ธรรมะเป็นธรรมะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ณ กาลครั้งหนึ่ง สนทนาธรรมบ้าน ซ.พัฒนเวศม์ 10 ต.ค. 66
ต้องฟังตั้งแต่ต้นทุกคำ จึงจะสามารถเข้าใจได้ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลย ... สภาพธรรมะเกิดดับ ... แล้วไม่รู้สภาพธรรมะคืออะไร ... ฟังแค่นี้ว่าธรรมะเกิดดับ ... รู้แล้วหรือ ... เจอคำไหนเราคิดของเราเองหมดและสงสัยด้วย ถ้าไม่สงสัยก็ไตร่ตรองว่าที่เราคิดนั่นถูกแล้ว ... แต่ไม่ใช่ ต้องรู้อย่างลึกซึ้งมั่นคง ... เวลานี้ใครรู้ลึกซึ้งมั่นคงว่าไม่มีเรา
เริ่มเรียนตั้งแต่ต้น เข้าใจตั้งแต่ต้นว่าธรรมะคืออะไร ... ฟังเหมือนเรารู้จักคำที่พูด ... แต่ไม่ได้เข้าใจจริงๆ เข้าใจเพียงคำ เกิดก็รู้ ดับก็รู้ ตายก็รู้ กินก็รู้ เห็นก็รู้ รู้หมด เพราะฉะนั้น พออ่านถึงพวกนี้ เราไม่ได้คิดถึงความลึกซึ้ง ... คิดว่าเรารู้หมด เราไปสงสัยตรงโน้น ... ตรงนี้ เพราะฉะนั้น แสดงว่าความเข้าใจของเรายังไม่ใช่พื้นฐานที่ละความไม่รู้
มีใครบ้างไหมฟังธรรมแล้วเริ่มรู้ว่า "ธรรมะ" ไม่เหมือนอย่างที่เราคิด!!! ความลึกซึ้งของธรรมะคืออะไร ทุกอย่างเป็นธรรมะนั้นกินความแค่ไหน เราไม่ได้ไตร่ตรองจนกระทั่งมั่นคงว่าธรรมะเป็นธรรมะ
คิดเองไม่ได้ ถ้าได้ยินคำไหนแล้วอย่าคิดเอง ... ไม่มีทาง เช่น "ธรรมะ" มั่นคงไหม นอกจาก "ธรรมะ" มีอะไรไหม ... ไม่มี ... เพราะฉะนั้น อะไรเป็นธรรมะ!! (เห็นเป็นธรรมะ) ... เห็นเป็นกรรมหรือเปล่า!! (เป็น ... เป็นผลของกรรม) เราไม่ได้ตั้งต้นมั่นคงทีละเล็กทีละน้อย เพียงแต่เราจำมาว่า ผลของกรรมคือเห็น เพราะฉะนั้น พอใครถามว่าผลของกรรมมีอะไร ก็ตอบว่าเห็น ได้ยิน ... เราตอบแต่เข้าใจธรรมะไหม!!
ถ้ารู้ธรรมะจริงๆ มีความลึกซึ้งถึงความเป็นพระอรหันต์
เดี๋ยวนี้เป็นกรรมหรือเปล่า ... เป็นเรื่องของความเข้าใจ ไม่ใช่ฟังตามเขาว่า ต้องรู้จักตัวธรรมะ เมื่อใดที่เราฟัง ... ต้องมั่นคงว่าเรายังไม่รู้จักธรรมะ เรารู้จักคำว่า "ธรรมะ" แล้วเราเข้าใจความหมายของคำว่า "ธรรมะ" แต่เดี๋ยวนี้เป็นเรา เพราะฉะนั้น ศึกษาธรรมะเพื่ออะไร!!!
มีคำที่เราจำได้ มีคำที่เราพูดทั้งนั้นเลย ไม่ใช่ไม่เข้าใจนะ กรรมคืออย่างนั้น ธรรมะคืออย่างนี้ ... แต่นี่เรา!!! ไหนล่ะธรรมะ!!! สรุปว่าเราจำแล้วคิดว่าเราเข้าใจ ถ้าจำก็ต้องลืม ถ้าเข้าใจแล้วไม่ลืม
ไม่ได้อยู่ที่คำ แต่อยู่ที่เข้าใจในธรรมะ ที่ใช้คำนั้น เพื่อให้รู้ว่าหมายความถึงธรรมะอะไร ทุกอย่างต้องไตร่ตรองว่าหมายถึงตัวธรรมะ ไม่ใช่แค่เรียกชื่อ "เห็น" แต่ตัวเห็นต่างจากชื่อ "เห็น" เราก็คิดแต่เพียงตัวเห็นหรือว่าคำว่า "เห็น" เพราะฉะนั้น เราก็ยังไม่รู้จักคำว่า "เห็น"
เชิญฟัง
ณ กาลครั้งหนึ่ง “สนทนาธรรมที่ บ้าน ซ. พัฒนเวศม์” วันอังคารที่ ๑๐ ต.ค. ๖๖
🟥 youtu.be/L9FJZkGIpzk?si=2y_nXSR4at0iPClj
🟦 fb.watch/nK1l0lWhwf/?mibextid=Na33Lf
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
ธรรมะที่เราได้ยินได้ฟัง ลึกซึ้งเกินกว่าที่ใครจะคิด เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่จะรู้ว่าลึกซึ้ง ก็คือว่าพระพุทธเจ้าตรัสถึงความจริงของสิ่งนั้น แต่สิ่งนั้นไม่ได้ปรากฏกับคนที่เข้าใจถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องปรากฏถึงจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้ปรากฏ ... เห็นเป็นอะไรล่ะ ... ก็กำลังเห็นแท้ๆ แต่เป็นอะไร!!! เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะเข้าใจได้อย่างไร ... ต้องฟังอย่างละเอียด ต้องพิจารณาอย่างละเอียด จึงจะสามารถเข้าใจความลึกซึ้งได้ ... แค่คำว่า "ธรรมะ"
"เห็นเป็นสิ่งที่มีจริง" แค่หกคำและกำลังมีด้วย จริงนะที่เห็น แต่ไม่รู้ว่าเห็นคืออะไร ... จึงเป็นเราเห็นตลอดไป ... ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้แหละ ... เราทั้งนั้น และกว่าจะเอาเราออกไป ... คิดดู!!
เพราะฉะนั้น ฟังแล้วไม่ใช่ว่าเราจะเข้าใจทันที เพียงนำให้เราคิด เพราะเราไม่เคยคิด ถ้าไม่นำมาให้เราคิดถูก ... เราก็คิดผิดของเราไปเรื่อยๆ ฟังแล้วคิดพิจารณาถึงจะเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
เพราะฉะนั้น ทุกคนรู้ตัวเองว่าเข้าใจเห็นแค่ไหน วันนี้ตั้งแต่เช้ามา เมื่อวานนี้ทั้งวัน วันก่อนทั้งวัน ตั้งแต่เริ่มฟังธรรมะมาทั้งหมด ... เข้าใจเห็นแค่ไหน!!! ถ้าไม่อย่างนั้นไม่มีทางรู้จักพระพุทธเจ้า ไม่มีทางละคลายกิเลส เพราะว่าการฟังของเราไม่ได้ไตร่ตรองพอถึงความหมายที่ลึกซึ้ง เห็นนี่ทุกคนมี แล้วความหมายที่ลึกซึ้งคืออะไร เกิดด้วย ... ดับด้วย
ผู้ที่ฟังคำของพระองค์ให้เริ่มสะสมนิสัยใหม่ที่จะฟัง พิจารณาไตร่ตรอง ไม่ผ่าน ไม่เผิน เพราะว่าพระธรรมลึกซึ้ง แต่ก็ยังผ่าน ยังเผิน ไม่สะสมนิสัยที่จะเข้าใจธรรมะ
ไม่ได้ฟังธรรมะมานานเท่าไหร่ ... แสนโกฏิกัปป์ ... แล้วจะเอามาเทียบกันได้ไหม ... โง่มาก ... ถ้ารู้ตัวก็จะเริ่มสะสมไป ... โง่มานานเท่าไหร่ ... ชาตินี้ลองบอกมาว่ากี่ขณะที่ฟัง!! แล้วจะว่าฟังตั้งนานไม่เข้าใจ จับด้ามมีดไปสิ!! ด้ามจริงๆ ยิ่งใหญ่กว่าภูเขาสิเนรุ แล้วปัญญาที่จะไปจับเท่าปลายเล็บ เอาไปขูดสิ ไปเขี่ยสิ จนกว่าภูเขาจะหมด แล้วก็เทียบกับแสนโกฏิกัปป์ เพราะฉะนั้น ฟังแล้วไม่หวัง นั่นคือหนทาง แต่ถ้าฟังด้วยหวัง ... ปิดกั้นทันที ตัวความหวังนี่ปิดมาตลอด เพราะไม่รู้ความจริง แล้วก็อยาก แล้วก็ไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะรู้ได้ ... มัวแต่นั่งอยาก
ความอยากก็เกาะติด ... แล้วลองคิดถึงกำลังของปัญญา สามารถละความอยากได้ในรูปแบบทุกรูปแบบ ถ้าขณะนี้กำลังเห็นปกติอย่างนี้ คิดถึงคำนี้ทีไรไม่รู้ ... ไม่มีทางเป็นพระโสดาบัน เพราะยังสงสัย เพราะยังไม่รู้ในสิ่งที่กำลังมี
ไปนั่งไปนั่งทำอะไรไม่ต้องฟังแล้วเดี๋ยวนี้รู้อะไรแล้วพระองค์ตรัสให้ทำอย่างนี้หรือ ... แล้วทำไมไปทำ ถ้าไม่อยากจะทำไหม!!
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
คนอยากรู้พระนิพพานที่สุด ขณะนี้เห็นก็ไม่รู้ ได้ยินก็ไม่รู้ แล้วยังอยากไปรู้อะไรที่ไม่ปรากฏ ถ้าอย่างนั้นถามใหม่ก็ได้ ... ใครอยากหมดกิเลส!! อยากใช่ไหม ... ยังไม่รู้ว่ากิเลสอยู่ไหน!! จนกว่าจะรู้ว่าไม่รู้นี่นะแสนนานมาก เพราะว่ามันไม่รู้ไปหมดทุกอย่าง ไม่ว่าอะไร แล้วก็อยากรู้ ถ้าไม่ฟัง ฟังแล้วไม่ไตร่ตรอง ไม่ค่อยเข้าใจขึ้นทีละน้อย จะถึงการที่สามารถฟันฝ่ากระแสคลื่นพายุของอกุศลได้ไหม!!!ตั้งแต่เช้ามาเห็นก็เป็นอกุศลแล้ว ได้ยินก็เป็นอกุศลแล้ว ... ทุกอย่างหมด เพราะฉะนั้น ประมาทไม่ได้เลย ฟังเพื่อค่อยๆ เข้าใจ ไม่ต้องไปห่วงว่าเมื่อไหร่จะดับกิเลส ... กิเลสมันเยอะ
ถ้าไม่ฟังธรรมะเลย เราก็อยู่กับกิเลส แต่การที่คนมาสนใจศึกษาแบบนี้ แปลว่าอยากหมดกิเลส และไม่ต้องเกิดอีก แม้จะนานไกลเท่าไหร่ ...
อยากหมดกิเลส ... แต่ความอยากไม่สามารถทำให้หมดกิเลส นอกจากฟังให้เข้าใจ ... กว่าจะเป็นคนตรง ฟังทำไม ... ฟังเพราะอยากไปนิพพานหรือ!!! นิพพานคืออะไร!!! กิเลสยังมีเต็มตัวอย่างนี้หรือจะไปนิพพาน ... เอากิเลสไปนิพพานหรือ!!! หรือว่าเพื่อดับกิเลส และกิเลสอยู่ไหน ระดับไหน อย่างละเอียดต้องหมดนะ ไม่ใช่หมดแต่อย่างหยาบ มองดูเหมือนไม่มีกิเลส แต่ไม่ใช่ แม้นิดเดียวก็ต้องหมดไม่เหลือเลย ความเห็นผิดมีไม่ได้ ความสงสัยในสิ่งที่กำลังปรากฏยังเหลืออยู่ไม่ได้ ... ไม่มีทางที่จะเป็นผู้ดับกิเลส
ปัญญาที่เพิ่มขึ้นรู้ทุกอย่างที่ขณะนั้นกำลังปรากฎ ว่าเป็นสิ่งนั้นไม่ใช่เราโดยความเป็นอนัตตา ... จะยากขึ้นอีกเท่าไหร่ เพราะทุกคนเพียรด้วยความเป็นตัวตนน่ะทำได้หมด ... ไปแบกฟืน ไปขึ้นเขา อะไรก็ทำได้หมดเพื่อความเป็นเรา แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรานะที่จะถึงได้ ที่จะรัูได้ ยิ่งยากขึ้นไปเท่าไหร่ อดทนเท่าไหร่ ที่จะไม่ไปทำด้วยความเป็นเรา ที่จะเข้าใจการปรุงแต่งของสังขารธรรมที่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปตามกำลังของปัจจัย
ฟังแล้วเข้าใจแค่ไหน ฟังแล้วยังไม่เข้าใจเลย จะรีบไปไหมล่ะ หรือว่าเข้าใจก่อนสิ ... จะรีบไปไหนล่ะ รีบไปก็ไม่เข้าใจ เจอแต่ที่ไม่เข้าใจเหมือนเดิม
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ธรรมเตือนใจ ... เก็บไว้ในหทัย ... ณ กาลครั้งหนึ่งบ้าน ซ.พัฒนเวศม์ 10 ต.ค. 66
เห็นเป็นผลของกรรม เห็นไม่ใช่กรรม
เห็นรูปแบบของความอยากไหม ... ไม่รู้ตัวเลย ... มาแล้วทุกรูปแบบ
เกิดมาต้องมีเห็นแน่นอน เพราะมีปัจจัยให้เป็นเช่นนั้น เพราะสะสมมา เราพูดเรื่องราวหมดเลย แต่ตัวจิตเรายังไม่รู้ เราพูดได้หมด ... เป็นเรื่อง แต่นักวิทยาศาสตร์ว่าเสี้ยววินาทีแตกย่อยลงไปลึกเท่าไหร่ แล้วเขารู้เดี๋ยวนี้ไหม!!!
เพราะฉะนั้น คำเดียวแตกออกไปเป็นความคิดมากมายโดยนัยแตกต่างกัน นักวิทยาศาสตร์ หมอ แพทย์ อะไรมากมาย ... แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้
ถ้าไม่พูดถึงเห็น จะมีการเริ่มที่จะนึกถึงเห็นไหม? ถ้าไม่มีการฟังขณะนี้ จะถึงการปรุงแต่งที่จะให้เข้าใจขณะต่อไปเพิ่มขึ้นได้ไหม?
ธาตุรู้อะไรที่มีประโยชน์ ... ปัญญาต้องเป็นระดับญาตปริญญา (ญาตปริญญา ตีรณปริญญา ปหานปริญญา ) เวลาเรียนต้องใส่ใจให้เข้าใจจริงๆ ต้องรู้ว่าเรียนต้องเข้าใจ ... แค่นี้น่ะยังไม่พอ สามารถเข้าใจมากกว่านี้ได้อีก ยังไม่พออีก ไม่มีวันพอ จนกว่าจะรู้ถึงตัวธรรมะ
เห็นทุกคนใช่ไหม ... ใครรู้จักเห็น!!! เพราะฉะนั้น จะมีคนรู้จักเห็นไหม ... ต้องมี ... แล้วจะต่างกันไหม ... ต่างกันเราฟังแต่ละคำ เราคิดของเราเยอะมาก แต่ว่าตรงไหม ... เผินมาก ... ยังบอกว่าปัญญาเกิดจากเห็น ... ไม่ถูกต้อง เพราะทุกคนกำลังเห็นแต่ไหนปัญญาเกิดบ้าง!!! นี่คือความละเอียดอย่างยิ่ง เผินไม่ได้ เผินผิดแน่ๆ ตลอดเวลา
พี่งคำ คือ แต่ละคำที่ได้ฟังต้องไตร่ตรองละเอียดลึกซึ้ง จึงสามารถจะถึงความลึกซึ้งของธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประจักษ์แจ้งและทรงแสดง
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ