ขับรถยนต์ จะเจริญสติปัฏฐานได้ไหมครับ
ขับรถยนต์ จะเจริญสติปัฏฐานได้ไหมครับ
ท่านอาจารย์ พระอริยเจ้าหมดความสงสัยในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ทั้งปวง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ถ้าบุคคลใดยังสงสัยหรือยังคิดว่าไม่ได้ ก็เพราะว่ายังไมรู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
ถ้ามีผู้หนึ่งผู้ใดสงสัยว่า ขณะที่ขับรถยนต์นี้เจริญสติปัฏฐานได้ไหม แสดงว่าบุคคลนั้นไม่รู้ลักษณะของสติ ไม่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามความเป็นจริง แม้แต่ขณะที่ขับรถยนต์ก็พูดคุยได้ แล้วทำไมสติจะเกิดระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นไม่ได้
ท่านที่เจริญสติปัฏฐานเป็นปกติและขับรถยนต์ทุกท่าน ไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้เลย เหมือนปกติธรรมดาทุกอย่าง ตั้งแต่เริ่มเปิดประตูรถ คนที่จะขับรถยนต์กับคนที่ไม่ขับรถยนต์มีอะไรที่ต่างกัน ถ้าสติระลึกรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น หรือทางกายแม้คนที่ไม่ได้ขับรถยนต์เปิดประตู สติเกิดได้ คนขับเปิดประตู สติก็เกิดได้ เมื่อนั่งลงไปแล้ว คนที่ไม่ได้ขับรถยนต์ ก็ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมในขณะนั้นได้แล้วทำไมคนที่จะขับจะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมในขณะนั้นไม่ได้ เพราะว่าก็เป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น เวลาติดเครื่อง กับคนที่ไม่ได้ขับรถยนต์ แต่เอื้อมมือไปจับสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีอะไรที่ต่างกันที่สติจะระลึกรู้ไม่ได้
เวลาที่เหยียบคลัช เข้าเกียร์ เร่งน้ำมัน สติก็ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามปกติ ตามความเป็นจริงได้ แม้คนที่ไม่ได้ขับ เหยียดเท้า เหยียดมือ หรือทำอะไรก็ได้ สติก็ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามปกติ ตามความเป็นจริงได้ แต่ถ้าท่านไม่ใช่ผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ท่านกลัวที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น เพราะเข้าใจผิดคิดว่า สติไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมในขณะนั้นได้
แต่ผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ อาจหาญ ร่าเริง ที่จะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่เกิดแล้วจึงปรากฏในขณะนั้นตามความเป็นจริง ไม่มีอะไรที่จะไปกั้นเลยว่า นามนี้รู้ไม่ได้ หรือรูปนี้รู้ไม่ได้ เพราะว่าเป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทางตาในขณะนี้ ก็ระลึกได้ รู้ได้ จะนั่งที่ไหน จะขับรถยนต์ หรือไม่ขับรถยนต์ สติก็เกิดขึ้นระลึกรู้ได้ อย่าตื่นเต้น อย่าหวั่นไหวเพราะถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว แสดงว่าท่านไม่ได้เป็นผู้ที่อบรมเจริญสติระลึกรู้ว่า นามธรรมและรูปธรรมที่จะต้องรู้นั้น เป็นนามธรรมและรูปธรรมตามปกติ ที่ปรากฏตามความเป็นจริงอย่างนี้เอง ไม่ใช่นามธรรมอื่น รูปธรรมอื่นเลย
ทางตาในขณะนี้ ปกติอย่างนี้ ระลึกได้ รู้ได้ ทางหูในขณะนี้ รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางหูว่า เป็นแต่เพียงเสียง เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏ และขณะที่เสียงกำลังปรากฏนั้น ก็เป็นสภาพรู้ที่กำลังรู้เสียง ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ตามปกติตามธรรมดาทุกอย่าง มิฉะนั้นแล้ว บางคนจะเกิดตื่นเต้นที่สติเกิดแล้ว ผิดปกติไปแล้วขณะนั้น ด้วยความดีใจ ยึดมั่นในตัวตน เพราะฉะนั้น เวลาที่สติเกิดขึ้นนิดหนึ่ง ตัวตนก็แทรก ดีใจ บางคนก็มีความจดจ้องจะทำทันที ซึ่งการที่เป็นอย่างนั้น แสดงว่าปัญญายังไม่ได้อบรมจนกระทั่งรู้ทั่วจริงๆ ว่า แม้แต่ความตื่นเต้น แม้แต่ความหวั่นไหวนั้น ก็เป็นแต่เพียงนามธรรมที่เกิดขึ้น และก็ดับไป
ถ้ารู้อย่างนี้ จะทำให้เป็นปกติยิ่งขึ้น สติมีกำลังพอที่จะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมโดยไม่ตื่นเต้น โดยไม่หวั่นไหว จึงจะละคลายการยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ ต้องเป็นปกติจริงๆ และไม่ว่าจะเป็นนามใด รูปใด ระลึกได้ทั้งนั้น อย่าตกใจ อย่าตื่นเต้น หรือว่าอย่าหวั่นไหวที่จะไม่ระลึกรู้
ที่มา อ่าน และฟังเพิ่มเติม ...