เพราะความเป็นเรา จึงมีคนอื่น

 
nattawan
วันที่  21 ต.ค. 2566
หมายเลข  46818
อ่าน  442

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ณ กาลครั้งหนึ่งสนทนาธรรม บ้านซ.พัฒนเวศม์ 29 ก.ย. 66

มีความสุขที่ได้รู้ว่าอีกแสนไกล แต่ขอให้มั่นคงถึงจะเป็นบารมี เพราะกิเลสย้อนไปแสนโกฏิกัปป์ ตั้งแต่เกิดมาไม่รู้นานเท่าไหร่ ไม่รู้เห็นที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ และกว่าจะได้ฟัง และกว่าจะอดทนที่ไม่ใช่เราจะไปทำ ขวนขวายอีก นิดหนึ่งก็ผิดทาง (มิจฉาปฏิปทา) นี่คือความลึกซึ้ง

ตั้งแต่วันนี้ที่ได้ฟังอย่างนี้แล้วทุกคนจะเป็นอย่างไร เป็นตัวตนที่คิดว่าเราจะทำอย่างนี้ จะมั่นคงอย่างนั้น ... แต่ไม่รู้ ... นี่คือความเป็นไปซึ่งมันเกิดต่อทีละหนึ่งขณะ เพราะฉะนั้น ฟังแล้วก็เบิกบานที่ว่าไม่ต้องไปคอยว่าเมื่อไหร่ ... เข้าใจขึ้นบ้างไหมเท่านั้นเอง และเข้าใจมาจากไหน มาจากฟัง ทุกคนได้ยินหมด แต่ใครจะคิดละเอียดใครจะตรง จึงสามารถที่จะรู้ว่าแค่ได้ยินเหมือนกันหมด คือ ได้ยินแต่ได้ยินแล้วคิดอะไร ... มันต่างกันแค่ไหน!!! เข้าใจแค่ไหน เห็นความลึกซึ้งแค่ไหน

เพราะฉะนั้น คำเดียว ... ฟังแล้วฟังอีก ... ฟังแล้วฟังอีก เพราะถ้าอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่รู้เดี๋ยวนี้ที่เกิดดับ มันไม่มีทางละกิเลส แล้วจะไปทำอะไร เป็นเรื่องเข้าใจจริงๆ ว่าต้องเป็นความเข้าใจในสิ่งซึ่งไม่ปรากฏตามความเป็นจริง ค่อยๆ ปรากฎ

พระธรรมลึกซึ้งแล้วก็กระทำให้ตื้น แค่นี้ยังต้องพิจารณา ตื้นได้อย่างไรก็บอกว่าพระธรรมลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นการพิจารณาให้เข้าใจแม้ตรงนี้ต้องละเอียด พิจารณาอย่างไรถึงจะเข้าใจตรงนี้ตื้นคือทำให้ปรากฏ ถ้าไม่พิจารณาเราจะเข้าใจไหม ข้อความสั้นๆ ในพระไตรปิฎกเราก็งง พระธรรมลึกซึ้งทำให้ตื้น จะตื้นได้อย่างไรเพราะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ลึกซึ้งก็คือลึกซึ้ง แต่ตื้นนี่หมายความว่าทำให้ปรากฏ เห็นนี่แหละ ลึกซึ้งนี่แหละ ทำให้ปรากฏ

กว่าจะรู้จักเห็น ... กำลังเห็นแท้ๆ พูดอย่างไรก็ไม่รู้จักสักที จำได้แต่ว่าไม่ใช่เรา ... เป็นธาตุรู้ แค่ธาตุรู้นี่ปรากฏไหม!! ทั้งวันตั้งแต่เกิดใครรู้จักธาตุรู้ เพราะฉะนั้น ต้องตรงและเข้าใจความลึกซึ้ง พยายามสักนิดด้วยความเป็นตัวตนก็ผิดทาง ต้องให้เป็นปกติ แต่ปกติคือไม่ทอดทิ้งละเลยการฟังธรรม เพราะว่าสุตะหรือสุตังคือฟัง ทุกคนก็รู้ใช่ไหมว่าฟัง แต่ในพระไตรปิฎกความหมาย คือ ไม่ลืมคำที่ได้ฟังลึกลงไปกว่านั้นอีกฟังแล้วก็ได้ยิน ... ก็ลืม ... แต่สุตังต้องฟังแล้วไม่ลืมคำที่ได้ฟังที่พูดมาเมื่อกี้ทั้งหมดไม่ลืม

ณ กาลครั้งหนึ่ง “สนทนาธรรมที่ บ้าน ซ. พัฒนเวศม์” วันศุกร์ที่ ๒๙ ก.ย. ๖๖ (ช่วงเช้า)

🟥 youtu.be/biA0FRNcLog?si=vKlcRLzJxcnxdJ0I

🟦 fb.watch/nNUpmwFkvV/?mibextid=Na33Lf

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nattawan
วันที่ 21 ต.ค. 2566

ต้องค่อยๆ เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของพระธรรม และมั่นคงว่า กว่าจะรู้ไม่ใช่ใครไปทำ แต่ความเข้าใจจริงทีละน้อย ... ทีละน้อยนี่เหมือนอะไรที่เป็นก้อนใหญ่มหึมา เป็นจักรวาล ทั้งเหมียว และเราจะให้มันออกไป โดยการที่ไม่รู้และยึดถือว่าเป็นเราไปหมดทุกอย่างทสงตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จึงต้องสำนึกคือเข้าใจให้ถูกต้อง ธรรมะลึกซึ้งจริงๆ หนทางเดียวคือเบิกบานที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังแล้วเข้าใจถูกต้อง ... ไม่เข้าใจผิด

เห็นประโยชน์ของความต่างแห่งความเข้าใจถูกกับความเข้าใจผิด ถ้าเข้าใจผิดไม่มีทางที่จะมานั่งฟังแล้วฟังอีก ... ฟังแล้วฟังอีก ไตร่ตรองแล้วไตร่ตรองอีก เข้าใจทีละน้อยก็ค่อยๆ จะขยับสิ่งที่เหนียวแน่นค่อยๆ ออกไป ค่อยๆ ออกไป มันออกหรือยัง แตะหรือยัง ได้ยินแต่ว่ามันอยู่ตรงนี้ แต่ไม่แตะ ... ไม่มีปัญญาจะแตะ เพราะต้องมีกำลังแค่ไหนถึงจะไปแตะได้ และแตะนี่แตะแผ่วๆ กว่าจะมั่นคงจนกระทั่งสามารถรู้ความจริงได้

เพราะฉะนั้น ทั้งหมดที่คนจะรู้จักพระองค์ คือ ไม่ประมาทและเห็นความลึกซึ้ง และปิติที่ได้รู้จักความลึกซึ้ง ซึ่งไม่หวั่นไหวเลย ปกติเดี๋ยวนี้ถ้าไม่มีความเข้าใจ ... ไม่ถึง แต่ความเข้าใจทีละน้อย ... ทีละน้อยนี่แหละ ... มากก็ไม่ได้ ... ใช่ไหม!! กว่าจะพิจารณาแต่ละคำให้มั่นคง เขาทำหน้าที่ของเขาเอง เพราะฉะนั้น เราก็เบิกบานในธรรมะ ร่าเริงในธรรมะ อาจหาญ ร่าเริง อย่างคนในยุคนั้นพอฟังจบก็ สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง

ฟังพระธรรมเท่าไหร่ก็ไม่พอ เพราะว่าเป็นขณะที่เข้าใจเท่านั้น ที่จะค่อยๆ ไปถึงการที่จะแตะสิ่งที่มีลักษณะที่ไม่ใช่เราจริงๆ ความรู้ต้องแค่ไหน เพราะใครๆ ก็กระทบสัมผัสทุกวันทุกชาติ ... แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น ฟังให้มั่นคงจริงๆ ว่าปัญญาอย่างเดียว แล้วไปเอาปัญญาจากไหน ถ้าไม่ฟังคำของพระองค์ และประมาท ไม่ไตร่ตรองว่าเรารู้แค่ไหน แม้แต่คำว่าธรรมะ พูดได้ นามธรรม รูปธรรมมีทั้งวัน รู้อันไหน ... ได้แต่จำ เพราะฉะนั้น สัญญาความจำที่มั่นคง ว่าเป็นธรรมะค่อยๆ นำไป ทุกอย่างค่อยๆ นำไปทีละหนึ่งขณะ เทียบเคียงกับที่ไม่รู้มานานเท่าไหร่ ... ก็รู้ได้เลย ไม่มีทางที่ใครจะไปประจักษ์การเกิดดับ มีการเกิดดับแต่ไม่รู้อะไรเลย ... แล้วมีประโยชน์อะไร!!!

กว่าจะรู้ถึงความไม่มีเรา ทรงแสดงถึงอาสวะ (กิเลสอย่างบางที่สุด) หลังเห็นดับไป 3 ขณะ ทำไมรู้ว่ามันบางแค่นั้น ก็เรานั่งอยู่ใช่ไหม ก็เราได้ยินใช่ไหม ก็เราเห็นใช่ไหม จะเอาเราออกได้อย่างไร มันบางจนกระทั่งไม่ปรากฏ ... แต่เป็นเรา ไม่ต้องไปหาเราอยู่ไหน อยู่ที่เห็น ที่ได้ยิน เป็นเราจริงๆ จนกว่าจะไม่เป็นเรา อีกนานเท่าไหร่ และไม่ใช่ให้รีบขวนขวาย ... เป็นปกติตามปัจจัยคือปัญญาค่อยๆ ชะล้างโลภะ ความติดข้อง ความอยาก ทำไปเถอะ ... หลงกันไป เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่านี่เป็นอริยสัจจธรรมที่ 4 คือหนทางที่จะประจักษ์แจ้งในอริยสัจจธรรมที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ถ้าเข้าใจถูกต้องเป็นปัญญาแน่ ต่างกับที่ฟังแล้วอยากทำโน่น อยากรู้เร็วๆ พูดได้อย่างไร ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ... เมื่อไหร่จะรู้

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nattawan
วันที่ 21 ต.ค. 2566

ทุกคำถ้าไม่อ่านและไตร่ตรองให้ถึงความลึกซึ้งแต่ละคำ ก็เข้าใจผิด ไปนั่งปฏิบัติ นี่ไงทำให้ตื้น อะไรตื้น ... สิ่งที่ไม่รู้นั่นแหละ แต่ว่าสิ่งที่จะรู้นั่นลึกซึ้งทำให้ตื้น ทำให้สามารถปรากฏได้ทั้งๆ ที่ลึกแสนลึก

เห็นอยู่ที่ไหน ถ้าไม่รู้ว่าตั้งแต่เกิดมีธาตุรู้ จนกว่ามีอะไรกระทบตา ธาตุรู้นั้นเปลี่ยนจากการไม่เห็น มาเป็นรู้สิ่งที่ปรากฏกระทบตา คือเกิดขึ้นเห็นแต่ละหนึ่งขณะเกิดดับเป็นไปตามปัจจัย ต้องฟังด้วยความเคารพสูงสุด และเบิกบานว่ามีโอกาสได้รู้จริงๆ ได้เข้าใจจริงๆ มิฉะนั้นจะเอาความรู้จริงตรงไหนมารู้

ถามไปเถอะ คำตอบมีทั้งหมดในพระพุทธศาสนา แต่ต้องไตร่ตรองให้ตรง

"ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ยากที่จะรู้มากว่าไม่มีเรา ไม่ใช่เรา" ทำไมจะไม่เริ่มต้นล่ะ ฟังแล้วคิดบ้างไหม ว่าเกิดบ้างไหมในวันหนึ่งๆ ... ไม่มีเลย เป็นเราตั้งแต่ตื่นจนถึงเดี๋ยวนี้ จนกว่าฟังเมื่อไหร่ ค่อยๆ ไม่ลืม ว่าธรรมะคือเดี๋ยวนี้

คนที่ไม่ได้สะสมมาที่จะฟังว่าไม่ใช่เรา ฟังแล้วก็จะถอยเลยนะ ... อะไรฟังไม่รู้เรื่อง อะไรเห็นไม่ใช่เรา ได้ยินไม่ใช่เรา ... แล้วเขากราบไหว้ใครล่ะ เขาคิดว่าไหว้พระพุทธเจ้า เขากราบ เขานับถือ แต่ถ้าไม่รู้จักแล้วไหว้อะไร!!เพราะฉะนั้น ไหว้ด้วยความเข้าใจนั่นแหละถูกต้อง ไม่อย่างนั้นไหว้ใครไม่รู้จริงๆ มีแต่ชื่อ มีแต่ภาพ จำไว้ เรียกได้ ไหว้ไป พระองค์ไม่ได้ให้ใครไม่ตรง แม้แต่จะกราบไหว้ก็ต้องตรง แสดงว่าความไม่รู้มันมากแค่ไหน

ความลึกซึ้งนั้นไม่มีใครคิดเปรียบเทียบไตร่ตรองจนรู้ความจริง ว่ามันคืออย่างนั้น ความจริงคือ มีเห็น มีรูปร่างสัณฐานปรากฏ มีความทรงจำว่าเป็นอะไร แล้วก็ยิ้มไปหัวเราะไปเหมือนคนบ้าไหม ... ทั้งวันเลย ... มาหมดทั้งตา ทางหู ถ้าไม่เคยเห็นมิกกี้เม้าส์ไม่เคยหัวเราะมาก่อน พอได้ยินชื่อจะไม่หัวเราะไม่ได้ แค่นี้หัวเราะแล้วจากเสียงแทนภาพน่ะ ... บ้าแล้ว

จากความเป็นรูปเป็นร่าง ก็คือทางเสียงก็เป็นเช่นกัน ... ทุกอย่าง ... ถ้าเห็น จำสิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าได้ยิน จำเสียงหลากหลายมาก นิมิต อนุพยัญชนะ แม้แต่เสียงใคร แค่มิกกี้เม้าส์แค่นี้ ... หัวเราะ ...

สังเกตว่าทุกคนมีปฏิกิริยาเหมือนกันพอได้ยินคำมิกกี้เม้าส์ อย่างกับรู้จักมิกกี้เม้าส์ เหมือนกับอย่างรู้จักทุกคน แต่นั่นเคลื่อนไหวโดยความคิดจากเส้น อันนี้เคลื่อนไหวทสงตาที่เห็นเคลื่อนไหว ไม่ได้ต่างกันเลยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อยู่โลกไหนมีแค่นี้จริงๆ

ถึงไปเกิดในเทวโลก พรหมโลก ถ้าไม่รู้จักนามธรรม รูปธรรม ไม่ใช่หนทางที่จะรู้ความจริง เป็นมิจฉาปฏิปทา

คำแต่ละคำนี่ละเอียดมากๆ ในแต่ละชื่อทรงแสดงไว้ ถ้าไม่ฟัง ไม่ละเอียด ไม่ไตร่ตรอง จะไม่เห็นคุณของพระองค์เลย ว่าทุกคำตรัสถึงสิ่งที่มีจริงของทุกคน ทุกภพ ทุกชาติ ในรูปลักษณ์ต่างๆ กัน

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nattawan
วันที่ 21 ต.ค. 2566

ธรรมเตือนใจ ... เก็บไว้ในหทัย ...

ณ กาลครั้งหนึ่ง สนทนาธรรม บ้านซ.พัฒนเวศม์ 29 ก.ย. 66

คำของพระพุทธเจ้าไม่ใช่อย่างนั้นไม่ใช่ฟังแล้วไปจำคำว่าอยากรู้ แต่ทุกคำพูดถึงสิ่งที่มีจริงตามลำดับ

สัญญาขันธ์ หนึ่งขันธ์ปรุงแต่ง ... ฟังไปเถอะ อยู่ตรงนี้ทั้งนั้นนั้นก็ไม่รู้ว่า นี่คือพระมหากรุณาทั้งๆ ที่อยู่ตรงนี้ ก็ไม่รู้เลย หลงไปหมดว่ายังอยู่ ของท่านนี่ก็ต้องรู้ว่าอยู่ตรงนี้ ... เกิดและดับ ... กว่าจะละ เพราะฉะนั้น มีไหมที่จะไม่ฟังพระธรรมให้เข้าใจ ... ไม่ใช่ฟังเฉยๆ

เห็นแล้วจำ เพราะฉะนั้น มีโลก 6 โลกแล้วแต่จะปรุงแบบไหน ปรุงแบบเห็นในโทรทัศน์ เขาร้องไห้ บางคนก็ร้องตาม ใช่ใหม แล้วอะไร ... เห็นอะไรแล้วมานั่งน้ำตาไหล ... บ้าหรือดี ... บ้าเพราะไม่รู้

สิ่งที่เราได้ฟังแล้ว แค่ฟังหนึ่งครั้งไม่พอ สองครั้ง สามครั้ง สี่ครั้ง ... ไม่พอ ... ต้องคิดไตร่ตรองละเอียดขึ้น ... ละเอียดขึ้น

เกิดมานี่เป็นผลของกรรม ยังไม่เห็นไม่ได้ยิน แต่ต้องเห็นต้องได้ยิน กรรมไม่ได้ให้ผลแค่ไม่ต้องเห็นไม่ต้องได้ยินเลย เกิดมาแค่นี้ แต่ผลของกรรมต้องมีการเห็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ได้ยินก็ต้องเป็นผลของกรรม ได้ยินเสียงที่ไม่ดีหรือดี เลือกไม่ได้เลย เป็นอย่างนั้นจริงๆ

ทำไมบางครั้งเห็นสิ่งที่น่าพอใจ บางครั้งเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ถ้าไม่มีกรรมเป็นเหตุที่จะให้ผลของกรรมเกิดแล้ว นั่นคือเห็นสิ่งที่น่าพอใจ สวยๆ งามๆ ... ผลของกรรมเกิดแล้วนะ ให้เห็นสิ่งที่เลือดเต็มถนน หนอนเยอะแยะไปหมด และก็ทางหู ทางอะไรทั้งหมด เกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าไม่มีเหตุที่ทำให้ต่างกัน

อยากเข้าใจ ต้องฟังแล้วไตร่ตรอง จึงจะเข้าใจ ไม่ใช่ฟังแล้วอยาก ไม่มีทางเข้าใจ

เพราะความเป็นเรา จึงมีคนอื่น

จนกว่าจะรู้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมไม่ใช่เรา ให้ตรงกับที่พูดว่า ทุกอย่างเป็นธรรม

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 21 ต.ค. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ