จะเชื่อใคร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้ที่เห็นคุณค่าของพระธรรม และรู้ว่าพระธรรมยากลึกซึ้งอย่างยิ่ง เป็นผู้ที่ไม่ประมาทในแต่ละคำ ไม่หลงลืมทุกคำที่ได้ฟังแล้วก็เข้าใจแล้ว
ผู้นั้นก็จะรู้ว่า คำใดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคำใดไม่ใช่คำของพระองค์ เพราะฉะนั้นถ้ามีปัญญาเข้าใจถูกต้องแล้ว ... จะเชื่อใคร?
เชิญคลิกชมหาคำตอบได้ค่ะ ...
รายการบ้านธัมมะ 16 ตุลาคม 2564 เรื่อง จะเชื่อใคร
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
ความสำคัญของการศึกษาธรรมะ ฟังธรรมะเพื่อความเข้าใจว่าไม่มีเรา ไม่ใช่เรา เป็นจุดเล็กๆ ที่สำคัญอย่างยิ่งอย่างไรกับจุดประสงค์ของการศึกษาธรรมะ? ... ความจริงไม่ว่าจะน้อยมากอย่างไร ... ความจริงสำคัญเพราะเป็นความถูกต้อง เพราะฉะนั้นเล็กที่สุดที่จริงก็ต้องสำคัญเพราะไม่ผิด ถ้ามีความเข้าใจความจริงทีละนิดทีละหน่อยตรงตามความเป็นจริง ... ก็จะจริงตลอดไป
ต้องเป็นผู้ที่ไตร่ตรองละเอียดเพราะเหตุว่าสิ่งที่ปรากฏไม่เคยปรากฏตามความเป็นจริง แต่ใครรู้? เกิดมามีใครรู้บ้างว่า สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง แสดงว่าความไม่รู้มากมายมหาศาลแค่ไหน
ทุกคำที่ได้ฟังไม่ใช่คำของใครที่สามารถจะไปตรัสรู้ความจริงได้ด้วยตัวเอง แต่ต้องเป็นคำของผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี มีปัญญา การที่จะเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีที่ปรากฏ โดยคนอื่นไม่คิดจะเข้าใจว่า ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้คืออะไร
บุคคลนั้นเป็นบุคคลที่พิเศษ คิดไม่เหมือนใคร คิดว่าเดี๋ยวนี้สิ่งที่ปรากฏจริงๆ คืออะไรแน่ แต่ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ทันที จึงต้องเป็นผู้ที่ละเอียดและเห็นประโยชน์ที่จะตรงต่อความเป็นจริง เช่นขณะนี้ทุกคนเห็น แต่ไม่มีใครรู้ความจริงของเห็นเลย เห็นก็เห็นไป เห็นก็เป็นเห็น แล้วก็ยังเป็นเราเห็นด้วย และยังจำสิ่งที่เห็นแล้วว่ายังอยู่ด้วย ยังมีจริงๆ ด้วย และเป็นความจริงหรือ?
ความจริงจึงต้องละเอียดอย่างยิ่งที่จะพิจารณาว่าอนัตตาต่างกับอัตตา พระองค์ทรงตรัสรู้ว่าสิ่งที่มีนั้นไม่มีเลยเป็นอนัตตา หมายความว่าไม่มีสิ่งนั้นอีกต่อไปและไม่ใช่เราด้วย เพราะไม่มีแล้ว และไม่เหลือเลยด้วย เพราะหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
ทุกคำฟังดู ... อยากจะรู้ความจริงหรือไม่อยากก็ไม่มีใครสามารถมาบังคับได้ แต่ลองคิดว่าถ้ารู้ความจริงจะดีกว่าไม่รู้ไหม? ต้องไตร่ตรองว่าประโยชน์จริงๆ คืออะไร
ตั้งแต่เกิดมามีทุกอย่าง แสวงหาทุกอย่าง แต่ความจริงคือว่าอยู่ไหนล่ะสิ่งที่อยาก เพราะแม้แต่ผู้ที่อยากก็ไม่เหลือ ต้องจากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วมีอะไรกันแน่ คน ... ถ้าเป็นคนก็ต้องเป็นคน ... ไม่ตาย แต่คนอยู่ไหนล่ะ มีแต่สิ่งซึ่งเข้าใจว่าเป็นคน แต่สิ่งนั้นถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เกิดแล้วก็มีชั่วคราวเล็กน้อยยากที่จะรู้ได้ว่าเล็กน้อยแค่ไหน สุดที่จะประมาณแค่ไหน ทุกกลบปิดไว้ด้วยความไม่รู้ เพราะมีความติดข้องแล้วในสิ่งนั้นที่ปรากฏจนกระทั่งไม่รู้ว่าเป็นอะไร
ทั้งๆ ที่ไม่รู้อย่างนี้ ก็จากโลกนี้ไปแน่ๆ ไม่มีใครที่จะคงอยู่ได้ แล้วทั้งหมดที่มีอยู่ไหน?? แม้แต่เมื่อวานนี้ แม้แต่เมื่อกี้นี้เองแท้ๆ นี่อยู่ไหน ใครสามารถเอากลับมาได้บ้าง
เสียงไม่มี แล้วก็เกิดและหายแล้ว หมดแล้ว ... แค่ปรากฏใช่ไหม? ความจริงเป็นอย่างนี้ฉันใด สิ่งอื่นที่ปรากฏก็ต้องเกิดขึ้นถึงจะปรากฏได้ ปรากฏเพียงเล็กน้อยแล้วก็ดับไป แต่ต่อกันตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีการรู้ว่าได้มีการจากไปหมดทุกอย่างที่มีตั้งแต่เกิด ไม่เหลือเลยซักอย่างเดียว ซักขณะเดียว
นี่เป็นความจริงหรือเปล่า? สมควรรู้ไหม? ถ้าไม่รู้ก็เข้าใจผิดว่าเป็นเรา พอเป็นเราแล้วก็รักเราที่สุด ต้องการทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง ต้องการไปหมด ... แล้วอยู่ไหนมีจริงๆ หรือเปล่า ถ้าไม่คิด ... มีไหม?แล้วถ้าคิดก็ดีใจปลาบปลื้ม ทั้งๆ ที่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ถ้ามีข่าวดี ได้เลื่อนตำแหน่ง ได้อะไรก็ดีใจ แล้วอยู่ไหน ตำแหน่งอยู่ไหน ยศอยู่ไหน ... ไม่มีเลย แต่หลงว่ายังมี ด้วยเหตุนี้จึงเป็นผู้ที่ไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่งที่จะเข้าใจได้
คำที่ได้ยินทุกคำต้องไตร่ตรอง ทุกอย่างลึกซึ้ง ใครว่าไม่ลึกซึ้ง ... เพราะไม่รู้!!! ถ้าเข้าใจว่าทุกสิ่งเพียงแค่ปรากฏ ... จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ไหม? ... จะมีเราได้ไหม? เพียงแค่ปรากฏแล้วหมดไป จะเป็นเราได้ไหม เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วไม่มีเรา นอกจากความไม่รู้มหาศาล หลงเพราะไม่รู้มากมายในทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเพียงแค่ปรากฏ มีเพียงแค่ปรากฏ ความตรงต่อความจริงเท่านั้น ที่สามารถจะทำให้ประจักษ์แจ้งในสิ่งที่กำลังเป็นอย่างนั้นตามจริงได้!!!
พระธรรมไม่ใช่สำหรับเชื่อ แต่ว่าสำหรับเข้าใจถูกต้อง ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วต้องมีการไตร่ตรอง พิจารณาให้ตรงกับความเป็นจริง จึงจะได้รับสาระจากพระธรรม เป็นปัญญาของตนเอง เพราะว่าการฟังทั้งหมดในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงแสดงนั้น ก็เพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้