ภาษาบาลีสัปดาห์ละคำ [คำที่ ๖๓๗] จิตฺตสมฺปยุตฺต

 
Sudhipong.U
วันที่  17 พ.ย. 2566
หมายเลข  46936
อ่าน  260

คำบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ จิตฺตสมฺปยุตฺต

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

จิตฺตสมฺปยุตฺต อ่านตามภาษาบาลีว่า จิด - ตะ - สำ - ปะ - ยุด - ตะ มาจากคำว่า จิตฺต (จิต, ใจ, ธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) กับคำว่า สมฺปยุตฺต (ประกอบพร้อม, สัมปยุตต์) จึงรวมกันเป็น จิตฺตสมฺปยุตฺต เขียนเป็นไทยได้ว่า จิตตสัมปยุตต์ แปลว่า ธรรมทั้งหลายที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต เป็นอีก ๑ คำที่แสดงถึงความเป็นจริงของธรรมประเภทหนึ่ง คือ เจตสิกทั้งหลายนั่นเอง เพราะเหตุว่าเจตสิกทั้งหลายเป็นธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต

ข้อความในพระอภิธรรมปิฎก ธัมมสังคณีปกรณ์ ได้แสดงถึงความเป็นจริงของธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต ดังนี้ ธรรม สัมปยุตต์กับจิต เป็นไฉน?

เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรม สัมปยุตต์กับจิต


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงทุกอย่างทุกประการตามความเป็นจริง เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ทรงมีพระมหากรุณาที่จะเกื้อกูลสัตว์โลกให้ได้เข้าใจธรรมตามพระองค์ด้วย พระองค์จึงทรงแสดงพระธรรมประกาศพระศาสนา ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา เมื่อกล่าวโดยประมวลแล้ว พระธรรมคำสอนทั้งหมดพระองค์ทรงแสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ซึ่งเมื่อจะกล่าวให้สั้นกว่านั้น คือ ไม่พ้นไปจากนามธรรม กับ รูปธรรม และสั้นที่สุด คือ ธรรมนั่นเอง ธรรมทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีจริง แม้ไม่เรียกชื่อ ก็ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นอย่างอื่น ย่อมทรงไว้ซึ่งลักษณะของตนๆ แต่ต้องใช้ชื่อ เพื่อให้รู้ว่ากำลังพูดถึงธรรมอะไร อันจะเป็นเครื่องส่องให้ผู้ฟัง ผู้ศึกษาได้เข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ตามความเป็นจริง

เมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับ ก็จะเข้าใจว่า ธาตุรู้ หรือ สภาพรู้นั้น มี ๒ อย่าง ได้แก่ จิต เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ และ อย่างที่สอง ได้แก่ เจตสิก คือ สภาพธรรมที่เกิดร่วมหรือประกอบพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกันกับจิต และสำหรับในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็อาศัยที่เกิดที่เดียวกันกับจิตด้วย ตัวอย่างของเจตสิก เช่น โลภะ (ความโลภ, ความติดข้องต้องการ) โทสะ (ความโกรธ) โมหะ (ความไม่รู้) ศรัทธา (ความเลื่อมใส, ความผ่องใสแห่งจิต) สติ (ความระลึกเป็นไปในกุศลธรรม) ปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) วิริยะ (ความเพียร) อโลภะ (ความไม่โลภ) อโทสะ (ความไม่โกรธ) สัญญา (ความจำ) เวทนา (ความรู้สึก) เป็นต้น เป็นธรรมแต่ละอย่างๆ ที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย กระทำกิจหน้าที่ของตนๆ แล้วก็ดับไปไม่เที่ยง ไม่ยังยืน ซึ่งจะเห็นได้ว่า ไม่มีใครทำอะไรเลย เพราะมีแต่สภาพธรรม กล่าวคือ จิตและเจตสิก เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่เท่านั้นจริงๆ

เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต ก็ได้แก่เจตสิกนั่นเอง ซึ่งเจตสิกทั้งหลายนั้น ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย เพราะมีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน การที่จะเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงได้นั้น ไม่ใช่คิดเอง แต่ต้องได้อาศัยพระธรรมแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ทุกขณะที่จิตเกิดขึ้นจะต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ตามควรแก่ประเภทของจิตนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นอกุศลจิต ก็จะมีอกุศลเจตสิก เช่น อหิริกะ (ความไม่ละอายต่ออกุศล) อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัวต่อโทษภัยของอกุศล) อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน ไม่สงบแห่งจิต) โมหะ (ความไม่รู้) เป็นต้น เกิดร่วมด้วย และในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นกุศลจิต ซึ่งเป็นจิตที่ดีงาม ก็จะมีเจตสิกฝ่ายดี เช่น ศรัทธา (ความเลื่อมใส, ความผ่องใสแห่งจิต) สติ (สภาพที่ระลึกเป็นไปในกุศล) หิริ (ความละอายต่ออกุศล) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อโทษภัยของอกุศล) เป็นต้น เกิดร่วมด้วย

แม้ว่าจิตจะเป็นใหญ่เป็นประธานในการทำกิจรู้แจ้งอารมณ์ แต่จะเกิดโดยปราศจากเจตสิกไม่ได้ เช่น ถ้าผัสสะไม่กระทบอารมณ์ สัญญาไม่จำอารมณ์ เจตนาไม่ขวนขวายจัดแจงในอารมณ์ หรือมนสิการไม่สนใจในอารมณ์ เป็นต้น จิตก็ย่อมจะเกิดขึ้นไม่ได้ อุปมาเหมือนกับพระราชาเมื่อจะเสด็จไปไหน ก็มิได้เสด็จไปพระองค์เดียว แต่ทรงแวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ข้าราชบริพาร พระราชาทรงเป็นใหญ่ เป็นประธานของหมู่อำมาตย์ข้าราชบริพาร ทั้งหมดทั้งปวงนั้นแสดงถึงความเป็นจริงของธรรม เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เพื่อประโยชน์แก่สาวกผู้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จะได้รู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

ประโยชน์สูงสุดของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก เพื่อละคลายความไม่รู้ ละคลายความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองเป็นสำคัญ ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงๆ มีจริงในขณะนี้ แต่เพราะไม่รู้ จึงต้องฟังต้องศึกษา เพื่อจะได้เข้าใจอย่างถูกต้องบุคคลผู้ที่ตั้งใจฟังตั้งใจศึกษาด้วยความเคารพละเอียดรอบคอบ ย่อมจะได้ประโยชน์จากพระธรรมตามกำลังปัญญาของตนเอง ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับเป็นที่พึ่งทั้งในโลกนี้และสะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้าอีกด้วย


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 9 เม.ย. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ