บัณเฑาะก์?
กราบนมัสการ ท่านพระคุณเจ้า และธรรมะสวัสดี มิตรธรรมทุกๆ ท่านครับ บัณเฑาะก์หรือกะเทย เขาเหล่านี้ ไปทำกรรมอะไรมา ถึงได้เกิดมาเป็นกะเทยครับ? และพระพุทธศาสนา ให้ความสำคัญกับกะเทยไหมครับ? รู้สึกว่าตอนนี้กระเทยทำไมมีเยอะจังครับ? โดยเฉพาะที่จังหวัดใหญ่ๆ ทางภาคเหนือ ถ้าเราได้พบเจอ พวกกระเทยพวกนี้ เราต้องทำตัวแบบไหนครับ บุญรักษาครับ
ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้ที่เกิดเป็นบัณฑาะก์ เพราะอกุศลกรรมในอดีต คือเพราะกระทำผิดต่อเพศคือ กาเมสุมิจฉาจาร ผลของอกุศลกรรมโดยตรงทำให้เกิดในอบายภูมิมีนรกเป็นต้น วิบากอย่างเบาทำให้เกิดเป็นกระเทย และตามพระวินัยบัญญัติทรงห้ามไม่ให้บัณเฑาะก์บวชเป็นพระภิกษุ แต่ว่าโดยธรรมะ พระพุทธองค์ทรงแนะนำสาวกทั้งหลายว่าควรมีเมตตากับทุกคน ควรกรุณาสงสารที่เขารับผลของอกุศลกรรม
เป็นเครื่องเตือนใจว่า ถ้ายังมีกิเลสอยู่ สังสารอันยาวนาน เราต้องเวียนมาเป็นอย่างนี้แน่ๆ
ถ้าเราได้พบเจอพวกกระเทยพวกนี้ เราต้องทำตัวแบบไหนครับ มองว่าเขาเป็นคนและเป็นคนที่น่าสงสาร อย่าเพิ่งตั้งข้อรังเกียจมองให้ซึ้งถึงจิตใจเขา บางทีเขาอาจ เป็นคนที่มีจิตใจดีก็ได้ เพราะความเป็นคน วัดกันที่ความดี
หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ให้ความสำคัญกับ การอบรมเจริญปัญญาและเจริญกุศลทุกประการ เพื่อละอกุศลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ล้วนเป็นเพียงคำที่บัญญัติขึ้นว่า เป็นชาย หญิง กะเทย เกย์ ทอม ดี้ ลองไปจับดูสิครับ ไม่มีคนเลย มีแต่สภาพของ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่ปรากฎจริงๆ ไม่มีสภาพของคนเกิดขึ้น มีแต่สภาพ นามธรรม หรือ รูปธรรม ที่เกิดเท่านั้น
ถ้าเจอกับกะเทย อะไรเป็นกะเทยละครับ ก็เพียงแต่สีที่ปรากฎทางตา แต่ด้วยความที่เรายังมีอัตตสัญญาเหนียวแน่น จึงยึดรูปที่เห็นว่าเป็นบุคคล สัตว์ ตัวตน "เห็นแล้ว ... .ก็คิด"
ถ้าเช่นนั้น จิตคิด ที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ขณะเจอกับกะเทย เมตตาเกิดกับจิตได้ไหม? หรือกุศลขั้นสูงขึ้น ที่ประกอบไปด้วย "ปัญญา" ในขั้นสติปัฎฐาน ระลึกถึงสภาพนามธรรม และรูปธรรมที่ปรากฎทางทวาร ตา ... ใจ ได้หรือไม่? ถ้าไม่ได้ จิตจะเป็นยังไง ก็ตกจากกุศล ไปเป็นอกุศลแน่นอน เป็น "โทสมูลจิต" ที่รังเกียจ ชิงชัง สมเพช ประทุษร้าย หรือกลัว เพียงการเดินผ่าน เพราะอาจจะต้องเสวนาด้วย หรือเป็น "โลภมูลจิต" ที่ชอบ ติดใจ น่าเย้ยหยัน ตลกขบขัน ไปกับสิ่งที่เห็นทางตานั้น ถ้าอกุศลเกิดแล้ว ควรจะพอใจที่จะเป็นอกุศลต่อไป? หรือ ถ้าอกุศลเกิดแล้ว ควรคิดที่จะละอกุศลด้วยปัญญา? ในทางโลก ก็อาจจะคิดว่า "อย่ารังเกียจเลย เขาก็เป็นคนเหมือนกับเรานั่นแหละ" แต่ในทางธรรม เขาก็ไม่มี เราก็ไม่มี มีแต่ จิต เจตสิก รูป เกิด ดับ ตามเหตุปัจจัย ก็คิดเสียว่า "ขันธ์ ๕ นั้น ก็ทุกข์เหมือนกันกับ ขันธ์ ๕ นี้นั่นแหละ" ก็คิดเสียว่า "ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ถ้ายังไม่บรรลุเป็นพระอริยบุคคล ก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่ กิเลสหนาด้วยกันทั้งนั้นครับ"
ขออนุโมทนา