อะไรเป็นธรรมดา

 
nattawan
วันที่  12 พ.ย. 2566
หมายเลข  46946
อ่าน  329

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่ไม่เคยรู้จึงต้องฟังให้รู้ว่า อะไรเป็นธรรมดา และเป็นธรรมดาอย่างไร

ธรรมดามาจากภาษาบาลี ธรรมะและตา คือ ความเป็นไปของธรรมะ ไม่ว่าจะได้ฟังคำไหนจากพระไตรปิฎกอรรถกถา ก็ต้องกล่าวถึงความเป็นไปของธรรมะ ซึ่งเป็นของธรรมดาว่าไม่ใช่เรา

เชิญคลิกชม ...

รายการบ้านธัมมะ 18 ธันวาคม 2564 เรื่อง อะไรเป็นธรรมดา

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nattawan
วันที่ 12 พ.ย. 2566

ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งที่มีจริงๆ ทุกขณะ ต้องฟังเพื่อเข้าใจในแต่ละคำ ไม่ใช่ฟังเพื่ออย่างอื่น เข้าใจทีละคำว่าคืออะไร มีจริงไหม ถ้ามีจริงเดี๋ยวนี้มีไหม?

อายตนะ ทีละคำ ที่เกิดมีไหมหมายความว่าเกิดมี ถ้าไม่มีจะพูดถึงที่เกิดทำไม ทุกคำต้องไตร่ตรองเพื่อรู้ เพื่อละความไม่รู้ ต้องไม่ลืมเลยคิดเองยังไงๆ ก็ต้องได้ยินคำว่าที่เกิด ... ที่ประชุม ... คิดว่าฟังแล้วเข้าใจเลยหรือ ... เป็นไปไม่ได้!!!

ต้องไตร่ตรองว่าที่เกิดที่ประชุมก็คือต้องเกิดต้องมีสิ่งที่เกิดแล้ว และที่เกิดของสิ่งนั้นก็ต้องมีด้วยว่าอะไรเป็นที่เกิด และยังมีที่ประชุมแสดงว่าที่นั่นต้องมีหลายอย่างไม่ใช่มีเพียงอย่างเดียว แต่ละหนึ่งถ้าไม่รวมกันก็ไม่ใช่ที่ประชุม เพราะฉะนั้นหนึ่งที่มีเกิดขึ้นแล้วก็ต้องมีอย่างอื่นตรงนั้นด้วย และแต่ละอย่างก็ต้องเป็นที่เกิดที่ประชุมทั้งนั้น ตรงนั้นแหละเป็นที่ประชุมของธรรมะ ที่เป็นที่เกิดของธรรมะ ลึกซึ้งไหม ถ้าไม่ขยายความต่อไปไม่เข้าใจเลย

เดี๋ยวนี้มีอะไรเกิดหรือเปล่า? มีสีสันวรรณะต่างๆ มีที่เกิดไหม? ก็ต้องมีทำไมรู้ว่ามีสีสันวรนณะ? มีการเห็นเพราะฉะนั้นจะมีสีสันวรรณะโดยไม่มีสภาพรู้ได้ไหม?? ไม่ได้ เพราะว่ารู้จึงรู้ว่ามี เพราะฉะนั้นเห็นก็คือขณะนี้เลยสามารถที่จะเข้าใจพระธรรม เป็นที่เกิด ... ลืม ... คิดว่าเรามีชีวิตทุกวันไม่เห็นมีอะไรเกิดสักอย่าง แต่ความจริงคือถ้าไม่มีแต่ละหนึ่งเกิด ก็ไม่มีอะไรทั้งสิ้น แต่เมื่อมีสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ต้องมีที่เกิดด้วยก็คือว่า เกิดตามลำพังไม่ได้เพราะเป็นที่ประชุมของสิ่งที่มีขณะนั้น ให้สภาพธรรมะนั้นมีขึ้น เกิดขึ้น

ขณะนี้มีเห็น ... เห็นเกิดแน่ ... เป็นอายตนะหรือเปล่า?? เรียนแต่ชื่อว่ามีอายตนะภายใน 6 ภายนอก 6 แต่ไม่มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ต้องเข้าใจในความไม่มีเราซึ่งเป็นความจริงถึงที่สุด ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยทั้งสิ้น ก็ไม่มีอะไรเลย แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่มีเฉพาะสิ่งนั้นตรงนั้น แต่เป็นที่ประชุมของสภาพธรรมะซึ่งทำให้เกิดสิ่งนั้นขึ้น ถ้าปรทศจากสิ่งหนึ่งสิ่งใด สิ่งนั้นก็มีไม่ได้ เกิดไม่ได้แต่ต้องมีการประชุมแต่ละหนึ่งๆ เป็นปัจจัยอาศัยกันและกันทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น

เพียงแค่เห็น ... ไม่มีตา ... เห็นเกิดตรงไหน?? เกิดที่ตา ถ้าไม่มีตาจะมีเห็นไหม?? เพราะฉะนั้นตรงนั้นเป็นที่ประชุมเป็นที่เกิดของเห็น

ต้องละเอียดกว่านั้นอีกว่าธรรมะคืออะไร? คือสิ่งที่มีจริงมีลักษณะเฉพาะต้องเป็นสิ่งนั้นเป็นสิ่งอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมะเดี๋ยวนี้มีอะไรปรากฏ มีจริงไหม?? กำลังได้ยินเสียง ... เสียงจริงไหม?? ถ้าไม่มีธาตุที่ได้ยินเสียงหมายความว่ารู้เฉพาะสิ่งที่กระทบจะปรากฎว่าเป็นสิ่งนั้นได้ไหม? ไม่ได้ ... ก็เริ่มเข้าใจอายตนะภายในและภายนอก ... ไม่เผิน!!! ต้องมีหูด้วยและมีสภาพที่กระทบที่เป็นรูปธรรมคือเสียง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nattawan
วันที่ 12 พ.ย. 2566

อยู่ในโลกของสมมติบัญญัติมานานมากโดยไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเป็นปรมัตถธรรมว่าคืออะไร แต่ว่าต้องมีปรมัตถธรรม คือ สิ่งที่มีจริงเกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสายจนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิต อนุพยัญชนะของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งมีความหลากหลายต่างกันมาก จึงสามารถรู้ได้โดยประการนั้นๆ ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่ถ้าไม่ได้ศึกษาแล้วก็จะไม่รู้เลยว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะที่ไม่ใช่เรา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nattawan
วันที่ 12 พ.ย. 2566

... ปัญญา เป็นรัตนะของนรชน ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nattawan
วันที่ 12 พ.ย. 2566
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nattawan
วันที่ 12 พ.ย. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 12 พ.ย. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ