มีชีวิตเพื่อปัญญาปรากฏ ธ.ค. 2566 - วัยชรา

 
kanchana.c
วันที่  15 ธ.ค. 2566
หมายเลข  47074
อ่าน  20,846

มีชีวิตเพื่อปัญญาปรากฏ 14 ธ.ค. 66

วัยชรา

ไม่น่าเชื่อเลยว่า จะเป็นบุคคลนี้ในโลกนี้มามากกว่า 70 ปีแล้ว ถ้าเป็นบ้านไม้ไผ่ก็คงผุพัง ซวนเซจวนจะล้มหรือล้มไปแล้ว แต่เพราะเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจเมื่อยังไม่ถึงเวลาตาย ก็เลยมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ระยะเวลากว่า 70 ปีนั้นยาวนาน แต่ในความนึกคิดเหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อกี้นี้เอง ไม่ต่างกับนอนฝันแล้วตื่นขึ้นมา จำความฝันได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง ที่จำได้คือ ชอบศึกษาธรรมมาตั้งแต่เด็ก อยากไปนิพพาน เพราะเคยได้ยินได้ฟังมาว่า นิพพานมีแต่ความสุข ไม่มีความทุกข์เลย เคยไปนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออก บริกรรมว่า พุทโธ ไม่ต้องศึกษาคำสอนอะไร ถ้าใจสงบนิ่งแล้วจะรู้เอง (คำสอนที่ได้ยินในครั้งนั้น) โตขึ้นมาไปศึกษาธรรมศึกษาตรี โท ได้รู้จักหลักธรรมคำสอนบ้างเล็กน้อย ฝังใจกับคำว่า “อนัตตา” ถ้าที่ไหนมีคำสอนเกี่ยวกับอนัตตาก็สนใจอยากไปศึกษา จนไปสำนักแห่งหนึ่งที่มีสัญลักษณ์โครงกระดูก แล้วเขียนว่า อนัตตา เมื่อไปศึกษาจริงๆ ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับความไม่มีตัวตนเลย จึงแสวงหาสำนักปฏิบัติใหม่เพื่อทำบุญใส่บาตร ทำวัตรสวดมนต์เช้าเย็น ฟังเทศน์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม อยากได้บุญมากก็เข้าปริวาสกรรมตามคำเชิญชวนของพระเจ้าสำนัก เพิ่งมารู้ทีหลังว่า ปริวาสกรรมเป็นพิธีแก้อาบัติสังฆาทิเสส ซึ่งเป็นอาบัติหนักของพระภิกษุรองลงมาจากอาบัติปาราชิก หลงวนเวียนอยู่กับสำนักปฏิบัติหลายแห่งอยู่หลายปี แต่คงเพราะบุญที่ได้กระทำไว้ในอดีต จึงทำให้ได้มาศึกษาพระธรรมคำสอนที่แท้จริงของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ในวัยที่ยังแข็งแรงตามวัยที่ท่านอาจารย์บรรยายไว้ว่า

ถ้าซอยวัยของมนุษย์เป็น 10 ส่วน ส่วนละ 10 ปี คือ มัณฑทสกะ ๑๐ ปีแห่งการประดับประดา กีฬาทสกะ ๑๐ ปีแห่งการเล่น วัณณทสกะ ๑๐ ปีแห่งผิวพรรณ พลทสกะ ๑๐ ปีแห่งกำลัง ปัญญาทสกะ ๑๐ปีแห่งปัญญา มายาทสกะ ๑๐ ปีแห่งมารยา ปัพภารทสกะ ๑๐ ปีแห่งความ (หลัง) ค้อม วังกทสกะ ๑๐ ปีแห่งความ (หลัง) โกง โมมูหทสกะ ๑๐ ปีแห่งความหลง สยนทสกะ ๑๐ ปีแห่งการนอน (จากคำบรรยายแนวทางเจริญวิปัสสนาครั้งที่ 1376)

เราก็ผ่านวัยต่างๆ มาหลายช่วงแล้ว ระยะนี้ร่างกายอ่อนแออยากแต่จะนอน เคยฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์นานมาแล้ว คิดว่า ตัวเองอยู่ในวัยของการนอน เมื่อมาฟังอีกครั้งก็รู้ว่าจำผิด ความจริงอายุ 70 ขึ้นไปอยู่ใน 10 ปีของความค้อม คือหลังจะยืดไม่ค่อยขึ้น จะนั่งหลังงออยู่เรื่อย ส่วนเรื่องการอยากแต่จะนอนนั้น อาจเป็นเพราะแก่กว่าวัย เข้าสู่วัย 90 กว่า คือ 10 ปีแห่งการนอน เร็วไป 20 ปี วัยต่างๆ ที่ผ่านไปนั้นก็เหมือนความฝัน ตื่นมาแล้วไม่เหลืออะไรเลย แม้จะเพิ่งผ่านไปไม่นาน เช่น วัย 60 ขึ้นไป 10 ปีแห่งมารยา คือแก่แล้ว แต่ร่างกายยังแข็งแรงดี ก็คิดว่าตัวเองยังไม่แก่ ใครเรียกยาย รู้สึกโกรธเสียใจว่า ฉันยังไม่แก่ขนาดนั้นซักหน่อย แต่พอถึง 70 ปี มารยานั้นก็หมดไป ยอมรับว่า แก่แล้วจริงๆ อ่อนแรงลงเรื่อยๆ นึกถึงข้อความใน สัมโมหวิโนทนี อรรถกถา วิภังคปกรณ์ ได้แสดงเรื่องความทุกข์ของชาติ ชรา และมรณะว่า

อุปมาเหมือนกับคน ๓ คน ซึ่งเป็นข้าศึก คนหนึ่งก็บอกว่า ขอให้พาคนนี้เข้าป่าไป เรื่องการพานั้นเป็นเรื่องไม่ยากสำหรับเขา อีกคนหนึ่งก็บอกว่า เมื่อพาไปแล้วเขาจะโบยตีให้อ่อนกำลังลง เรื่องของการโบยตีให้อ่อนกำลังลงนั้นเป็นเรื่องไม่ยากสำหรับเขา และคนที่ ๓ บอกว่า ส่วนเขาเองจะตัดศีรษะเสีย ซึ่งเรื่องการตัดศีรษะของบุคคลนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ยากสำหรับเขา

ในขณะที่จุติและปฏิสนธิเกิดต่อ ปฏิสนธิที่เกิดต่อก็เหมือนกับคนที่พาไปสู่ป่า หรือว่าพาไปเที่ยวยังสถานที่หนึ่งสถานที่ใด โดยในอรรถกถาอธิบายว่า เหมือนกับการพรรณนาว่า จะไปสู่สถานที่หนึ่งสถานที่ใด พร้อมที่จะพาบุคคลนั้นไปหลังจากที่จุติจิตดับแล้ว ปฏิสนธิก็มีกิจทำให้บุคคลนั้นเกิดขึ้นยังภพใหม่ เป็นสถานที่ใหม่ เหมือนกับที่ที่ยังไม่เคยไป

ส่วนชรา คือ ผู้ที่เป็นข้าศึกคนที่ ๒ ซึ่งคอยกระหน่ำโบยตีให้อ่อนล้าหมดแรงลงไปทุกทีๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ยากเลยสำหรับชรา เพราะว่าเป็นกิจของชราอยู่แล้ว และสำหรับผู้ที่เป็นศัตรูหรือข้าศึกคนที่ ๓ ซึ่งจะทำหน้าที่ตัดศีรษะนั้น คือ ขณะที่จุติหรือมรณะ คือ ตาย (จากคำบรรยายแนวทางเจริญวิปัสสนาครั้งที่ 1155)

เมื่อชาติ ชรา มรณะเป็นทุกข์ แล้วทำไมหลังจากตายแล้วต้องเกิดใหม่ด้วย ก็เพราะยังมีกุศลกรรมและอกุศลกรรมที่ทำให้เกิดในภพภูมิต่างๆ ข้อความใน ปปัญจสูทนี อุปมาเปรียบเหมือนบุรุษ 2 คนที่จับบุรุษคนหนึ่งคนละแขนดึงเข้าไปในหลุมถ่านเพลิงซึ่งเร่าร้อน เปรียบเหมือนภพภูมิทั้ง 3 ทรงอุปมาว่า

สำหรับการเกิดในนรกนั้น เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง การเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเปรียบเหมือนการตกในหลุมคูถ การเกิดเป็นเปรตเปรียบเหมือนการเกิดในหมู่ต้นไม้ที่เกิดในพื้นที่อันไม่เสมอ มีใบอ่อนและใบแก่อันเบาบาง มีเงาอันโปร่ง ก็ย่อมจะไม่ร่มเย็นเป็นสุข ย่อมเป็นผู้ที่หิวกระหายและทรมาน

สำหรับการเกิดในมนุษย์ เปรียบเหมือนการเกิดในหมู่ต้นไม้ที่เกิดในพื้นที่อันเสมอ มีใบอ่อนและใบแก่อันหนา มีเงาหนาทึบ บุคคลที่มีความร้อนแผดเผาก็มุ่งไปสู่ต้นไม้นั้น และก็เป็นผู้ที่ได้รับความสุข

สำหรับการเกิดในสวรรค์ พระผู้มีพระภาคเปรียบเหมือนการเกิดในปราสาทที่มีเรือนยอดซึ่งฉาบทาดีแล้ว มีวงกรอบอันสนิท หาช่องลมมิได้ มีบานประตูและหน้าต่างอันปิดสนิทดี

สำหรับผู้ที่สามารถดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท เปรียบเหมือนสระโบกขรณีที่มีน้ำอันใสสะอาด เย็นใสตลอด มีท่าอันดีน่ารื่นรมย์ บุคคลที่มีความร้อนแผดเผาก็มุ่งไปสู่สระโบกขรณี และได้อาบดื่ม ระงับความกระวนกระวาย (จากคำบรรยายแนวทางเจริญวิปัสสนาครั้งที่ 790)

ก็โชคดีที่มีชีวิตอยู่จนถึงวัยชรา ได้รู้ว่า ชราทำให้อ่อนกำลังลงเรื่อยๆ เป็นอย่างไร แต่ก็ยังไม่ใช่ปัญญาที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะยังเป็นเราที่ชรา ไม่ใช่เพียงสภาพที่มีจริง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ก็ยังต้องฟังและพิจารณาพระธรรมให้เข้าใจเพิ่มขึ้นๆ จนกว่าความเข้าใจนั้นจะมั่นคงว่า ไม่มีเรา มีแต่ธรรมแต่ละหนึ่งที่ทำกิจหน้าที่แล้วดับไปทันที ส่วนเรื่องนิพพานที่อยากจะได้นั้น ไม่ต้องหวัง เพราะยังไม่รู้จักแม้ธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ แล้วจะเข้าใจความเป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เราของธรรมทั้งหลายได้อย่างไร ท่านเปรียบเทียบกิเลสที่มีมากมายเหมือนภูเขาสิเนรุ แล้วจะหมดไปด้วยการขุดด้วยเล็บนั้นจะต้องใช้ความอดทน ความเพียร บารมีทั้งหลายและเวลายาวยานสักแค่ไหน ดังนั้นไม่ต้องหวังเลย เพราะขณะนี้ยังไม่มีแม้แต่เล็บที่จะขุด แล้วก็ยังไม่รู้ว่า จะขุดตรงไหน เพราะไม่รู้จักกิเลสที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่มีความเมตตาเผยแพร่พระธรรมที่เข้าใจแล้วให้ผู้สนใจได้เข้าใจตามต่อไป


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 15 ธ.ค. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ทรงศักดิ์
วันที่ 16 ธ.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 16 ธ.ค. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

กราบยินดียิ่งในกุศลวิริยะของพี่แดง (พลออากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง) ครับ ทุกๆ บทความธรรมของพี่แดง รจนาขึ้นจากความเข้าใจในการศึกษาพระธรรมจากท่านอาจารย์มายาวนาน เป็นประสบการณ์ทางธรรมที่มีค่าอย่างยิ่ง เป็นกำลังใจแก่ทุกคน สำหรับความเข้าใจในหนทางของการศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง บนหนทางอันยาวไกล หาประมาณมิได้นี้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
swanjariya
วันที่ 16 ธ.ค. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลทุกประการค่ะพี่แดง

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
นิ่มนวล
วันที่ 16 ธ.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Lai
วันที่ 16 ธ.ค. 2566

อ่านแล้วน่าติดตามคะพี่ ขอบคุณค่ะ กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Boonyavee
วันที่ 16 ธ.ค. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่งและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณแม่แดงเจ้าค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
siraya
วันที่ 18 ธ.ค. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Anchitta
วันที่ 19 ธ.ค. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ