชอบ ต้องเป็นขณะที่กำลังรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดและต้องรู้ด้วยว่า สิ่งที่เป็นสภาพรู้เกิดดับเร็วกว่าสิ่งที่ไม่เป็นสภาพรู้
- สิ่งที่ไม่เคยขาดเลยคือ “ธาตุรู้” ซึ่งเกิดดับสืบต่อตลอดเวลา เมื่อมีสิ่งที่มีอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่เคยรู้เลยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงให้เริ่มเข้าใจถูกว่า ตลอดทุกขณะมีอะไร
- เดี๋ยวนี้กำลังเห็นเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ว่า ขณะนี้ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้นที่ปรากฏนอกจากสิ่งที่จิตรู้คือ เห็น
- กว่าจะรู้จักสภาพเห็นจริงๆ ทั้งๆ ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ก็ต้องอาศัยการฟังและค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยเพราะทุกอย่างที่ปรากฏเหมือนไม่ได้ดับไปเลย
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่ใครก็ไม่รู้ ขณะนี้ไม่ใช่มีแต่จิตเห็นแต่มีจิตอื่นๆ ด้วยซึ่งถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ก็จะยึดถือเห็นว่าเป็นเราโดยไม่รู้ว่า เห็นไม่ใช่จิตอื่นๆ
- สภาพรู้ที่มีในชีวิตหลากหลายมากแต่ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ ไม่มีใครรู้ว่า ทั้งหมดไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น ทุกอย่างที่มีที่ปรากฏเดี๋ยวนี้สั้นมากเกิดแล้วดับไปสืบต่อไม่รู้เลยว่า สั้นที่สุด เร็วที่สุด ถ้าไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้ไหมว่า ขณะนี้สิ่งที่มีหมดแล้วไม่เหลือเลย
- ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้ไหมว่า ธาตุรู้หรือสภาพรู้มีหลากหลายมากมายทั้งวัน ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
- ประโยชน์ที่ได้รู้ว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรบ้าง ทำให้ค่อยๆ รู้ว่า เราไม่สามารถจะรู้ความจริงถ้าไม่ได้ฟังธรรมเพราะฉะนั้นการฟังธรรมเพื่อเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ว่าเป็นอย่างนี้จนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริง ไม่ใช่เพียงฟังเฉยๆ เชื่อว่าความจริงเป็นอย่างนี้แต่ไม่รู้แจ้งอย่างนี้
- ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเดี๋ยวนี้สามารถจะรู้ได้ไหม (ถ้าปัญญาเจริญพอรู้ได้) เดี๋ยวนี้รู้ไหม เดี๋ยวนี้รู้ได้หรือยัง (เวลานี้ยังไม่รู้) สมควรจะรู้ไหม (สมควร) มีหนทางจะรู้ไหม (มี) หนทางนั้นคืออะไร (คืออย่างที่ทำอยู่คือ ฟัง สนทนา ฟังเพื่อเข้าใจเพิ่มขึ้น) อีกนานไหมกว่าจะรู้อย่างนี้ (อีกนานมาก) เบื่อไหม (คุณอาช่าบอกว่าไม่เคยเบื่อ)
- พูดถึงเห็น กำลังเห็นตลอดเวลา พบกันอีกก็พูดเรื่องเห็นอีก กำลังเห็นอีก เพื่ออะไร (เพราะว่ามีจริงและเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา) เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองตรัสอย่างนี้ทุกครั้ง
- เพราะฉะนั้นคุณอาช่าก็ได้ฟังเรื่องของจิต ๑ ประเภทคือ ประเภทที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยครบทั้ง ๑๘ ดวงและทั้ง ๑๔ กิจ เพราะฉะนั้นทบทวนเอง มีอะไรสงสัยคราวหน้าเราก็จะได้สนทนากัน ถ้าไม่มีคราวหน้าเราก็จะได้พูดถึงจิตที่ประกอบด้วยเหตุ
- เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราพูดถึงแค่จิตแต่พูดถึงจิตนัยต่างๆ ในนัยที่ประกอบด้วยเหตุก็มีที่ไม่ประกอบด้วยเหตุก็มี โดยอีกนัยหนึ่งพูดถึงจิตที่เกิดเป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นวิบากก็มี เป็นกิริยาก็มี เพื่อไม่ลืมความจริง เพื่อรู้ความจริงเพิ่มขึ้นว่า เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เองเป็นอย่างนั้นจนกว่าปัญญาประจักษ์แจ้งความจริงเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ที่ได้ฟัง
- มั่นใจในความจริงเดี๋ยวนี้ไหม (มั่นใจ) ก็เป็นผู้ฟังธรรมเป็นสาวกสาวิกาผู้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ยินดีด้วยในกุศลของคุณสุคิน ขอบพระคุณมากและยินดีในกุศลของคุณอาช่าและของทุกคนที่มั่นคงที่เห็นประโยชน์สูงสุดในชีวิตที่จะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อรู้ความจริงยิ่งๆ ขึ้น สวัสดีค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณสุคิน คุณอาช่า และสหายธรรมชาวอินเดียทุกท่าน
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลคุณอัญชิสา (พี่สา) ในความอนุเคราะห์ช่วยตรวจทาน
กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นในกุศลทุกประการครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดี
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ เป็นอย่างยิ่ง ที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ ทุกคำ เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง
และยินดีในกุศลของผู้ช่วยตรวจทาน และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ