แสวงหาความสุขหลีกหนีความทุกข์

 
Kuat639
วันที่  24 พ.ย. 2566
หมายเลข  47008
อ่าน  324

ทำไมชาวโลกถูกปลูกฝังให้แสวงหาความสุข.จากลาภ ยศ สรรเสริญ โดยเฉพาะปัจจุบัน.เงินคือพระเจ้า.จนหลายคนที่ไม่สมหวังเรื่องเงิน.มีความรู้สึกเป็นทุกข์.ตามข่าวสังคมมากมาย..ทำไมไม่ปลูกฝังเรื่องความรู้ความเข้าใจธรรมะ..แม้แต่วงการพระสงฆ์เองก้อเช่นเดียวกัน.มีการแบ่งชนชั้นวรรณะยศฐาบรรดาศักดิ์..หรือว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.ยากเกินไปสำหรับมนุษย์โลก..ขอความเห็นความรู้ความเข้าใจ.ต่อเรื่องนี้หน่อยครับ..สำหรับผู้ขาดที่พึ่ง.


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 26 พ.ย. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ ๔๕

“ญาติก็ดี มิตรก็ดี หรือสหายทั้งหลาย เป็นที่ต้านทานของบุคคลผู้จะตาย ไม่มี, ทายาททั้งหลาย ก็ขนเอาทรัพย์ของผู้นั้นไป ส่วนสัตว์ ย่อมไปตามกรรมที่ทำไว้, ทรัพย์อะไรๆ ย่อมติดตามคนตายไปไม่ได้”
(รัฏฐปาลสูตร)


บุคคลผู้ที่ยังมีอวิชชา ยังมีความไม่รู้ เป็นเครื่องปกปิดไว้ จึงทำให้มีความติดข้องยินดี พอใจ ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทำให้ไม่เห็นว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏชั่วคราวแล้วก็หมดไปเท่านั้น กล่าวได้ว่าเป็นการแสวงในสิ่งที่ไม่ประเสริฐ เพราะได้มาแล้วทำให้ติดข้องยินดีพอใจ และที่สำคัญ เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว บุคคลไม่สามารถนำเอาทุกอย่างเหล่านี้ไปในภพหน้าได้ เลย ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ มีแต่การสะสม ทั้งที่ดีและไม่ดี เท่านั้นจะติดตัวไปได้ และยิ่งเป็นเพศที่สูงยิ่งคือเพศบรรพชิตด้วยแล้วโทษยิ่งมาก

ในชาตินี้ ยังมีกิเลสมาก และปัญญาก็ยังไม่เจริญ ถ้าไม่ได้สะสมเหตุที่ดีบ่อยๆ เนืองๆ โดยเฉพาะการฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน แล้ว ก็ย่อมจะเป็นโอกาสของอกุศลที่พร้อมจะเกิดขึ้นครอบงำจิตใจอยู่ตลอดเวลา และอาจจะตายไปพร้อมกับความไม่รู้ก็เป็นได้ ดังนั้น เมื่อยังมีชีวิตอยู่ จึงควรอย่างยิ่งที่จะสะสมลาภที่ประเสริฐ นั่นก็คือ การฟังพระธรรม ซึ่งจะทำให้เกิดปัญญา ทำให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก ไปตามลำดับ และอีกประการหนึ่งที่ควรพิจารณา คือ สิ่งที่ได้มาแล้วเกิดความติดข้อง ยินดี พอใจกับการที่ได้มีความเข้าใจถูกแล้วไม่ติดข้องในสิ่งที่ได้มา ทั้งสองอย่างนี้ มีความต่างกันกล่าวคือ การไม่ติดข้อง ย่อมจะประเสริฐกว่า เพราะเหตุว่า จะหลีกเลี่ยงลาภ ยศสรรเสริญ สุข นั้น ย่อมไม่ได้ เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัย แต่ว่ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง

รู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นสิ่งที่ชั่วคราวจริงๆ เกิดแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามเมื่อไม่ติดข้อง จึงไม่ทำให้มีความเดือดร้อนใจ อีกด้วย, ทั้งหมดทั้งปวง นี้จึงเป็นเรื่องของความเข้าใจถูก เห็นถูกจริงๆ (ปัญญา) ซึ่งเกิดจากการฟังพระธรรม นั่นเอง ครับ

... ยินดีในกุศลของคุณ Kuat639 และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 26 พ.ย. 2566

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ