ถ้าไม่รู้ว่าธรรมลึกซึ้งไม่มีวันที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า_สนทนาธรรม ไทย-ฮินดี วันเสาร์ที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๖
- (คุณสุคิน: อาช่าตอบว่าที่เราได้ยินมาเกี่ยวกับสิ่งที่มีจริงในชีวิต หลังจากฟังแล้วก็อยากจะศึกษาเพิ่มเติมให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น) เพื่อต้องการรู้เท่านั้นหรือ? (ถ้าเข้าใจเมื่อไหร่ความเข้าใจเจริญ เราก็ค่อยๆ ดำเนินชีวิตไปทางที่ถูก) เพื่อจะรู้ว่า ความจริงไม่รู้และมีกิเลสมากแค่ไหนใช่ไหม.
- เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของการเข้าใจถูกถึงที่สุดคืออะไร? (เพื่อดับกิเลสให้หมดสิ้น) ถ้าไม่รู้ว่ามีกิเลส อะไรเป็นกิเลส จะดับกิเลสได้ไหม? (ไม่ได้) ชีวิตประจำวันมีกิเลสมากไหม? (มีเยอะมากตลอดเวลา) ถ้าไม่ฟังพระธรรมมีโอกาสที่กิเลสในชีวิตประจำวันจะน้อยลงไหม? (ไม่มีโอกาส) เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวันควรมีกิเลสน้อยลงบ้างใช่ไหม? ถ้ากิเลสในชีวิตประจำวันไม่น้อยลงเลย สามารถที่จะดับกิเลสได้ไหม? (ไม่ได้) .
- ทุกคนมีกิเลสมากๆ ใช่ไหม? (ครับ) ถ้าไม่เข้าใจธรรมเลย สามารถที่จะให้กิเลสน้อยลงได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น ทุกคนมีกิเลสมากสมควรที่จะเข้าใจธรรมทุกคนไหม? (ครับ) .
- ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงเพื่อใคร? (เพื่อให้ทุกคนที่มีกิเลสอยู่ให้รู้ให้ฟังให้ศึกษา) เพราะฉะนั้น ทุกคนสมควรที่จะได้ฟังธรรมไหม? (ครับ) .
- ฟังธรรมเพื่อประพฤติปฏิบัติตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงใช่ไหม? (ใช่) ถ้าฟังแล้วไม่ประพฤติปฏิบัติตาม สมควรฟังไหม? (ฟังแล้วไม่ปฏิบัติตามก็ไม่สมควรจะเรียกว่าเป็นผู้ฟัง) แล้วถ้าเป็นผู้ที่กล่าวธรรมสมควรที่จะประพฤติตามใช่ไหม? (ใช่) เพราะฉะนั้น ควรที่จะกล่าวธรรมเพื่อทุกคนจะได้ฟังใช่ไหมไม่เว้น? (ครับ) ถ้าคิดไม่ให้คนโน๊นคนนี้ฟังธรรมผิดหรือถูก? (ผิด) .
- เพราะฉะนั้น ที่จะไม่ให้ใครได้ฟังธรรม ไม่ให้เขามาฟังธรรม ผิดหรือถูก? (ผิด) ต้องตรง ถ้าไม่ตรงจะไม่เข้าใจธรรม และธรรมจะไม่มีประโยชน์สำหรับคนไม่ตรง ถูกไหม? (ถูกครับ) .
- เพราะฉะนั้น คนที่กล่าวธรรมเพื่อที่จะให้คนอื่นเข้าใจธรรมต้องประพฤติตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ถ้าไม่ประพฤติตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสมคสรที่จะเป็นผู้แสดงธรรมไหม? (ไม่สมควร) .
- กิเลสอยู่ที่ไหน? (อยู่ที่ตัวเรา) ใครสามารถจะเอากิเลสนั้นออกได้? (มีแต่ความเข้าใจของตัวเองที่ทำให้กิเลสน้อยลงได้) เพราะฉะนั้น สมควรอย่างยิ่งที่จะให้ทุกคนได้ฟังธรรมใช่ไหม? (ครับ) .
- ธรรมละเอียดลึกซึ้งไหม? (ครับ) เข้าใจแม้คำเดียวของพระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้งของธรรมได้ไหมทันที? (ไม่ได้) .
- เพราะฉะนั้น ขณะนี้เรากำลังพูดถึงหนทางที่ทุกคนจะค่อยๆ เข้าใจให้ถูกต้องว่ากำลังเป็นหนทางที่ค่อยๆ ละกิเลสใช่ไหม? (ครับ) ถ้าไม่เข้าใจความละเอียดลึกซึ้งจริงๆ ละกิเลสไม่ได้.
- ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเพื่อให้เข้าใจกิเลสที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เข้าใจกิเลสที่มีเดี๋ยวนี้จะละกิเลสได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น ฟังธรรมทั้งหมดเพื่อรู้จักกิเลสที่มีเดี๋ยวนี้ และรู้หนทางที่จะให้กิเลสที่มีเดี๋ยวนี้ค่อยๆ ลดลง.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ
- เพราะฉะนั้น ประมาทการฟังแต่ละคำไม่ได้เลย เดี๋ยวนี้เรากำลังพูดถึงอะไร? (ธรรม) ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่เรียกว่าธรรม ไม่ใช่คำ แต่เดี๋ยวนี้เรากำลังพูดถึงอะไร ถ้าตอบว่าธรรมจะไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ไม่ต้องใช้คำว่า ธรรม แต่คิด เดี๋ยวนี้เรากำลังพูดถึงอะไร ไม่ใช่ตอบว่าธรรม เพราะฉะนั้น ต้องไตร่ตรองอีก เป็นการฝึกหัดให้เป็นผู้ที่ละเอียดในการที่จะเข้าใจความลึกซึ้ง.
- เรากำลังพูดถึงอะไร? (กำลังพูดถึงกิเลสที่ท่านอาจารย์พูด) นี่เป็นการฝึกหัดอบรมให้เป็นผู้ที่ละเอียดให้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น คิดอีกทีหนึ่งจากคำถามที่ว่าเรากำลังพูดถึงอะไร? (พูดถึงเหตุผลที่ฟังธรรมทำไม เพื่ออะไร) เพราะฉะนั้น แสดงว่าความละเอียดของการฟังคำถามยังไม่พอ หรือว่าฟังคำถามนี้ก่อนที่จะได้ฟังธรรมไม่สามารถจะเข้าใจได้ เมื่อฟังธรรมแล้วการที่จะรู้ละเอียดจะต้องเพิ่มมากกว่านี้แม้แต่เป็นคำถามธรรมดา.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
- เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะพูดเรื่องอะไรที่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อรู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ทั้งหมดทุกคำไม่ว่าจะเป็นคำอะไรเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ใช่ไหม ถูกไหม? (ถูก) เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืมเลยไม่ใช่ฟังเฉยๆ อยู่ในตำราเล่มนั้นเล่มนี้ แต่ทั้งหมดที่ฟังเพื่อไตร่ตรองให้รู้จริงๆ ในสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้เท่านั้น มิเช่นนั้นแล้ว ทุกคำที่ได้ฟังไม่มีประโยชน์เพราะไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้.
- เพราะฉะนั้น ความจริงเดี๋ยวนี้คืออะไร? (เสียง) เสียงเป็นอะไร? (เป็นสิ่งที่ได้ยินรู้ เป็นรูปครับ) เพราะฉะนั้น ขณะนี้มีคนไหม มีอาช่าไหม? (ไม่มี) แต่เสียงมีจริงๆ ใช่ไหม? (ครับ) ไม่ใช่คุณสุคินไม่ใช่คุณอาช่าไม่ใช่ดิฉัน แล้วเสียงเป็นอะไร? (เสียงเป็นเสียงที่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงตอนนี้) .
- เพราะฉะนั้น ทั้งวันคุณอาช่าเข้าใจความจริงของเสียงหรือเปล่า? (เมื่อไหร่ที่ระลึกถึงได้ก็คือสิ่งที่ได้ยินมาระลึกถึงแลัวพิจารณาดูถูกต้อง) ขอโทษๆ นั่นไม่ใช่เป็นการตอบคำถาม ถามว่าอะไร? (ถามว่าวันๆ เข้าใจ ... ) ถามเขา คุณสุคินถามเขา เขาจะได้คิดว่าดิฉันถามเขาว่าอะไร? (แกเข้าใจว่าคำถามที่ท่านอาจารย์ถาม ก็คือแกเข้าใจเสียงในชีวิตประจำวันไหม) ไม่ใช่ค่ะไม่ได้ถามอย่างนั้น ถามว่า วันหนึ่งๆ คุณอาช่าเข้าใจเสียงอย่างที่พูดไหม? (แกตอบแบบเดิมว่า ส่วนใหญ่ไม่มีความเข้าใจแต่ก็มีบ้าง) มีบ้าง เมื่อไหร่? (กำหนดเวลาไม่ได้) อันนั้นความคิดค่ะ แต่ถามถึงความจริง จริงๆ วันนี้มีความเข้าใจเสียงที่พูดมาแล้วหรือยังเดี๋ยวนี้? (แกเข้าใจว่า ความเข้าใจของแกก็เป็นขั้นคิดเอง ไม่ได้เข้าใจที่ลึกซึ้งตามที่แกอธิบายพูดออกมา ยังไม่ถึงขั้นรู้ลักษณะโดยตรง) ทีแรกไม่ได้ตอบแบบนี้ใช่ไหม? (ครับ) กว่าจะรู้ว่าไม่ได้ตอบตรงคำถาม ถ้าดิฉันไม่ได้ถามซ้ำๆ เขาจะรู้ไหมว่า ไม่ละเอียดไม่ได้ฟังคำถาม และไม่ได้เข้าใจความจริงที่ถาม.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
- ถ้าไม่รู้ว่าธรรมลึกซึ้ง ไม่มีวันที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประโยชน์ในสังสารวัฏฏ์จริงๆ ไม่ใช่อยากรู้คำนั้นคำนี้ รู้แล้วจิต วิถีจิตอะไร ไม่ใช่เลย แต่ประโยชน์จริงๆ คือ เห็นความลึกซึ้งว่าไม่มีเราแน่นอน ต้องไม่ลืมคำนี้ไม่ว่าจะได้ยินคำอะไรแต่ยังเป็นเรา เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้จริงๆ ในแต่ละหนึ่งซึ่งไม่ใช่เรา ต้องมีความอดทน ต้องรู้ว่าลึกซึ้ง กว่าจะรู้อย่างนี้พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีเท่าไหร่ แล้วเราง่ายๆ อย่างนี้หรือ?.
- เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ไม่ต้องสนใจใครทั้งสิ้น เพราะกิเลสของแต่ละคนเป็นเรื่องของแต่ละคนที่จะต้องละ ประโยชน์อะไรที่จะต้องคิดถึงกิเลสของคนอื่น ขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องของคนอื่นขณะนั้นเป็นอะไร? (ตอนนั้นเป็นกิเลสเราเอง) ตอนนั้นรู้หรือเปล่า? (ไม่รู้ครับ) เพราะฉะนั้น คำของพระสัมมสัมสัมพุทธเจ้าเพื่อให้รู้ความจริงใช่ไหม? (ใช่ครับ) .
- ต้องไม่ลืมความลึกซึ้งอย่างยิ่งของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ฟังธรรมทำไม? (อาช่าตอบว่าอย่างแรกต้องรู้ว่า ธรรมคืออะไร หลังจากที่ฟังก็รู้ว่าธรรมก็คือ เห็น ได้ยิน เสียง รส คิดต่างๆ เราศึกษาเพื่อเข้าใจทั้งหมดนี้แล้วรู้ว่าเรามีกิเลสแค่ไหน แล้วศึกษาเพื่อที่จะให้กิเลสลดลง และสิ่งสำคัญแม้ว่าเราคิดอย่างนี้ว่าเรียนเพื่อเข้าใจธรรมแต่เข้าใจทั้งหมดหรือว่าคิดเรื่องกิเลสแต่เข้าใจว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม เพราะฉะนั้น บางทีที่เราคิดถึงคนอื่นว่าเขามีกิเลสอย่างไรก็เพราะเราลืมว่าเป็นธรรม ไม่ใช่ใคร เกิดเพราะเหตุปัจจัย นั่นคือจุดประสงค์ของการฟังธรรม) .
- เดี๋ยวนี้รู้เดี๋ยวนี้ไหม? (ไม่รู้) เพราะฉะนั้น เป็นคนตรงที่จะรู้ว่าประโยชน์สูงสุด คือ ในสังสารวัฏฏ์ทั้งหมดไม่ใช่ให้ไปทำอะไรเลย แต่ให้ค่อยๆ เข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อย.
- ขอถามคุณอาช่าคำเดียว เดี๋ยวนี้ความจริงอยู่ไหน? (อยู่ ณ.ปัจจุบัน) อะไร? (เห็น) รู้หรือยัง? (ไม่รู้) เพราะฉะนั้น ยังจนกว่าจะรู้ความจริงของเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ขณะอื่นใช่ไหม? (ครับ) รู้ยังไม่ได้ใช่ไหม? (ครับ) เพราะฉะนั้น ขณะนี้กำลังปลูกฝังความเข้าใจที่ลึกซึ้งเพื่อที่จะรู้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ใช่ไหม? (ครับ)
- ถ้ารู้ความจริงต้องรู้สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ใช่ไหม? (ครับ) เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้จริงๆ อย่างนี้อีกนานไหม? (นานมาก) นี่คือหนทางเดียวใช่ไหมที่จะรู้สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ได้ (ใช่ครับ) อีกนานเท่าไหร่? (รู้แค่ว่าใช้เวลามาก) มากเท่าไหร่? (อาช่าตอบว่าเป็นโกฏิชาติมากกว่าที่เราคิด) .
- คนที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ได้เคยพบได้เคยฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ หรือเปล่า? (ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่เช่นนั้นจะมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร) เพราะฉะนั้น มีหนทางนี้หนทางเดียวใช่ไหม? (ครับ) .
- เพราะฉะนั้น ความเข้าใจนี้รู้ว่าถ้าทั้งวันมีแต่อกุศลยิ่งเพิ่มความยาก จึงเห็นประโยชน์ของการที่จะทำสิ่งที่ดีในชีวิตที่สั้นมากที่สามารถจะทำได้เพื่อเป็นบารมีที่ค่อยๆ ลดอกุศลแล้วสามารถที่จะมีเวลาสำหรับการเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น.
- (มานิชถามว่า คนในสมัยพระพุทธองค์ที่ฟังแล้วตรัสรู้ เขาได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มาหรือเปล่า แล้วเรารู้ได้อย่างไรว่าเป็นอย่างนั้นแน่นอนครับ) เดี๋ยวนี้เขากำลังฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้เข้าใจแค่ไหน? (มานิชตอบว่า ชาตินี้เขามีความเข้าใจน้อยมาก แต่เขามีคำถามต่อขึ้นมาว่าชาตินี้แกจะรู้เพิ่มขึ้นเท่าไหร่และความรู้ความเข้าใจขั้นไหน นี้ใครจะรู้ เรารู้ไหมหรือเขาจะรู้เองครับ) เดี๋ยวนี้คุณมานิชรู้ไหมว่าใครรู้แค่ไหน? (ไม่สามารถรู้ได้ครับ) ค่ะ สำหรับตัวเขาเองเขารู้ได้ไหม? (รู้ได้) เขารู้แค่ไหน? (ตอนเริ่มฟังครั้งแรกเข้าใจแค่ไหนตอนนี้ก็เข้าใจแค่นั้นจะมาพูดไม่ได้ว่าตัวเองมีความเข้าใจเพิ่มมากแค่ไหนตรงนี้แกไม่สามารถตอบได้) ถูกต้องใช่ไหม? (ถูกต้องครับ) .
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
- เดี๋ยวนี้คุณมานิชรู้ไหมว่าใครรู้แค่ไหน? (ไม่สามารถรู้ได้ครับ) ค่ะ สำหรับตัวเขาเองเขารู้ได้ไหม? (รู้ได้) เขารู้แค่ไหน? (ตอนเริ่มฟังครั้งแรกเข้าใจแค่ไหนตอนนี้ก็เข้าใจแค่นั้นจะมาพูดไม่ได้ว่าตัวเองมีความเข้าใจเพิ่มมากแค่ไหนตรงนี้แกไม่สามารถตอบได้) ถูกต้องใช่ไหม? (ถูกต้องครับ) ถูกต้องที่สุด เหมือนเขากำลังจับด้ามมีด เขารู้ไหมว่าเมื่อไหร่ด้ามมีดจะสึกทุกครั้งที่เขาจับ ด้ามมีดที่ปัญญาจะต้องค่อยๆ จับจนกว่าจะมั่นคงจนกว่าค่อยๆ จะเอากิเลสออก ด้ามมีดนั้นใหญ่ยิ่งกว่าสากลจักรวาลทั้งหมดในแสนโกฏิกัปป์ยิ่งกว่านั้นที่ผ่านมา (มานิช: ก็เป็นอย่างนั้นจริงตามที่ท่านอาจารย์ว่า ด้ามมีดที่เป็นกิเลสเรานี่ใหญ่กว่าจักรวาลอีก เราจะใช้เวลานานมากโดยเฉพาะถ้าเราคลุกคลีกับบุคคลอื่นตรงนี้ทำให้กิเลสเราเพิ่มมากขึ้นไม่สิ้นสุด ผมก็ถามต่อไปว่าถ้าอยู่คนเดียวใช่ว่ากิเลสจะน้อยลงหรือ แกบอกไม่ กิเลสก็เยอะแต่ว่าไม่มากเท่ากับการที่คลุกคลีกับคนอื่น) .
- อยู่คนเดียวแต่ไม่รู้อะไรเลย จะสามารถถึงวันที่จะรู้ไหม? (เข้าใจครับว่าถ้าอยู่คนเดียวแล้วไม่ได้ฟังพระธรรมกิเลสก็ไม่น้อยลงมีแต่จะเพิ่มขึ้น) ปัญญาต้องรู้ตรงไม่ว่าจะอยู่คนเดียวหรืออยู่กับใครเป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้จะเป็นบารมีไหม? (ถ้าไม่เข้าใจความจริง บารมีก็เจริญไม่ได้ครับ) ความเข้าใจอย่างนี้เป็นบารมีหรือเปล่า? (เป็น) บารมีอะไร? (ท่านอาจารย์ครับมานิชดูเหมือนแกไม่สามารถจะนึกถึงบารมีต่างๆ ได้ตอนนี้) ขอโทษๆ ไม่ได้ถามสักชื่อเดียว พูดว่าอะไรบ้างใช่ไหม ความเข้าใจอย่างนี้เป็นบารมีอะไร (ผมก็ถามอย่างนั้นว่าไม่ต้องไปนึกถึงชื่อแต่อะไร เขาก็ไปพูดถึงว่าความสงบ ผมเลยหยุดเขาแล้วมาถามท่านอาจารย์ก่อน) ความสงบเป็นความเข้าใจถูกหรือเปล่า? (แกก็ไม่เข้าใจที่แกพูด แต่แกก็รู้สึกดีครับ) เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจมากกว่านี้เห็นไหม.
- กว่าจะรู้จักธรรมจริงๆ ทุกอย่างประมาทไม่ได้เลยว่า ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจะเข้าใจผิดได้.
- ถ้าเขาเข้าใจจริงๆ เขาจะเริ่มรู้ไม่ใช่เพียงไปจำว่าอะไรเป็นบารมี เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ที่เขาตอบว่ากำลังเป็นบารมีเขาหมายความถึงอะไร? (แกหมายถึงว่าตอนนั้นมีความเข้าใจอยู่) เป็นบารมีหรือเปล่าที่เข้าใจถูกต้อง? (เป็น) แล้วอยากจะทราบนิดหนึ่ง คิดออกไหมว่าบารมรอะไร? (คุณสุคิน: ท่านอาจารย์ครับผมเลยถามเขาแบบนี้ว่าลองพิจารณาดูว่าที่มีความเข้าใจมีคุณธรรมอื่นๆ ไหมที่ต้องมีด้วยเวลานั้น แกก็พยายามแล้วคิดไม่ออกครับ) คุณสุคินทำไมไปบอกเขาล่ะ ถามเขาให้เขาคิด มิเช่นนั้นเราก็เสียเวลา เราบอกเขาเขาไม่เข้าใจเพราะเขาไม่คิดเอง (เขาคิดไม่ออกครับ) คิดไม่ออกเราก็มีวิธีทำให้เขาคิดได้มิใช่หรือ ไม่ใช่ไปบอกเขาก่อน มีหนทางที่ทำให้เขาคิด. เพราะฉะนั้น ลองคิดอีกที เดี๋ยวนี้เป็นบารมีหรือเปล่า เห็นไหม ให้เขาค่อยๆ คิดอีกคิดอีกๆ เป็นการฝึกหัดให้ละเอียดที่จะเข้าใจความละเอียดของธรรมซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดปัญญาที่สามารถเข้าใจความลึกซึ้งได้ เราไม่ได้ไปแทนใครหมด แต่ช่วยเขาให้เขาคิดให้เขาหัดให้เขาอบรม.
- ถามว่า เดี๋ยวนี้เป็นบารมีหรือเปล่า ซ้ำไปซ้ำมาให้เขาคิดจนกระทั่งเป็นบารมีจริงๆ? (มานิชตอบว่า ก็ต้องมี ไม่เช่นนั้นเราคงไม่อยู่ที่นี่นั่งฟัง) ไม่ใช่ นั่นคิด ฟังคำถาม ที่กำลังพูดเรื่องธรรมเข้าใจไหมว่า อะไรเป็นธรรม? (มานิชตอบว่าเข้าใจจริงว่าเราศึกษาธรรมอยู่) เข้าใจคำว่าธรรม หรือรู้จักธรรม? (เวลานี้ที่ฟังอยู่เพื่อที่จากคำนี้ความหมายของคำไปถึงตัวจริงของธรรม) เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้มีอะไร? (มีธรรม ก็คือ เห็น) มีธรรม เปลี่ยนได้ไหม? (ไม่ได้) ธรรม คือ เห็น เป็นใครหรือเป็นอะไร? (ไม่ได้เป็นบุคคลแต่เห็นก็คือเห็น) หมายความว่าอะไรไม่ได้เป็นบุคคล แต่เห็นเป็นเห็น (ก็เป็นสิ่งที่มีจริง) จะเปลี่ยนความคิดนี้ไหม? (ไม่เปลี่ยน) มั่นคงไหม? (ความจริงเป็นความจริงเปลี่ยนไม่ได้ แต่ความเข้าใจยังไม่ได้มีมาก) ไม่ได้ถามเรื่องความเข้าใจเขา ถามแต่ว่าจริงหรือเปล่า (แกบอกว่าจริง) เปลี่ยนไหม? (เราอยู่หรือไม่อยู่ เห็นก็คือเป็นเห็นไม่มีใครเปลี่ยนไม่ได้) หมายความว่าอะไร เราอยู่หรือไม่อยู่? (เราจะอยู่ที่นี่ จะเป็นเราตอบหรือไม่ตอบจะเป็นใครก็ได้ เห็นก็เป็นเห็น) มีเราไหมอะไรเป็นเรา? (ไม่มีเรา) เพราะฉะนั้น ไม่มีเราใช่ไหม? (ครับ) ความเข้าใจว่าไม่มีเรา เปลี่ยนธรรมสิ่งที่มีจริงให้เป็นอื่นไม่ได้ เป็นบารมีหรือเปล่า? (เป็นบารมี) บารมีอะไร? ( ... ) คุณมานิชไม่รู้จักชื่อไม่เป็นไรแต่การที่เข้าใจมั่นคงไม่เปลี่ยนเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องเป็นปัญญาบารมีไม่เปลื่ยน.
- ความเข้าใจถูกเป็นปัญญาแล้วทำไมเป็นบารมี? (อะไรที่พาเราไปสู่ความเข้าใจนั่นเป็นบารมีคือความเข้าใจความจริง) ที่จะนำไปสู่ความจริง จริงที่บารมีจะนำไปสู่คืออะไร? (นั่นคือเข้าใจสิ่งที่มีจริง ณ.ที่ปรากฏครับ) สิ่งที่มีจริง ณ.ที่ปรากฏเป็นอย่างไร? (เห็นเข้าใจเห็นอย่างชัดเจน) ว่า? (มานิชบอกว่า เข้าใจว่าเห็นเป็นเห็น ไม่มีใครที่บังคับบัญชาเห็นได้ เห็นก็มีแต่เห็นไม่มีเรา) เดี๋ยวนี้ก็เข้าใจอย่างนี้ไม่ใช่หรือ? (ตอนนี้ก็เข้าใจอย่างนี้อยู่แล้วครับ) แล้วเป็นบารมีอย่างไร? (คุณสุคิน: ท่านอาจารย์ครับผมขอย้อนกลับไปถามคำถามอาช่าที่ท่านอาจารย์ถามมานิชว่าทำไมความเห็นถูกเป็นบารมี) ดีค่ะ (ความเข้าใจที่มีอยู่ตรงนี้เป็นบารมีเพราะว่า จะนำไปสู่ความเข้าใจระดับสูงอีกระดับหนึ่งจึงเป็นบารมี) ถ้าไม่มีความเข้าใจเดี๋ยวนี้จะถึงไหม? (ไม่ถึง) เพราะฉะนั้น จะต้องรู้ว่าจะถึงไหนจึงตอบว่าไม่ถึง? (ก็ต้องเข้าใจ) ถึงไหน แล้วเดี๋ยวนี้เป็นบารมีไหมถ้าไม่มีเลยจะถึงไหม? (อาช่าสรุปว่าถึงจุดที่ดับกิเลสทั้งหมด) จุดไหนล่ะจะดับกิเลส จุดๆ ๆ อยู่นั่นแหละ? (เวลาถึงพระอรหันต์) ยังไม่เป็นพระโสดาบันจะเป็นพระอรหันต์ได้ไหม? (เมื่อกี๊แกก็ไล่หมดกิเลสทีละอย่างๆ ๆ พูดถึงความเห็นผิดด้วย สุดท้ายแกก็สรุปว่าจนกิเลสหมดสิ้นครับ) ถามเขาว่า ดิฉันถามว่าอะไร? (ถามว่าจุดที่เราพูดถึงว่าเราจะไปถึงจุดนั้น นั่นคือจุดอะไร) เพราะฉะนั้น ตอบอีกทีทีละ ๑ จุด (อริยมรรค ๔ และอริยผล ๔) อริยมรรครู้อะไรหรือเปล่า? (อาช่าก็ไม่รู้ครับ) เพราะฉะนั้น พูดคำที่ไม่รู้จักใช่ไหม? (ก็เป็นอย่างนั้น แกพยายามอธิบายผมเลยบอกว่าตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้นอยู่พูดสิ่งที่คิดเอาเองแต่ไม่เข้าใจ) .
- เพราะฉะนั้น นี่เป็นความละเอียดไม่ใช่คุณอาช่าคนเดียวทั้งโลกเป็นอย่างนี้ ได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ยินแค่ชื่อ ไม่รู้ว่าตรัสว่าอะไร และแต่ละคำของพระองค์มาจากการที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีจนรู้ความจริง เพราะฉะนั้น ได้ประมาทสักคำไม่ได้.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
- เพราะฉะนั้น ประมาทคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เลยเพราะลึกซึ้ง ได้ยินคำที่พระองค์ตรัสได้ยินความหมายว่าหมายถึงอะไรเป็นความเข้าใจระดับหนึ่งยังไม่พอเลย จะต้องคิดถึงสิ่งที่ได้ฟังแล้วอีกจนสามารถเข้าใจขึ้นๆ ๆ .
- ถ้าไม่เห็นความลึกซึ้งของธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แต่ละอย่างจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? (ไม่สามารถรู้จักว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร) .
- (อาคิ่ลถามว่าเมื่อกี๊ที่เราสนทนาเรื่องบารมีอยู่พวกเรารู้ตัวว่ามีบารมี ๑๐ อะไรบ้างตรงนั้นไม่ได้เป็นปัญหาเลยตรงนั้นทุกคนรู้ แต่ว่าความหมายของบารมีอยากให้ท่านอาจารย์เกื้อกูลด้วย) ดีมาก ตัวจริงๆ ไม่ใช่ชื่อใช่ไหม? (ครับ) เพราะฉะนั้น เริ่มพูดถึงสิ่งที่เราเคยได้ฟังมาบ่อยๆ เพื่อที่จะได้เข้าใจขึ้นอีกๆ นะ เดี๋ยวนี้มีอะไร? (อาคิ่ลเพิ่มเติมจากคำถามเมื่อกี๊นี้แค่ว่าที่ท่านอาจารย์ถามมานิชว่าตอนที่เข้าใจมีบารมีไหมแล้วแกก็อยากเข้าใจแบบนั้นว่า เวลาเข้าใจอยู่แกอยากรู้ว่าที่เป็นบารมีนี่ตรงนั้นเป็นอย่างไรแกขอเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจ) ดีค่ะ ดีมาก ก่อนฟังธรรมรู้ไหมว่า เดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่มีจริงที่ไม่ใช่อะไรเลยทั้งสิ้น แต่มีจริงๆ (ไม่ทราบ) แล้วใครรู้ความจริงนี้? (พระพุทธองค์) ทำไมพระองค์ตรัสให้คนอื่นฟัง? (ประโยชน์คือพวกเราที่ฟัง) ให้ไตร่ตรองให้คิดว่าจริงไหมไม่ใช่ให้เชื่อ (ครับ) .
- ถ้าพระองค์ไม่ตรัสรู้ คุณอาคิ่ลคุณอาช่าไม่รู้ว่าคุณอาคิ่ลคุณอาช่าคืออะไร (ครับ) เพราะฉะนั้น อาช่าคืออะไร อาคิ่ลคืออไร สุจินต์คืออะไร ต้นไม้คืออะไร? (เป็นสมมติ) ไม่รู้จักคำว่าสมมติ คำถามถามเขาว่าอะไร ถามเขาซิว่าถามเขาว่าอะไร? (เป็นบัญญัติครับ) ดิฉันไม่รู้จักคำว่าบัญญัติ แต่ดิฉันจะรู้ความจริงได้โดยไม่ต้องใช้คำว่าบัญญัติ (รู้แต่ว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีจริงครับ) ไม่รู้ว่าไม่จริง ก็นี่อาช่า นี่อาคิ่ลมิใช่หรือ? (เขาก็รู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่เห็นสุคินแต่เห็นสิ่งที่ปรากฎทางตา ได้ยินก็ได้ยินแต่เสียง ไม่ได้เห็นสุคิน ไม่ได้ยินเสียงสุคิน) เพราะฉะนั้น ไม่มีสุคิน ไม่มีอาช่า ไม่มีอาคิ่ล แล้วมีอะไร? (มีธรรมต่างๆ กัน) แล้วรู้หรือยังว่าเป็นธรรมไม่ใช่อาคิ่ล? (นิดๆ หน่อยๆ) จะรู้มากกว่านี้ได้ไหม? (ได้) วิธีไหน ทำอะไรอยู่ดีๆ จะรู้ขึ้นได้ไหม? (ฟัง สนทนา พิจารณาธรรม แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น) .
- เป็นความมั่นคงไหมว่าไม่มีอาช่า ไม่มีใคร แต่มีเห็น มีได้ยิน เป็นต้น (มั่นคงระดับหนึ่ง ถ้าจาก ๐ - ๑๐ ก็ได้ ๑ ครับ อย่างเช่นเวลาฟังธรรมอยู่ก็จำได้แต่พอออกไปแล้วมักจะลืมเช่น เข้าใจว่า เห็นเท่านั้นที่เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา กลายเป็นว่าเห็นบุคคลเห็นสิ่งต่างๆ) เพราะฉะนั้น อะไรจริง? (เห็นจริง ได้ยินจริง ได้กลิ่นจริง) มั่นคงไหมว่าจริง ไม่เปลี่ยน? (ระดับนี้มั่นคงครับ) สามารถที่จะรู้ความจริงกว่านี้ได้ไหม? (ได้) นี่เป็นบารมีหรือเปล่า? (เป็นบารมี) เพราะฉะนั้น เข้าใจคำว่าบารมีหรือยัง? (เข้าใจครับ) .
- ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกไม่รู้ความจริงจะเป็นบารมีได้ไหม? (ไม่ได้) เมื่อรู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้แต่ยังไม่ปรากฏว่าเป็นอย่างนี้แต่รู้ว่าสามารถจะรู้ได้ และควรจะรู้เป็นบารมีหรือเปล่า? (เป็น) .
- ต้องอดทนไหมที่กว่าจะรู้ความจริง อีกนานมากแต่ก็รู้ได้ (ต้องอดทน) เพราะฉะนั้น ความอดทนเป็นบารมีหรือเปล่า? (เป็น) เป็นบารมีอะไร? (ขันติบารมี) .
- แต่ถ้าคุณอาคิ่ลมีความอดทนที่จะหาเงินทองเป็นบารมีหรือเปล่า? (ไม่เป็นบารมีครับ) .
- แต่ถ้าคุณอาคิ่ลมีความอดทนที่เห็นประโยชน์สูงสุดในสังสารวัฏฏ์ซึ่งถ้าไม่มีใครเข้าใจเลยเขาไม่สามารถรู้ความจริงได้ ขณะนั้นเป็นบารมีหรือเปล่าที่พยายามทุกทางอดทนทุกอย่างที่จะเข้าใจขึ้นเพื่อที่จะให้คนอื่นเข้าใจถูกด้วยไม่ใช่เพื่อคุณอาคิ่ลคนเดียวขณะนั้นเป็นบารมีหรือเปล่า? (เป็นบารมี) เป็นบารมีอะไร? (เมตตาบารมี) ถูกต้อง แต่ถ้าชีวิตประจำวันคุณอาคิ่ลไม่มีเมตตาจะทำให้กิเลสลดลงและเมตตาเพิ่มขึ้นหรือเปล่า? (ถ้าชีวิตประจำวันไม่มีเมตตาต่อใครก็เจริญเมตตาบารมีไม่ได้) .
- เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวันเป็นบารมีเมื่อไหร่? (ถ้าไม่มีปัญญาบารมีอื่นๆ ก็เจริญไม่ได้) แต่ไม่ใช่บารมีอื่นๆ โดยคำพูด เดี๋ยวนี้และขณะใดต้องรู้ว่าเป็นบารมีอะไร เพราะอะไร ไม่ใช่จบแล้วเป็นบารมีหมด? (เขาก็พยายามตอบแบบนั้น ทีแรกมานิชตอบว่าวันหนึ่งๆ ก็ต้องมีบารมีเกิดขึ้นบ้าง ผมเลยถามเขาว่า ... ) คุณสุคิน ถ้าเขาตอบอะไรก็ขอให้บอกดิฉันๆ ก็จะได้อธิบายให้เขาฟัง เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่เป็นบารมี ขณะไหนเป็นบารมีในชีวิตประจำวัน? (อาคิ่ลตอบว่าถ้าถามอย่างนั้นบารมีก็เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้อะไรก็ได้) เมื่อไหร่ก็ได้อะไรก็ได้ก็ไม่รู้ (แกพูดว่าเราก็ไม่สามารถจะรู้ได้) ทำไมคะ ทำไมจะรู้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นจะมีประโยชน์อะไรที่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วรู้ไม่ได้ (มานิชตอบว่าเมื่อไหร่มีความเข้าใจเป็นบารมี) แล้ววันนี้เดี๋ยวนี้ล่ะเป็นหรือเปล่า? (มีครับ ตอนนี้เป็นครับ) พอไหม? (ไม่พอครับเป็นแค่เริ่มต้น) เพราะฉะนั้น ต้องตรงตามความเป็นจริง.
- ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประโยชน์สูงสุดในความลึกซึ้งที่จะให้เข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่จำคำแล้วก็เป็นบารมีเมื่อนั่นเมื่อนี่ แต่ว่าไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อนั้นเป็นอะไร ความจริงเป็นอย่างนี้หรือเปล่าเป็นบารมีหรือเปล่า? (ตอนที่เข้าใจก็เป็นบารมี) เดี๋ยวนี้ที่รู้ว่า สิ่งนี้เปลี่ยนไม่ได้เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ทำให้เกิดความเข้าใจลึกซึ้ง จริงไหม? (ครับ) .
- เริ่มเข้าใจพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามั่นคงขึ้นเป็นบารมีหรือเปล่า? (เป็น) .
- ถ้าเข้าใจพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบารมีอะไรบ้าง? (เป็นปัญญาบารมี) เป็นทุกบารมีหรือเปล่า? (คุณสุคิน: ท่านอาจารย์ครับผมเข้าใจคำถามเมื่อกี๊ว่า เวลาเข้าใจคุณต่างๆ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนนั้นเป็นบารมีหรือไม่) แล้วคำถามต่อไปว่า เป็นทุกบารมีหรือเปล่าหรือบารมีเดียว? (เมื่อเราเข้าใจคุณธรรมของพระพุทธองค์เมื่อไหร่ก็เป็นบารมีทั้งหมดครับ) .
- คราวหน้าต่อไปเลยว่าแต่ละบารมีคืออะไรเป็นได้อย่างไร สำหรับวันนี้ก็ยินดีในกุศล ในความอดทน ในการเริ่มเห็นพระคุณในการรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่นำสิ่งที่เป็นโทษให้เลยถ้าใครประพฤติปฏิบัติตาม จะมีแต่ประโยชน์ที่เพิ้มขึ้น.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ