รู้จักตัวเอง

 
nattawan
วันที่  14 พ.ย. 2566
หมายเลข  46960
อ่าน  417

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ไม่ทราบว่ารู้จักตัวเองกันหรือยัง? ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรมะหลายท่านอาจคิดว่ารู้จักตัวเองแล้วว่า ตัวเองเป็นใคร มีความชอบความถนัดอะไร มีอุปนิสัยอย่างไร มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง แต่นั่นยังไม่ชื่อว่ารู้จักตัวเองจริงๆ เพราะว่าถ้ารู้จริงต้องเป็นการรู้ว่า แท้ที่จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่มีปัจจัยเกิดขึ้นนั้น ... ไม่ใช่เรา ... แต่ว่าเป็นธรรมะที่ได้สะสมมา เพราะฉะนั้นการที่จะรู้จักธรรมะที่ดีที่สุดคือ การรู้จักธรรมะที่ได้สะสมมาตามความเป็นจริงที่เกิดกับตนเอง ...

เชิญคลิกชม ...

รายการบ้านธัมมะ 4 ธันวาคม 2564 เรื่อง รู้จักตัวเอง

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nattawan
วันที่ 14 พ.ย. 2566

การฟังธรรมเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์มาก เพราะถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า เราจะไม่ได้ยินคำของพระองค์ ต้องเข้าใจตั้งแต่ต้นทุกครั้งที่ได้ฟังคำที่ตรัสด้วยพระองค์เอง จากการที่ได้ทรงตรัสรู้

การตั้งจิตไว้ชอบคือฟังเพื่ออะไร?ไม่ใช่ฟังเพื่ออย่างอื่นเลยทั้งสิ้น แต่ฟังเพื่อเข้าใจความจริง เพราะทุกคำที่พระองค์ตรัส ... ตรัสถึงสิ่งที่มีจริง แต่ว่าไม่มีใครรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้และทรงแสดงธรรมะแต่ละคำให้เราเข้าใจ

ผู้ฟังก็ต้องคิดถึงว่าใครเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ... แล้วเราเป็นใคร? เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปคิดถึงว่า จะได้เป็นพระโสดาบันดับกิเลส หรือว่าเป็นพระสกทาคามีดับกิเลสต่อไปอีก จนถึงความเป็นพระอนาคามีดับกิเลสต่อไปอีก จนถึงความเป็นพระอรหันต์ ... ไกลแสนไกลเพราะไม่รู้ ... ไม่ใช่ว่าใครสามารถที่จะไปถึงการที่พระองค์ทรงแสดงหนทางเพื่อรู้ความจริงโดยง่ายเลย แม้พระองค์เองก็ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะรู้สิ่งที่พระองค์ตรัสถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ว่าจากการตรัสรู้พระองค์ทรงประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะรู้เองได้เลย ... ได้ฟังแล้วก็ยังยาก ... เหลือเชื่อ ... แต่ใครเป็นคนจากการที่ จากการที่ได้ประจักษ์แจ้ง

แต่ละคำเป็นคำจริงที่ความไม่รู้ในแสนโกฏิกัปป์ที่ผ่านมา ทำให้ปิดบังความจริงที่ไม่มีใครสามารถรู้ได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่ได้ฟังแล้วประโยชน์ไม่ใช่ไปแยกธรรมะหรือทำอะไรทั้งสิ้น ประโยชน์คือได้เข้าใจสิ่งที่มีที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน ซึ่งขณะนี้ก็กำลังถูกปกปิดด้วยความไม่รู้ จนกว่าความเข้าใจคำของพระองค์จะค่อยๆ เปิดเผยสิ่งที่มีให้ปรากฏ

ถูกปกปิดไว้นานเท่าไหร่ มากเท่าไหร่ หนาเท่าไหร่ แสนโกฏิกัปป์มาแล้วทุกขณะ เพราะฉะนั้นเป็นการยากยิ่งที่จะเข้าใจคำของพระองค์โดยง่าย

ประโยชน์ที่สุดในสังสารวัฏฏ์คือ มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังคำจริง ซึ่งเป็นประโยชน์ที่จะทำให้จากการที่หลงไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น จากเกิดแล้วก็ต้องตายทุกคน แต่ก่อนตายก็จะมีการเห็น ได้ยิน คิดนึก ทำดี ทำชั่ว หลากหลายมากซึ่งบังคับบัญชาไม่ได้เลย เพราะเห็นว่าไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งต่างๆ ที่มีไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เราเคยยึดถือว่าสิ่งนั้นเที่ยงและมั่นคง

ขณะนี้ลองคิดดูว่าคำของพระองค์ที่ตรัสว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา" ไม่ต้องไปแยกอะไรใช่ไหม แต่ฟังให้เข้าใจว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เกิดดับ ... นี่คำของใคร ... คำของผู้ที่ได้ตรัสรู้ เพื่อให้คนฟังได้เริ่มเห็นถูก เข้าใจถูก ซึ่งความเห็นถูกก็ไม่ใช่เรา เพราะเห็นว่าถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย อะไรๆ ก็ไม่มี โลกก็ไม่ปรากฏ แต่เมื่อมีสิ่งที่เกิดและมีสภาพรู้เกิดเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง โลกจึงปรากฏ

ฟังคำของพระองค์เพื่อเกิดความเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มี ซึ่งทุกคำของพระองค์สามารถจะประจักษ์แจ้งได้ด้วยความเข้าใจ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจเลยไม่มีทางที่จะรู้ว่า คำจริงสามารถที่จะรู้ได้ด้วยการเข้าใจขึ้นๆ ไม่ใช่คิดว่าเมื่อไหร่เราจะรู้ เมื่อไหร่จะแยกได้ เมื่อไหร่เราจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ต้องไปทำอะไรเลยแต่ฟังเข้าใจ แต่ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจคำนั้นจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นคำจริง ... ไตร่ตรองจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจ แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังเป็นประโยชน์

การศึกษาใดๆ ก็ตามต้องตั้งต้น ถ้าไม่มีการเริ่มเลยในสังสารวัฏฏ์ แล้วต่อไปก็ไม่ได้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ชาติไหนก็ตามมีโอกาสได้ฟังความจริง แล้วเห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่ละเลยการที่จะค่อยๆ มีความเห็นประโยชน์ จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนกระทั่งรู้ว่า สิ่งที่มีประโยชน์ในชาติหนึ่งๆ ที่เกิดมา ไม่มีอะไรเท่ากับความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีตามความเป็นจริง เพราะว่าทุกอย่างต้องหมดสิ้นไปไม่เหลือเลยสักอย่างเดียว

ความจริงก็คือสิ่งที่มีจริงมีเมื่อเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เกิดแล้วดับไปไม่เหลือเลย เพราะว่าแต่ละหนึ่งไม่ซ้ำกันเลย แม้แต่เดี๋ยวนี้เห็นก็ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิด แต่ละหนึ่งต้องเกิดแน่นอนแล้วดับไปด้วย แต่ไม่มีการรู้ว่าสิ่งนั้นได้เกิดขึ้นและดับไปแล้ว เพราะการสืบต่อรวดเร็วสุดที่จะประมาณได้

การฟังคำซึ่งเราใช้คำว่า "ธรรม" คำของพระพุทธเจ้าต้องไตร่ตรอง และเห็นความหนาแน่นของความไม่รู้ และความเข้าใจที่ค่อยๆ เกิดขึ้นจะรู้ได้ว่าเพราะได้ฟังและเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง จนกระทั่งละความเห็นผิดที่หลงยึดถือว่ามีเราหรือว่าเป็นเราหรือว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงที่ยั่งยืน

คำจริงแต่ละคำจะนำไปสู่ความเข้าใจขึ้น ความเห็นถูกเพิ่มขึ้น แล้วสิ่งที่กำลังเกิดดับจึงปรากฏ ไม่มีอะไรที่จะปิดกั้น ซึ่งสิ่งที่ปิดกั้นตลอดเวลาคือความไม่รู้!!!

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nattawan
วันที่ 14 พ.ย. 2566

ต้องรู้จักตัวเองว่าเป็นผู้ไม่รู้แค่ไหนแต่ว่ามีผู้ที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงความจริงให้สามารถเข้าใจได้จึงเป็นผู้ที่ฟังพระธรรมเมื่อฟังแล้วก็สามารถมีปัจจัยให้สติปัญญาสามารถเกิดขึ้นรู้ลักษณะของสภาพธรรมะตามที่ได้สะสมมาเมื่อรู้ธรรมะตามที่ได้สะสมมาเมื่อไหร่จึงจะชื่อว่าเป็นผู้ที่รู้จักตัวเองเพราะว่าแท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ตัวตนเลยแต่เป็นธรรมะนั่นเอง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nattawan
วันที่ 14 พ.ย. 2566

... การบูชาบุคคลที่ควรบูชา เป็นมงคลอันอุดม ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nattawan
วันที่ 14 พ.ย. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nattawan
วันที่ 14 พ.ย. 2566

มีชีวิตอยู่เพื่อปัญญาปรากฎ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nattawan
วันที่ 14 พ.ย. 2566

แนะนำหนังสือ ...

จิตปรมัตถ์ เล่ม 2

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 14 พ.ย. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ