ภาษาบาลีสัปดาห์ละคำ [คำที่ ๖๔๓] นิยต

 
Sudhipong.U
วันที่  4 ม.ค. 2567
หมายเลข  47223
อ่าน  317

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ นิยต

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

นิยต อ่านตามภาษาบาลีว่า นิ - ยะ - ตะ แปลว่า แน่นอน คือ จะต้องเป็นอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่คลาดเคลื่อน ในที่นี้ขอนำเสนอในความหมายที่หมายถึง ความตาย จะต้องเกิดแน่นอน คือจะต้องถึงขณะที่จะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้แน่นอน ในความเป็นจริงแล้ว แต่ละคนย่อมรู้ว่าตนเองจักต้องตายอย่างแน่นอน แต่ไม่สามารถที่จะทราบได้ว่าเราจักตายเมื่อไหร่ ที่แน่ๆ คือ เราจักตาย เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ความตายก็ย่อมเกิดขึ้น ไม่มีใครรอดพ้นไปได้เลย ซึ่งก็คือ จิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่เคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ จะกลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย

ข้อความในธัมมปทัฏฐกถา อรรถกถาขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ได้แสดงความจริงว่าความตาย เป็นสิ่งที่แน่นอน ดังนี้

ชีวิตของเราไม่ยั่งยืน ความตายของเรา แน่นอน เราพึงตายแน่แท้ ชีวิตของเรามีความตายเป็นที่สุด ชีวิตของเราไม่เที่ยง


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา นั้น ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดของคำสอน ก็ล้วนเป็นคำจริง เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูล เป็นเครื่องเตือนที่ดีในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษามีความเข้าใจถูกเห็นถูก มีความประพฤติที่ดีงามทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ขัดเกลากิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต จนกระทั่งสูงสุดเพื่อความเป็นผู้หมดจดจากกิเลส ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น

พระธรรมที่สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เกิดจากการที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานมาก ทุกคำจึงมาจากพระคุณอันประเสริฐยิ่งของพระองค์ การที่แต่ละคนจะได้มีโอกาสได้ยิน ได้ฟังพระธรรมแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดงในครั้งนั้นและได้สืบทอดมาจนถึงยุคนี้สมัยนี้ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระธรรมยังดำรงอยู่ จึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นแห่งปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด

ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงจนหมดสิ้น การเวียนว่ายตายเกิดย่อมมีอยู่ตราบนั้น ไม่เป็นสุคติภูมิ ก็เป็นทุคติภูมิ ตามกรรมของแต่ละบุคคล กล่าวคือถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็ทำให้ไปเกิดในสุคติภูมิ เกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นเทวดา ตรงกันข้าม ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมก็ทำให้ไปเกิดในอบายภูมิ เป็นสัตว์นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์ดิรัจฉานบ้าง ตามควรแก่กรรมของแต่ละบุคคลที่ได้กระทำมา

ชีวิต เป็นการเกิดดับสืบต่อกันของจิตแต่ละขณะๆ จิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นเป็นไป ที่กิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตเกิดขึ้นเป็นไปก็เพราะได้สะสมมาแล้วในอดีต เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อปัญญายังไม่เจริญขึ้นถึงขั้นที่จะดับกิเลสได้ กิเลสก็จะเกิดขึ้นอีกต่อไปเช่นในชาตินี้ และเพราะยังมีกิเลสอยู่นี้เอง การเวียนว่ายตายเกิดจึงยังไม่จบสิ้น เป็นเหตุให้มีสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อไป ยังไม่พ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏฏ์ การเกิดในภพหนึ่งชาติหนึ่งนั้นสั้นมาก ไม่ยั่งยืนเลย ความเกิดยังเป็นไปตราบใด ความตายก็ย่อมมีอยู่ตราบนั้น ความตายย่อมมีอย่างแน่อน แม้จะเกิดเป็นเทวดามีความสุข สะดวกสบายทุกอย่าง แต่ถึงอย่างไรแล้ว ในที่สุดก็จะต้องเคลื่อนพ้นจากความเป็นเทวดา แม้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็เป็นเช่นเดียวกัน เกิดมาในแต่ภพแต่ละชาติ ก็ต้องสิ้นสุดที่ความตายทั้งนั้น เกิดแล้วก็ต้องจะจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น แล้วยังต้องเกิดอีก ยังต้องเดินทางต่อไปในสังสารวัฏฏ์ ตราบใดที่ยังไม่หมดกิเลส ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมนั่นเอง ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมแต่ละหนึ่งๆ เท่านั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอนุเคราะห์เกื้อกูลเพื่อความเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิตอย่างแท้จริง ขณะนี้ทุกคนได้เกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ในสุคติภูมิ พ้นจากการเกิดในอบายภูมิแล้วในขณะนี้ แต่เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้วจะไปเกิดในภพภูมิใดย่อมไม่แน่ ขึ้นอยู่กับกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นสำคัญว่ากรรมใดจะให้ผลนำเกิด อาจจะไปเกิดในอบายภูมิก็ได้ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ซึ่งไปเกิดได้ง่ายมากทีเดียวสำหรับอบายภูมิ เป็นเรื่องที่จะประมาทไม่ได้เลยทีเดียว

ควรอย่างยิ่งที่จะมีการเริ่มต้นด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยอาศัยพระธรรมแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ฟังพระธรรมให้เข้าใจ สะสมความเข้าใจถูก ความเห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพื่อละความไม่รู้ในลักษณะสภาพธรรมที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา และเจริญกุศลทุกประการโดยไม่มีเว้น เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองต่อไป การเจริญกุศลสะสมความดี ไม่ควรที่รอหรือไม่ควรที่จะผัดวันประกันพรุ่ง ควรเริ่มตั้งแต่ในขณะนี้ เพราะในชีวิตประจำวัน อกุศลจิตเกิดมากกว่ากุศลจิตตามการสะสมมาของความไม่รู้และกิเลสทั้งหลาย ถ้ากุศลจิตไม่เกิด นั่นก็หมายความว่า เป็นโอกาสที่อกุศลจิตจะเกิดขึ้น สะสมอกุศลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นโทษกับตนเองเท่านั้น ไม่ได้นำคุณประโยชน์ใดๆ มาให้เลย

จะเห็นได้จริงๆ ว่า ชีวิตของแต่ละคนก็ล่วงไปอย่างรวดเร็ว ก้าวไปสู่ความตายเข้าไปทุกขณะๆ กล่าวได้เลยว่า แต่ละคนกำลังจะตาย คือไม่ทราบว่า จะตายเมื่อไหร่ แต่จักตายอย่างแน่นอน เมื่อไหร่ก็ได้ เดี๋ยวนี้ก็ได้ ถ้าคิดว่า เรากำลังจะตาย จะทำอะไร? ถ้าเห็นว่าสิ่งใดมีประโยชน์ที่สุด ประเสริฐที่สุด ก็ควรทำสิ่งนั้น คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย และเมื่อเข้าใจอย่างถูกต้องแล้วก็เกื้อกูลให้คนอื่นได้มีความเข้าใจถูกด้วย นั่นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดในชีวิต เมื่อมีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็มีชีวิตดำเนินไปด้วยความเข้าใจอย่างถูกต้อง ทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เป็นประโยชน์ทั้งกับตนเองและผู้อื่น ไม่ทำในสิ่งที่ผิดหรือเป็นโทษโดยประการทั้งปวง

อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 4 ม.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ