ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๔๕

 
khampan.a
วันที่  31 ธ.ค. 2566
หมายเลข  47204
อ่าน  2,193

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๔๕






~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแล้วๆ เล่าๆ ถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ จนกว่าผู้นั้นจะเกิดปัญญา ทรงมีพระมหากรุณาอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็ทรงแสดงโดยละเอียดโดยประการทั้งปวงสิ้นเชิง เพื่อเขาจะเข้าใจ เมื่อเขาเข้าใจแล้วเขาก็เป็นผู้ที่ปลอดโปร่งจากการหลงผิด

~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทั้งหมดเป็นไปเพื่อเกื้อกูลให้ทุกท่านรู้ตัวว่า ยังมีกิเลสอยู่มากๆ อย่าหลงผิดว่า ลดน้อยลงไปเยอะแล้ว เพราะเหตุว่าถ้าไม่ใช่ปัญญาจริงๆ กิเลสจะลดไม่ได้ และถ้าไม่มีการกระทำทางกาย ทางวาจา กิเลสก็คงยังไม่ปรากฏให้รู้ได้ว่า ขณะนั้นสะสมอกุศลไว้มากมายเพียงไร

~ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมให้คนอื่นเข้าใจ คนที่เข้าใจแล้วเห็นประโยชน์ก็มีความเป็นเพื่อนที่ดีที่จะให้คนอื่นได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เข้าใจพระองค์และดำรงคำสอนของพระองค์ต่อไปด้วย นี่คือ การเคารพสูงสุดในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ เมื่อท่านเป็นผู้ที่ใคร่ที่จะละกิเลส ดับกิเลส เพราะเห็นว่าสะสมกิเลสมามากเหลือเกิน ซึ่งถ้ายังคงสะสมอกุศลกรรมและกิเลสต่อไป เมื่อไรจะดับหมดได้สักที แต่ทั้งๆ ที่อยากจะดับกิเลส รู้ว่ากิเลสที่มีนี้มากเหลือเกิน ถ้าท่านยังไม่อบรมเจริญกุศลทุกประการ จะดับกิเลสได้อย่างไร เพราะเหตุว่าขณะใดที่จะกระทำอกุศลกรรม ขณะนั้นก็เป็นการสะสมเพิ่มพูนกิเลสอีก และขณะใดที่หลงลืมสติ ขณะนั้นก็เพิ่มพูนกิเลสมากขึ้นด้วย


~ จากการที่เคยเป็นเรามานานแสนนาน ก็เริ่มที่จะเข้าใจเมื่อได้ฟังพระธรรมว่าเป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง อันนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก คือ พื้นฐานที่จะทำให้เราเข้าใจว่าเรากำลังศึกษาอะไร? เรากำลังศึกษาสภาพธรรมที่มีจริงๆ ให้ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่าทุกอย่างที่เคยเป็นเรา เห็นเป็นเรา ได้ยินเป็นเรา คิดนึกเป็นเรา ขณะนี้ก็มีการเห็นบุคคลต่างๆ สิ่งต่างๆ แท้ที่จริง ทั้งหมดเป็นธรรม

~ ขณะนี้ให้ทราบว่าสิ่งที่มี มีจริงๆ จะใช้คำอะไรหรือไม่ใช้คำอะไร สิ่งที่มีก็ปฏิเสธไม่ได้ แล้วสิ่งที่มีนั้น ใครรู้และใครไม่รู้? ถ้าคนไม่รู้ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไป ก็มีความทรงจำสืบต่อว่าเป็นเรา ธรรมก็ไม่รู้จักว่าอยู่ที่ไหน แต่ว่าผู้ที่รู้ รู้ตามความเป็นจริงก็สามารถที่จะประจักษ์แจ้งในความเป็นธรรม แต่ละลักษณะที่มีจริงๆ

~
สิ่งที่ลืมไม่ได้ ก็คือ พระพุทธศาสนา เป็นเรื่องให้เกิดปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง จากพระธรรมที่ได้ทรงแสดง ให้เราได้ไตร่ตรอง ให้เราได้ฟัง ให้เราได้ค่อยๆ เข้าใจ แทงตลอดในความหมายของธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้

~
เมื่อมีปัญญา มีความเห็นถูกต้องแล้ว ความคิดก่อนๆ ซึ่งเคยคิดไปในทางไม่ดี ในทางเบียดเบียน ในทางติดข้อง ในทางเอาเปรียบ
ในทางขาดเมตตา นานาประการในความคิดเหล่านั้น ก็จะค่อยๆ เปลี่ยน ค่อยๆ คลาย ค่อยๆ ลด แล้วเพิ่มทางฝ่ายกุศลขึ้นได้

~ ผู้ใดที่ยอมรับความจริงที่รู้ว่าตนเองไม่ดี ผู้นั้นก็เริ่มที่จะอบรมเจริญกุศลที่จะขัดเกลาอกุศลทั้งหลายให้เบาบาง แต่ตราบใดถ้ายังคิดว่าดีแล้ว อกุศลก็จะเพิ่มมากขึ้น เพราะเหตุว่า ไม่คิดที่จะละอกุศล เพราะเข้าใจว่าดีแล้ว

~ ควรจะเป็นคนดีไหม? แค่นี้ เคยคิดบ้างไหมว่า ในวันหนึ่งๆ เราเห็นคนไม่ดี คนชั่ว คนทำทุจริตมากมาย จะเป็นอย่างนั้นไหม? และใครก็จะมารับผิดชอบแทนเรา ไม่ได้

~ ในขณะที่ฟังพระธรรม จะคิดเรื่องธรรม จะพิจารณา จะเพิ่มความเข้าใจขึ้น และถ้าฟังบ่อยๆ ฟังเป็นประจำ วันหนึ่งๆ มีโอกาสจะคิดถึงเรื่องธรรม ซึ่งปกติแล้วนอกจากเวลาฟังก็มักจะคิดเรื่องอื่น แต่ถ้าวันหนึ่งๆ มีโอกาสจะฟังมาก ก็จะทำให้คิดถึงเรื่องของธรรมมาก และถ้าฟังจนกระทั่งเป็นอุปนิสัยแล้ว เวลาที่ไม่ได้ฟังธรรม ก็ยังอาจจะคิดเรื่องธรรมแทนที่จะคิดเรื่องอื่นก็ได้ นี่ก็แสดงให้เห็นถึงกำลังของการสะสม ซึ่งไม่ควรที่จะประมาทเลย

~ เป็นความสำคัญที่สุดที่ทุกท่านมีพระธรรมเป็นสรณะ เพื่อที่จะให้เห็นโทษและเห็นกิเลสของตนเอง เพราะเหตุว่าคนอื่นจะชี้โทษของคนอื่นหรือชี้โทษของตนเองได้ไหม? ไม่มีใครทราบว่าท่านผู้ใดได้กระทำกรรมที่ไม่ดีอย่างไรบ้าง มีอกุศลจิตอย่างไรบ้าง แต่พระธรรมที่ได้รับฟังทุกวันๆ ถึงความละเอียดของสภาพของจิต จะชี้ให้เห็นว่าอกุศลเป็นโทษอย่างไร กุศลต่างกับอกุศลอย่างไร และอกุศลมีมากมายโดยละเอียดเป็นประเภทๆ อย่างไร

~ อกุศลแม้มีมากสะสมมาในแสนโกฏิกัปป์ในสังสารวัฏฏ์ ยังดับได้ ด้วยอะไร? ต้องเป็นสิ่งที่มีกำลังพอที่จะดับได้ แต่ถ้าปัญญาไม่ถึงระดับนั้น ดับไม่ได้ แล้วจะมีปัญญาระดับนั้นเมื่อไร ถ้าไม่ค่อยๆ สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่ประมาทแม้เพียงกุศลเล็กน้อย

~ โทสะของเรากับโทสะของคนอื่นต้องเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าโทสะของเราไม่เป็นไร แต่ของเขาน่าเกลียดมาก ไม่ได้ โทสะคือสภาพที่หยาบกระด้างประทุษร้าย เกิดกับใคร คนนั้นเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล มีแต่สภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นทำกิจการงานอย่างนั้น

~ ก่อนอื่นต้องทราบว่า มิตรไม่ใช่ศัตรูแน่ มิตรตรงกันข้ามกับศัตรู
มิตรคือผู้ที่หวังดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งกาย วาจา ใจ ไม่คิดร้ายต่อเพื่อน เพราะฉะนั้น หายากหรือหาง่าย? เห็นกันเดี๋ยวก็โกรธกัน มิตรหรือเปล่าขณะที่โกรธ?

~
การศึกษาธรรมที่ถูกต้อง คือ ศึกษาเริ่มจากไม่รู้จึงศึกษา
การศึกษาทั้งหมดก็จะละคลายความไม่รู้ และละคลายอกุศลทั้งหลาย ซึ่งเกิดเพราะความไม่รู้ จนกระทั่งสามารถที่จะนอกจากละชั่ว บำเพ็ญความดี ยังชำระจิตให้บริสุทธิ์จากการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลด้วย

~ อกุศลแม้นิดเดียว มีแล้ว ก็จะเพิ่มขึ้น งอกงามขึ้น เพิ่มขึ้น แล้วใครจะรู้ว่าวันไหนชาติไหน จะทำอย่างคนที่เราเห็นว่าเขาได้ทำอกุศลกรรม ซึ่งต้องระวังด้วย ถ้าชาตินี้เราประมาท ชาติหน้าเราทำ อกุศลกรรมอย่างนั้นได้แน่นอน เพราะกิเลสทุกวัน เพิ่มทุกวัน

~ ชีวิตประจำวันซึ่งเต็มไปด้วยอกุศลธรรมเล็กๆ น้อยๆ ก็ควรจะให้เห็นโทษเห็นภัย แล้วควรขัดเกลาโดยที่ไม่ประมาท แล้วก็ไม่ข้ามด้วย โดยไม่คิดว่าจะข้ามการที่จะขัดเกลาอกุศลธรรมเล็กๆ น้อยๆ แต่เห็นความสำคัญว่า แม้อกุศลธรรมเพียงเล็กน้อย ก็จะต้องขัดเกลาละคลายให้บรรเทาให้เบาบางลงด้วย


~ พระพุทธศาสนา ไม่ใช่สำหรับคนไทยโดยเฉพาะ ไม่ใช่สำหรับชาติหนึ่งชาติใดโดยเฉพาะ แต่สำหรับทุกคนทุกโลกทั้งมนุษย์เทวดาทั่วทุกจักรวาล เพราะฉะนั้น ถ้าเราเป็นส่วนที่จะสามารถดำรงคำสอนไว้ได้ ก็เป็นชีวิตที่เกิดมามีประโยชน์ที่สุดในสังสารวัฏฏ์ เพราะว่า เป็นชาตินี้ชาติเดียวที่เราจะเป็นคนนี้ ต่อไปจะเป็นใครเราก็ไม่รู้ แต่ในเมื่อเกิดมาเป็นคนนี้ก็ทำทุกอย่างที่ดีที่สุดที่คนนี้จะทำได้

~ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ มีทั้งกุศล มีทั้งอกุศล มีทั้งสิ่งที่ไม่ใช่ทั้งกุศลไม่ใช่ทั้งอกุศล ให้รู้ว่าไม่ใช่เรา สำคัญที่สุดคือเข้าใจถูกต้องว่าธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียด ไม่มีสักคำเดียวที่จะให้อกุศลจิตเจริญ ทรงปิดกั้นทุกทางที่จะไม่ให้อกุศลแม้เล็กน้อยเกิดขึ้น



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๔๔


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
jaturong
วันที่ 31 ธ.ค. 2566

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
shsso2551
วันที่ 31 ธ.ค. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
mon-pat
วันที่ 31 ธ.ค. 2566

... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
swanjariya
วันที่ 31 ธ.ค. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Jans
วันที่ 31 ธ.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
มังกรทอง
วันที่ 31 ธ.ค. 2566

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 31 ธ.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 31 ธ.ค. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Lai
วันที่ 1 ม.ค. 2567

อนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ