อ.ดวงเดือน บารมีธรรม บำเพ็ญกุศล ในวันครบรอบ ๒๖ ปี แห่งการจากไปของคุณยายปาหนัน บารมีธรรม ๒๙ ต.ค. ๒๕๖๖

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  30 ต.ค. 2566
หมายเลข  46887
อ่าน  33,191

วันอาทิตย์ที่ ๒๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เวลา ๑๐.๐๐ น. อาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม รองประธานกรรมการ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา บำเพ็ญทานกุศล เนื่องในโอกาสวันครบรอบ ๒๖ ปี แห่งการจากไปของมารดาของท่าน คือ คุณยายปาหนัน บารมีธรรม โดยการแจกสิ่งของแก่พี่น้องประชาชน ที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับ บ้านบารมีธรรม ซึ่งอยู่ติดกับมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ในซอยเจริญนคร ๗๘ แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร

ที่ทำการของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาแห่งนี้ อาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม เป็นผู้บริจาคที่ดิน ในนามของคุณยายปาหนัน บารมีธรรม เพื่อการก่อสร้างอาคารที่ทำการของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ซึ่งได้ดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ และเปิดทำการเมื่อวันวิสาขบูชา ปีพุทธศักราช ๒๕๔๓

ปกติแล้ว ในวาระวันครบรอบแห่งการจากไปของคุณยายปาหนัน บารมีธรรม ในแต่ละปี อาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม จะเดินทางไปบำเพ็ญกุศลประการต่างๆ ณ สถานที่ต่างๆ พร้อมกับคณะผู้มีศรัทธาร่วมเดินทางไปด้วย เช่น การไถ่ชีวิต วัว ควาย ที่กำลังต้องถูกนำไปโรงฆ่าสัตว์ การจัดเลี้ยงอาหารและขนม และแจกสิ่งของที่จำเป็นแก่เด็กนักเรียน และสิ่งของที่จำเป็นเพื่อการสนับสนุนการศึกษาตามโรงเรียนต่างๆ ในชนบท และอื่นๆ ที่มีคุณค่าต่อผู้ยากไร้ และที่ไม่เคยขาดเลย คือการบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งคุณยายปาหนัน บารมีธรรม ได้กระทำอยู่เป็นประจำทุกปี เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่

สำหรับวาระการบำเพ็ญทานกุศลแจกของเนื่องในวันครบรอบ ๒๖ ปีแห่งการจากไปของคุณยายปาหนัน บารมีธรรม ในปีนี้ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้เมตตาเดินทางมาเป็นประธานในการแจกสิ่งของให้แก่พี่น้องประชาชนที่อยู่ในซอยเจริญนคร ๗๘ ที่เป็นที่ตั้งของบ้านของท่านอาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม และที่ทำการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เป็นครั้งแรก โดยมีพี่น้องประชาชนมาเข้าแถวรอรับของบริจาคเป็นจำนวนมาก

ภายหลังจากการแจกสิ่งของเสร็จสิ้นลง อาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม ได้เชิญทุกท่านที่มาร่วมบำเพ็ญทานกุศลในครั้งนี้ ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน และร่วมสนทนาธรรม ณ ห้อง วีไอพี ๙ ร้านอาหารซ้งโภชนา ถนนกัลปพฤกษ์ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร จนถึงเวลา ๑๔.๓๐ น.

ผศ.อรรณพ : วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งของโอกาสกุศล ตั้งแต่เช้าที่อาจารย์ดวงเดือนท่านได้นำพวกเราเจริญกุศลเลี้ยงชาวบ้านที่เข้าแถวกัน ก็เป็นทานกุศลที่ได้เจริญกันมา แล้วก็เนื่องในกาลที่เราได้ระลึกถึง คุณแม่ของอาจารย์ดวงเดือน ก็คือ คุณยายปาหนัน บารมีธรรม ซึ่งท่านก็เป็นเจ้าของที่ดิน ที่เป็นที่ตั้งของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

ก็เป็นโอกาสที่ระลึกถึงความดีของท่าน ที่ทำให้ยุคนี้ มี มศพ. เป็นที่ตั้งมั่นของการเผยแพร่พระธรรมในส่วนกลาง แล้วก็ไปทั่วโลก เพราะว่าเดี๋ยวนี้เราออนไลน์ไปทั่วโลก เพราะฉะนั้น พระธรรมก็ได้สถิตสถาพรในเมืองไทยและประเทศต่างๆ อย่างที่เรามีที่ตั้งมั่นอย่างที่ มศพ. เจริญนคร ๗๘ นี้

ในโอกาสนี้ ท่านอาจารย์ก็ได้ให้ความเมตตาเจริญกุศลคือการสนทนาธรรม ที่จะเป็นกุศลเมื่อได้ฟังแล้วเข้าใจ ถ้าท่านใดมีประเด็นอะไรจะสนทนาหลังอาหารแล้วนี้ ยินดีเลยนะครับ ก็กราบเรียนท่านอาจารย์ก่อนครับ

ท่านอาจารย์ : ก่อนอื่นนะคะ คำถามแรกคือ ขอถามว่า มีใครไม่สบายบ้างไหม? หรือว่า ทุกคนสบายดี อิ่มหนำสำราญ ไม่มีใครที่ไม่สบาย เราจะได้ฟังธรรมด้วยความปลอดโปร่งใจ แล้วก็จะได้มีความสุข ที่ได้มีโอกาสได้ฟัง สิ่งซึ่ง ลึกซึ้งขึ้น ทุกครั้งที่ได้ฟัง มิฉะนั้นแล้ว ก็จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เลย ถ้าไม่เห็นว่าทุกคำที่พระองค์ทรงแสดง เพื่อประโยชน์อย่างยิ่ง คือ กว่าพระองค์จะได้ทรงตรัสรู้ ความจริงเดี๋ยวนี้ ตามปกติ ไม่ใช่รู้อย่างอื่น!!

ยากไหม? เริ่มคิด!! เพราะว่า ถ้าไม่หัด คิด ไตร่ตรอง เพียงแต่ตามไปเรื่อยๆ เขาว่าอย่างไร เขาว่าแล้ว เราก็ตามไป แต่ว่า นั่นไม่ใช่เป็นเหตุที่จะทำให้เห็นความลึกซึ้งของธรรม เพราะใครจะเอาความลึกซึ้งของธรรม มาให้คนอื่นรู้ได้ ถ้าไม่ใช่ความเข้าใจของเขาเอง ที่ไม่ประมาทสักคำเดียว!! ว่าคำนี้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ดีแล้ว

"เริ่มตั้งต้น ที่จะเห็นความลึกซึ้ง" ของสิ่งที่ ฟังมาสิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี หรือแม้แต่ว่า เริ่มฟัง ไม่สามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย ถ้าไม่ไตร่ตรองและเข้าใจแต่ละคำ ไม่ใช่ว่า ฟังแล้วจำ เดี๋ยวนี้มีจิตไหม ทุกคนตอบได้ใช่ไหม? แต่ว่า..พอไหม? แค่นั้น แค่..เดี๋ยวนี้..มีจิต ...

เพราะฉะนั้น แสดงว่า แค่ "จิต" คำเดียว อยู่ที่ไหน? ไม่ไกลเลย แต่ก็ไม่รู้จัก เกิดมานานเท่าไหร่ มีจิตตลอดเวลา ไม่เคยขาด ก็ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้งอย่างยิ่ง จากการที่เริ่มได้ยินได้ฟัง แต่ว่า ขาดการพิจารณา ไตร่ตรอง ถึงความลึกซึ้ง ก็อยู่แค่นั้นเอง!! ไม่สามารถที่จะถึงความลึกซึ้งยิ่งขึ้น

แต่ว่า ใครเป็นผู้ฝึก ที่เลิศ ประเสริฐที่สุด? จากคนที่ไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ฝึก ด้วยคำของพระองค์ ที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่ละคำ ค่อยๆ อบรม จนกระทั่งความไม่รู้ มากมายตั้งแต่เกิด ทุกขณะเดี๋ยวนี้ ค่อยๆ เริ่มรู้ว่า เป็นสิ่งที่ ควรรู้ไหม?

เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ถ้าไตร่ตรอง จะปีติยินดี ที่ชาตินี้ มีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง "คำ" ซึ่งจะไม่ได้ยินจากคนอื่นเลย ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่า แม้มีคำของพระองค์ ก็ไม่สนใจ ไม่เห็นประโยชน์เลย หลายคน ก็ได้ยินตั้งแต่เล็ก คุณแม่เคยเปิด คุณย่าเคยเปิด คุณยายเคยเปิด แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะมีความสนใจที่จะเข้าใจ จนกว่าจะถึงเวลแสดงความเป็นอนัตตาอย่างยิ่ง แต่ละคำ ทุกขณะ "อนัตตา" คำเดียว แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกขณะ ทุกชาติ เป็นอนัตตาทั้งหมด!!

เพราะฉะนั้น กว่าเราจะมีความเข้าใจ จริงๆ เริ่มเห็นคุณสูงสุดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไม่ใช่แค่ฟัง!! แล้วผ่าน!! แล้วจำ!! ทุกคนตอบได้ว่า มีจิต ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทะเจ้าหรือเปล่า? หรือแค่ "ได้ยิน" ใครก็พูดได้ ไม่ต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พูดได้ แต่ว่า ใครจะอธิบาย ค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ อบรม จนคนฟัง เริ่มฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่ง คือไตร่ตรอง ละเอียด ลึกซึ้ง จนรู้ว่า เป็นสิ่งที่ ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย เดี๋ยวนี้เอง แต่ทำไมไม่รู้ จะไปรู้ที่ไหนได้ ถ้าไม่รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ธรรมดาๆ ตามปกติ ไม่ต้องทำอะไรเลย ทำอะไรก็ไม่ได้ เพราะว่า เกิดแล้วทุกอย่าง!! ใครทำ?

ถ้ากำลังคิดเดี๋ยวนี้ เราอยากจะคิดอย่างนั้น อยากจะคิดอย่างนี้ เชิญอยากไปตามสบาย แต่ไม่รู้ความจริงว่า เกิดแล้ว ต่างหาก!! แม้แต่คิดอย่างนั้น!!

เพราะฉะนั้น เราก็จะเริ่ม รู้ว่า เรามืดบอดมานานเท่าไหร่ ในสังสารวัฏฏ์ ทั้งๆ ที่ ไม่รู้ว่าชาติไหน อาจจะเคยได้ยินได้ฟัง หรือไม่เคยเลยก็ตามแต่ แต่ ณ บัดนี้ มีโอกาสได้ฟัง แล้วก็รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้สิ่งที่มี เดี๋ยวนี้เอง!! ไม่ว่าขณะไหนทั้งสิ้น!! แต่ว่าโอกาสที่จะได้สะสม ประโยชน์สูงสุดคือ จากความไม่รู้ ลอง เริ่มต้นคิด!! แล้วรู้ดีไหม? ถ้ารู้แล้วเดือดร้อนหรือเปล่า? เห็นไหม มีแต่ประโยชน์ แต่ก็ยังไม่เห็นประโยชน์ ถ้าไม่มีการสะสมมา ทีละเล็ก ทีละน้อย ว่า เกิดมาเพื่ออะไร

ทุกคนเกิดแล้ว มีใครไม่ตายบ้าง? แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และความตาย เดี๋ยวนี้ก็ได้ ลองคิดดู ทรงแสดงความจริงว่า ขณะที่เห็น มีจริง ขณะที่ได้ยิน ก็มีจริง ต่างขณะกัน แต่เหมือนติดกันไหม? ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน เดี๋ยวนี้ แต่ความจริงคือ แสนที่จะห่างไกล มีอะไรๆ คั่น มากมาย เพราะทั้งๆ ที่เห็นเดี๋ยวนี้ ก็คิดเรื่องอื่นตั้งยาว ใช่ไหม? ไม่จบ!! คิดโน่น คิดนี่ มาตลอด ทั้งๆ ที่ "เห็น" ก็มีอยู่ตลอดเหมือนกัน แต่ว่า ไม่รู้ตามความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น เริ่มรู้ไหม ว่า สิ่งไหนแน่ ที่ควรรู้ก่อนตาย เพราะว่า ถ้าตายไปโดยไม่รู้ความจริง เกิดอีก ก็ไม่รู้อีก!! ทั้งๆ ที่ โอกาสที่จะรู้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ไม่ต้องคิดถึงขณะที่ล่วงไปแล้ว หรือขณะที่ยังไม่มาถึง

เสียเวลาไหม ไปคิดถึง สิ่งซึ่งไม่มีประโยชน์!! แต่กำลังมี "คำ" ที่กล่าวถึง สิ่งที่มีจริง ที่ลึกซึ้ง ให้ค่อยๆ สะสม อบรม จากความไม่รู้ ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะเหตุว่า ถ้าไม่รู้ ก็ไม่รู้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว เป็นคนดีสักเท่าไหร่ ตายไหม? แต่ก็ยังไม่รู้ว่า ไม่มีเรา!!

เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุด จริงๆ แต่ละคำ ลืมไม่ได้!! ค่อยๆ สะสมความเข้าใจ กว่าจะเป็นปกติ ให้เห็นการสะสมที่เป็นเรามาตลอด เพียงแค่นี้ บางคนก็อยากจะทำอย่างนั้น อยากจะทำอย่างนี้ ก็ลืมอีก ว่า แค่นั้นน่ะ เข้าใจหมายของคำว่า "อนัตตา" ไม่ใช่เรา หรือเปล่า?

ด้วยเหตุนี้ การฟังพระธรรม ประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่อะไรเลย นอกจาก "เข้าใจ" จริงหรือเปล่า? แค่นี้ ไม่ต้องถามใคร แต่คนที่ฟัง ลองคิดดูก็แล้วกัน เกิดแล้วก็ต้องตาย จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ก่อนตาย ที่ยังตายไม่ได้นี้ จะต้องเห็น จะต้องได้ยิน อย่างนี้เลย ทุกขณะ แล้วก็คิดนึก สารพัดเรื่อง ทั้งๆ ที่ ขณะนั้น สิ่งหนึ่ง สิ่งใด มีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งนั้น มีความดับไป เป็นธรรมดา แค่นี้!! ลืมเสมอ!! ไม่รู้เลยว่า เดี๋ยวนี้ กำลังเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย!! นอกจาก "ฟัง" แล้วก็ "ไตร่ตรอง" จากการที่ฟังแล้วตามไปเรื่อยๆ เป็นการเริ่มรู้ เข้าใจความจริง คนอื่นจะเข้าใจแทนเราไม่ได้!! คนอื่นจะบอกว่าเราเก่ง เท่านั้น เท่านี้ หรือว่า เราไม่รู้ เท่านั้น เท่านี้ เราโง่ เท่านั้น เท่านี้ ใครจะรู้ความจริง เป็นความคิดของแต่ละคน ซึ่งเป็นคนอื่น!!

เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุด ก็คือว่า ไม่ประมาทในการฟังพระธรรม ว่า ฟังทำไม? ฟังเพื่อเข้าใจ เท่านั้น!! ประโยชน์สูงสุด ก็คือว่า ทรัพย์สมบัติใดๆ ก็ตามไปไม่ได้ ทั้งหมดที่เคยมี ที่เข้าใจว่าเป็นของเรา เพียงแค่ไม่คิด เงินในธนาคารอยู่ที่ไหน? ไม่มี!! ใช่ไหม? คิดเมื่อไหร่ มีเมื่อนั้น!! จำนวนเท่าไหร่ ก็ว่ากันไป แต่ว่า เพราะ "คิด" ใช่ไหม? เห็นอย่างนี้ จะรู้ไหมว่า มีเงินในธนาคารเท่าไหร่ ต้องคิด บังคับให้คิด ก็ไม่ได้ บังคับให้ไม่คิด ก็ไม่ได้!!

ทุกอย่าง เริ่มเข้าใจความเป็นอนัตตาจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ให้ไปรู้อื่น!! แต่รู้สิ่งที่กำลังมี ซึ่งเคยเข้าใจว่า เป็นเรา หรือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อให้มีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น ว่าไม่มีเรา ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้น เป็นธาตุรู้ แค่นี้ แค่ "ธาตุรู้" ไม่ต้องใช้คำว่า "จิต" ก็ได้ แต่ว่า กว่าจะรู้ว่า ธาตุรู้ รู้อะไร? เห็นไหม ได้ยินคำว่า ธาตุรู้ ถ้าไม่คิด ก็จำแค่มีธาตุรู้ แล้ว "เห็น" เป็นอะไร ก็ไม่รู้

แต่เดี๋ยวนี้ "เห็น" มี "สิ่งที่ปรากฏให้เห็น" เพราะฉะนั้น "เห็น" คือ "ธาตุรู้" สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แค่นี้ ลืมไหม? ฟังเดี๋ยวนี้ เข้าใจเดี๋ยวนี้ แล้ว ลืมไหม? กว่าเราจะรู้ว่า ความจริงคืออะไร แล้วก็รู้จักจริงๆ ว่า ความไม่รู้มากมายแค่ไหน พราะฉะนั้น จะขาดการฟังไม่ได้เลย ประมาทเมื่อไหร่ ขณะนั้น ไม่รู้!!

แล้วรู้แค่ไหน? ในสังสารวัฏฏ์ เห็นมาตั้งนับไม่ถ้วน ได้ยินก็นับไม่ถ้วน เรื่องราวต่างๆ สุข ทุกข์ ใดๆ ก็หมดไป จำไม่ได้เลย นับไม่ถ้วน!! และเดี๋ยวนี้ ก็กำลังเป็นอย่างนั้น!! แล้ว รู้แค่ไหน?

เพราะฉะนั้น กว่าจะเห็นคุณของการที่ได้ฟัง สิ่งที่เป็นจริงๆ มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ให้เริ่มเข้าใจถูก จนกว่า แค่ไหน? ไม่มีการเข้าใจผิด!! ยึดถือว่า เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ เป็นเรา ในสังสารวัฏฏ์ อีกต่อไป!!

ลองคิดดู นานเท่าไหร่ เมื่อไหร่ ใครจะรีบร้อนบ้าง? เห็นไหม มาแล้ว ให้คิด!! ใครจะรีบร้อนบ้าง? รีบร้อนน่ะ ผิดหรือถูก? เห็นไหม? อะไรทำให้รีบร้อน? อยากจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ไม่รู้เลย!!

เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้ง ของแต่ละอย่างที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่พูดถึงเลย ไม่รู้!! ใครรู้บ้าง ว่าเดี๋ยวนี้คืออะไร? เป็นอะไร? ทั้งๆ ที่ กำลังมี!! รู้ไม่ได้เลย เพราะว่า ไม่ได้ฟัง!! ฟังแล้วไม่ได้ไตร่ตรอง ไตร่ตรองไม่พอ ตราบใดที่ยังไม่ "ตรงสิ่งที่ปรากฏ" ที่เป็นจริงอย่างนั้น!!

เพราะฉะนั้น ความอดทน มากมายมหาศาล ไหม? เทียบกับการที่จะ ไม่เหลือความยึดถือว่าเป็นเราเลย อีกต่อไป ในสังสารวัฏฏ์ แสนโกฏิกัปป์ นับไม่ถ้วน ที่ผ่านมา หมด!! ไม่เหลือเลย!!!

นี่คือ ปฏิหาริย์ ของคำแต่ละคำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทำให้ผู้ที่เริ่มสะสม เห็นประโยชน์ที่สุด ในชีวิต ไม่มีอะไรที่มีประโยชน์ เห็นเดี๋ยวนี้ ดับแล้ว!! คิดเดี๋ยวนี้ ดับแล้ว!! ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น ไม่เหลือเลย!! ดับแล้ว!! แล้วประโยชน์ อยู่ตรงไหน?

กับการที่จะมีความเข้าใจถูกจริงๆ ว่า ที่เคยเป็นเรา นานมาเท่าไหร่ก็ตามแต่ สามารถที่จะ ค่อยๆ ละ คลาย ทีละน้อยมาก แต่ก็ถึงวันที่ประจักษ์แจ้งความจริงได้ ถ้าไม่ประมาท!!

เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรที่จะมีค่าสูงสุด ในชีวิต ชาตินี้เริ่มรู้คุณ ตอนเป็นเด็ก รู้อย่างนี้หรือเปล่า? ไม่มีทาง!! เติบโตมาจนถึงวันนี้ ถ้าไม่ได้ฟัง รู้หรือเปล่า? ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย!! แต่ต้องเป็นผู้ที่ฟังด้วยความเคารพ มั่นคง ฟังมาแล้วจริง ตทาลัมพนะ สันตีรณะ หน้านั้นพระไตรปิฎกว่าอย่างนี้ คำนี้ไปพ้องกับคำนั้น ความหมายเท่าไหร่ แล้วไม่รู้สิ่งที่กำลังมี!! ว่า ทั้งหมดนั้น กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมี เดี๋ยวนี้!! แต่ถ้าไม่เข้าใจ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า นี่คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีค่าที่สุด จะรู้มาก รู้น้อย ก็ตาม ให้เริ่มเห็นคุณ ของการที่ จากเกิดมานานเท่าไหร่ ไม่รู้สิ่งที่กำลังมี แล้วเริ่มเข้าใจถูก จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง!! อดทนไหม? นานเท่าไหร่ ที่ไม่รู้มาเกินแสนโกฏิกัปป์ แล้วจะไม่เหลือเลย ที่จะยึดถือว่าเป็นเราอีกต่อไป ...

ชมรมบ้านธัมมะ มศพ. กราบยินดียิ่งในกุศลของอาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม ในครั้งนี้ และร่วมอุทิศกุศลทุกประการที่ทุกท่านได้บำเพ็ญแล้ว แด่คุณยายปาหนัน บารมีธรรม ผู้มีพระคุณยิ่งของชาวสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. มา ณ โอกาสนี้

"ทำดีและศึกษาพระธรรม"



  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 30 ต.ค. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลทุกประการของท่านอาจารย์ดวงเดือนด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Kalaya
วันที่ 30 ต.ค. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์ดวงเดือน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Nataya
วันที่ 30 ต.ค. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการของท่านอาจารย์ดวงเดือนด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
มังกรทอง
วันที่ 30 ต.ค. 2566

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 30 ต.ค. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jirat wen
วันที่ 30 ต.ค. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลทุกประการของท่านอาจารย์ดวงเดือนด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
นอนก่อนนะ
วันที่ 30 ต.ค. 2566

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ เจ้าคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 30 ต.ค. 2566

กราบอนุโมทนาในกุศลของท่านอาจารย์ดวงเดือน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Jans
วันที่ 31 ต.ค. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลทุกประการของท่านอาจารย์ดวงเดือนด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Wisaka
วันที่ 31 ต.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
papon
วันที่ 31 ต.ค. 2566

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
รมิดา
วันที่ 31 ต.ค. 2566

กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Selaruck
วันที่ 31 ต.ค. 2566

กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ที่เคารพสูงยิ่ง

กราบท่านอาจารย์ดวงเดือนด้วยความเคารพยิ่ง และกราบอนุโมทนาในกุศลจิตทุกประการของท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Vilailuck
วันที่ 2 พ.ย. 2566

น้อมกราบอนุโมทนาบุญเจ้าคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
muda muda
วันที่ 3 พ.ย. 2566

กราบยินดีในกุศลทุกประการของทุกท่านค่ะ สาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
นิคม
วันที่ 4 พ.ย. 2566

กราบอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ