พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องเห็นหรือเปล่า?

 
เมตตา
วันที่  2 ม.ค. 2567
หมายเลข  47212
อ่าน  438

สนทนาธรรม ณ แดนพุทธภูมิ ลุมพินี,เนปาล วันศุกร์ที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๖

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 881

แม้ผู้มีปัญญาทราม ก็จะนั่งในท่ามกลางแห่งอุปัฏฐากทั้งหลาย กล่าว อยู่ว่า เราย่อมสละปริยัติ ดังนี้เป็นต้น ด้วยคำว่า เมื่อเราตรวจดูหมวดสาม แห่งธรรมอันยังสัตว์ให้เนิ่นช้าในมัชฌิมนิกายอยู่ มรรคนั่นแหละมาแล้วพร้อม ด้วยฤทธิ์ ชื่อว่าปริยัติ ไม่เป็นสิ่งที่กระทำได้โดยยากสำหรับพวกเรา การ สนใจในปริยัติ ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ ดังนี้ ย่อมแสดงซึ่งความที่ตนเป็นคน มีปัญญามาก. ก็เมื่อภิกษุนั้นกล่าวอยู่อย่างนี้ ชื่อว่า ย่อมทำลายพระศาสนา. ชื่อว่า มหาโจรเช่นกับบุคคลนี้ ย่อมไม่มี เพราะว่า บุคคลผู้ทรงพระปริยัติ ชื่อว่า ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ หามีไม่.


[เล่มที่ 30] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 489
สติสูตร

[๘๒๕] สาวัตถีนิทาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติอยู่เถิด นี้เป็นอนุศาสนีของเราสำหรับเธอทั้งหลาย ก็อย่างไรเล่า ภิกษุจึงจะชื่อว่าเป็นผู้มีสติ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ... ในเวทนาอยู่ ... ในจิตอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นธรรมใน ธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัด อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย อย่างนี้แล ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้มีสติ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติอยู่เถิด นี้เป็นอนุศาสนีของเราสำหรับเธอทั้งหลาย.


ท่านอาจารย์: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของเห็น ของได้ยิน ตั้งแต่เกิดมีเห็น มีได้ยิน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่มีจริงทั้งหมด

ท่านอาจารย์: เห็น มีจริงไหม?

ท่านภันเต: มีจริง

ท่านอาจารย์: เห็น เป็นอะไร?

ท่านภันเต: สิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นอยู่ ตอนนี้ที่เห็นอยู่

ท่านอาจารย์: ถามว่า เห็น เป็นอะไร?

ท่านภันเต: ไม่ทราบ แต่รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง

ท่านอาจารย์: จึงยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า

ท่านภันเต: เท่าที่เข้าใจ คือเท่าที่เข้าใจ แต่เข้าใจว่าต้องรู้มากกว่านี้

ท่านอาจารย์: แน่นอนค่ะ เดี๋ยวนี้แค่นี้ยังไม่รู้ แล้วจะไปรู้มากกว่านี้เมื่อไหร่?

ท่านภันเต: เข้าใจว่า ต้องรู้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้ยังไม่รู้จริงๆ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เริ่มรู้ว่าไม่รู้ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าต้องรู้มากๆ ก่อนถึงจะรู้อย่างนี้

เห็น เดี๋ยวนี้มีไหม?

ท่านภันเต: มี

ท่านอาจารย์: เป็นอะไร?

ท่านภันเต: เป็นสิ่งที่มีจริง ทำกิจเห็นอยู่

ท่านอาจารย์: สิ่งที่มีจริงเท่านั้นไม่พอ ต้องรู้ว่าเป็นอะไร?

ท่านภันเต: ครับ

ท่านอาจารย์: ถ้าไม่รู้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ จะปฏิบัติอะไร?

ท่านภันเต: เพื่อให้ใจสงบ

ท่านอาจารย์: รู้จักใจไหม?

ท่านภันเต: ใจ ก็คือความคิดที่ไปคิดแต่ละขณะ

ท่านอาจารย์: คิด กับเห็นเหมือนกันไหม?

ท่านภันเต: ไม่เหมือน

ท่านอาจารย์: ถ้าตอบว่าไม่เหมือน หมายความว่า รู้ว่า เห็นเป็นอะไร และ คิดเป็นอะไร นี่คือความรู้ที่จะเพิ่มขึ้น

พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องเห็นหรือเปล่า?

ท่านภันเต: ตรัส

ท่านอาจารย์: พระองค์ตรัสว่าอย่างไร?

ท่านภันเต: ไม่ทราบ

ท่านอาจารย์: ไม่ทราบ แล้วปฏิบัติอะไร?

ท่านภันเต: ก็ให้นั่ง พยายามเพ่งเล็งแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่ไม่รู้เห็น พยายามฟังแล้วเข้าใจตามที่ท่านอาจารย์พูดอยู่ ถ้าพูดเห็น ก็พยายามเข้าใจเห็นมากขึ้นอยู่

ท่านอาจารย์: พยายามเองได้ไหม?

ท่านภันเต: สามารถพยายามให้เข้าใจเพิ่มขึ้นได้ แต่เวลาเดียวกันก็ต้องฟังคนที่มีความรู้มากกว่า

ท่านอาจารย์: ใครมีความรู้มากกว่า?

ท่านภันเต: พวกเรา

ท่านอาจารย์: พวกเราไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ท่านภันเต: ครับ

ท่านอาจารย์: ถ้ารู้ความจริงเดี๋ยวนี้มีประโยชน์อะไร?

ท่านภันเต: เข้าใจคำสอน

ท่านอาจารย์: เข้าใจ เห็น เดี๋ยวนี้ค่ะ พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องเห็นหรือเปล่า?

ท่านภันเต: ตรัสครับ

ท่านอาจารย์: พระองค์ตรัสว่าอย่างไร?

ท่านภันเต: อะไรที่เกิดขึ้นให้เข้าใจสิ่งนั้น

ท่านอาจารย์: อะไร คืออะไร หนึ่งอย่าง ทีละอย่าง?

ท่านภันเต: ได้ยิน

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น หมายความว่า ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสเรื่องได้ยิน เราไม่รู้จักไม่เข้าใจได้ยินใช่ไหม?

ท่านภันเต: ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจอะไร?

ท่านภันเต: เพื่อเป็นความเข้าใจของตนเอง

ท่านอาจารย์: เข้าใจอะไร?

ท่านภันเต: อะไรที่เกิดขึ้นอยู่

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้อะไรจริง?

ท่านภันเต: เข้าใจได้ยิน

ท่านอาจารย์: อะไรอีก?

ท่านภันเต: เห็น

ท่านอาจารย์: อะไรอีก?

ท่านภันเต: เวลานี้ก็มีความเข้าใจ นั่นก็คือ สิ่งที่มีจริง

ท่านอาจารย์: เข้าใจอะไร ไม่ใช่เข้าใจเรื่องเห็น แต่เข้าใจอะไร?

ท่านภันเต: สิ่งที่มีจริงตอนนี้

ท่านอาจารย์: ไม่รู้อะไรมีจริง ตอนนี้ทั้งหมด

ท่านภันเต: ครับ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้มีอะไรจริงๆ

ท่านภันเต: เห็น

ท่านอาจารย์: อะไรอีก?

ท่านภันเต: ได้ยิน

ท่านอาจารย์: อะไรอีก แค่ ๒ หรือ?

ท่านภันเต: คิด

ท่านอาจารย์: อะไรเป็นธรรม?

ท่านภันเต: เห็น เป็นธรรม ได้ยินเป็นธรรม แต่ตอน คิด คือสิ่งที่คิด คิด เป็นธรรม

ท่านอาจารย์: อะไรเป็นสิ่งที่คิด คิด เป็นอะไร?

ท่านภันเต: คิด ไม่ใช่สิ่งที่มีจริง

ท่านอาจารย์: ไม่ได้คิด ไม่มีคิด คิดไม่จริงหรือ?

ท่านภันเต: คิดมีจริง คิดเป็นสิ่งที่มีจริง

ท่านอาจารย์: เห็น คิดได้ไหม?

ท่านภันเต: ไม่เหมือนกัน

ท่านอาจารย์: ได้ยิน คิดได้ไหม?

ท่านภันเต: ไม่เหมือนกัน

ท่านอาจารย์: ตา เห็นไหม?

ท่านภันเต: ตากำลังเห็นอยู่

ท่านอาจารย์: ตา เห็นได้หรือ?

ท่านภันเต: เห็น กับตา ไม่เหมือนกัน แต่ต้องอาศัยตา

ท่านอาจารย์: ต่างกันตรงไหน?

ท่านภันเต: แค่เข้าใจว่ามีความต่าง แต่ต่างกันอย่างไร ไม่ทราบ

ท่านอาจารย์: ถ้าปฏิบัติจะรู้อย่างนี้ไหม?

ท่านภันเต: ไปปฏิบัติเขาสอนตามที่เขาสอน แต่สิ่งที่ได้ฟังเมื่อกี๊ อย่างเช่น เห็น กับตา ไม่ได้สอนไม่มีความรู้เลย

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตายไม่รู้อะไร

ขอเชิญฟังได้ที่ ...

จิตสงบได้โดยไม่ต้องนั่งสมาธิ

สัมมาสมาธิในมรรคมีองค์ ๘

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ต้องตรงกัน

โทษของความไม่รู้

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ทรงศักดิ์
วันที่ 3 ม.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ คุณเมตตา และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 3 ม.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
swanjariya
วันที่ 4 ม.ค. 2567

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลทุกประการค่ะน้องเมตตา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ