ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ไปสนทนาธรรมที่บ้านคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎา ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๖
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจากคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎา สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๗๓ และ ๗๒ เพื่อไปสนทนาธรรม ที่บ้านในซอยประดิพัทธ์ ๑๕ ถนนประดิพัทธ์ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ น. - ๑๕.๓๐ น. ในการนี้ คุณ ฐานิกา เจนเจษฎา สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๘๖๕ เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันแก่ผู้ร่วมสนทนา โดยมี เชฟ ติณณ์ เจนเจษฎา สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๑๕๓๓ เจ้าของ Tamatha Private Dining เป็นผู้รังสรรค์อาหารเลิศรสมื้อนี้ ด้วยตัวเอง
ความการสนทนาบางตอน :
คุณจักรกฤษณ์ : อยากจะทราบความสำคัญ ที่ท่านอาจารย์เผยแพร่พระธรรมมาตลอด ขณะนี้เกือบ ๗๐ ปีแล้ว แล้วก็ในช่วงสุดท้ายนี้ ท่านอาจารย์ไปที่อินเดีย ก็เห็นการสนทนาหลายๆ ครั้งกับชาวอินเดีย ซึ่งก็เป็นผู้ที่ใหม่ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังธรรมที่เราสนทนากันมาก่อน ก็อยากจะทราบตรงนี้ว่าท่านอาจารย์เห็นความสำคัญตรงนี้อย่างไร จึงเผยแพร่พระธรรมที่อินเดีย
ท่านอาจารย์ : มีคนอ่านหนังสือออก เห็นประโยชน์แน่ๆ ใช่ไหม ที่เราอ่านหนังสือออก แล้วเราอยากจะให้คนอื่นอ่านออกบ้างไหม? นี่คือจุดประสงค์ ถ้าเราไม่รู้อะไรเลย เราก็ไม่มีอะไรที่จะให้คนอื่นรู้ แต่ถ้าเรารู้บ้าง แม้เพียงเล็กน้อย และเราให้ความรู้ที่เรามี แม้เพียงเล็กน้อยกับคนอื่น ดีไหม? แค่นี้ ที่ทำอยู่ทุกวัน
จะรู้สักมากน้อยเท่าไหร่ก็ตามแต่ แต่ถ้าเราเห็นประโยชน์ของการที่จะได้รู้ เราก็รู้ว่าประโยชน์ยิ่งใหญ่มาก ถ้ามีคนสามารถที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้น เขาต้องรู้ได้แน่ๆ เหมือนเรารู้ได้ เขาก็ต้องรู้ได้ เพราะฉะนั้น ควรให้รู้ไหม เท่านั้น ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ สำหรับคนที่เห็นประโยชน์ว่า รู้ ดีกว่า ไม่รู้!!
เพราะน่ารู้มาก รู้อะไร จะดีเท่ากับ "รู้ขณะนี้!!" จากไม่รู้แล้วรู้ว่าคืออะไร ทุกคนก็คง งง เอ๊ะ แล้วจะรู้อะไร? มีอะไร? แค่ได้ยินนิดเดียว จะรู้อะไรหรือ? แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้ แล้วมีผู้ที่รู้ และเห็นประโยชน์อย่างยิ่งว่า ชีวิตดำรงอยู่เพียงแค่หนึ่งขณะ ถ้าไม่มีแต่ละหนึ่งขณะ หนึ่งขณะ หนึ่งขณะ ไม่มีชีวิตเลย!! ต้องสิ้นสุดชีวิต
เพราะฉะนั้น ที่ยังมีแต่ละหนึ่งขณะ โดยที่ไม่รู้ แล้วก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า แต่ละหนึ่งขณะที่มีตั้งแต่เกิด ไม่หยุดเลย จนถึงขณะที่เกิดอีกไม่ได้แล้ว จบ แล้ว มันคืออะไรกัน? แล้วตั้งแต่เกิดมา จนกว่าจะจากโลกนี้ไป ที่มันมีแต่ละหนึ่งขณะ หนึ่งขณะ หนึ่งขณะนี่ มันหายไปหมดเลย ไม่เหลือเลย!! แล้วขณะนี้มันก็กำลังหาย!! ไปทีละนิด ทีละหน่อย!! จนกว่าจะถึงที่สุดคือไม่เหลือเลย แล้วมันสำคัญอะไร?
เกิดมานี้ มันสำคัญตรงไหน? มันไม่เหลือ ใช่ไหม? เมื่อวานนี้ก็หมด เมื่อกี้นี้ก็หมด ความจริงก็คือว่า ทุกอย่างที่มี หมดแน่ๆ แต่มันหมดแบบมีอย่างอื่นเกิดสืบต่ออยู่เรื่อยๆ แต่ละหนึ่งขณะต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจบ ไม่มีต่อไปอีกสักขณะเดียว
แต่ก็ต้องมีเหตุ แล้วก็ต้องรู้ว่า ที่มีอยู่นี้ ที่เราคิดว่ามันสำคัญมาก ความจริงอะไรสำคัญ? อาหารอร่อย หมดแล้ว!! สำคัญไหม? สำคัญชั่วขณะที่อาหารกำลังอร่อย สิ่งที่ได้ยินทางหู ถ้าเป็นเสียงดนตรีก็เพราะ ติดอกติดใจ แล้วมันหายไปไหนหมด มันมีชั่วขณะที่มันเกิด แล้วเราไปยึดว่าสำคัญมาก แต่ความจริง ไม่ได้สำคัญอะไรเลย เพราะว่า หมดแล้ว!!
ถ้าเราคิดอยากจะมีอีก มันก็ไม่ใช่อันเก่า แล้วมันจะมีหรือไม่มี เราบันดาลไม่ได้ เราอยากรับประทานอาหารอร่อย พอไปถึงร้านอร่อย หมดแล้ว ไม่มีให้เราแล้ว ก็ได้ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิด ไม่มีใครสามารถรู้ได้ล่วงหน้าเลยว่าอะไรจะเกิดขณะต่อไป จริงไหม?
คือ เราพูดถึงความเป็นจริงตั้งแต่เกิด มันมีอะไรที่สำคัญ ในเมื่อมันมีแล้วไม่มี มีแล้วหามีไม่อยู่ตลอดเวลาจนจากโลกนี้ไป ไม่เหลืออะไรเลย ไม่มีทั้งหมดตั้งแต่เกิดมา แล้วเกิดมาแต่ละขณะนี่ หลง เพลิน คิดว่ายั่งยืน คิดว่ามีต่อไปเรื่อยๆ แต่ความจริง ไม่ใช่เลย
นี่คือ แต่ละคน ไม่ใช่ไปมีใครบังคับใคร ว่าเรามานั่งฟังเรื่องจริงนะ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ไม่เหมือนเรื่องที่นำเงินทองทรัพย์สินอะไรๆ มาให้เลยทั้งสิ้น แต่มันเพียงแต่ว่าให้รู้ความจริง ว่าความจริง เกิดก็เลือกไม่ได้ จากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ก็เลือกไม่ได้ และระหว่างนั้นจะมีอะไร ก็เลือกไม่ได้อีก และเกิดมาอยู่ใต้อำนาจของความที่เลือกไม่ได้ จริงหรือเปล่า?
เลือกไม่ได้ ชอบหรือไม่ชอบก็เลือกไม่ได้ ต้องเกิดขึ้นเป็นไป โดยที่เราไม่รู้ว่า ตามเหตุ ตามปัจจัย เพียงจากไม่มีเห็น เกิดเห็น แล้วเห็นก็หมด เป็นได้ยินแล้ว เพราะฉะนั้น ทุกอย่างกำลังมีให้รู้ ในความไม่มี!! เพราะอะไร เพียงแค่เกิด หมด!! จริงไหม? แค่..จริงไหม? จริง..ไหม..ไม่เหลือแล้ว ... ยังไม่มี..จริง ก็มี..จริง..แล้วหมด ยังไม่มี..ไหม ก็มี..ไหม ... แล้วก็หมด ทุกขณะ เป็นอย่างนี้หรือเปล่า?
เพราะฉะนั้น เราอยู่ด้วยความติดข้อง การยึดถือ แต่ความจริง ยึดถือสิ่งที่ไม่มี ว่ายังมี และร้ายยิ่งกว่านั้นคือ ยึดถือสิ่งที่มีว่าเป็นเรา แล้วก็เป็นของเรา แต่ทุกอย่างที่ว่าเป็นเรา มันอยู่ไหน? ขณะนี้เราเห็น แล้วก็ไม่เห็นแล้ว ได้ยิน แล้วก็ไม่ได้ยินแล้ว เราอยู่ไหน? อยู่ที่ความไม่รู้ ซึ่งนำความทุกข์มาให้โดยไม่รู้ตัว ว่าเป็นทุกข์
เดี๋ยวนี้ทุกข์ไหม? (มีเสียงไมค์หอน) เสียงหมดแล้ว และเสียงนั้นน่าฟังไหม? อยากจะฟังแต่เสียงที่น่าฟังก็ไม่ได้ฟังเสียงที่น่าฟัง ทุกข์ไหม? เลือกอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง เลือกไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วก็จากไป ไม่เหลือความเป็นคนนี้อีกเลย!! ถ้าจะยึดถือว่า ชาตินี้เป็นเรา ก็ไม่เหลือเราอีกแล้ว หายไปไหน? แล้วเกิดมาเป็นเราได้อย่างไร?
และบางคนก็มาเป็นคนในโลกนี้แสนสั้น บางคนก็ยืนยาว อย่างดิฉันนี่ อีก ๓ ปี ๑๐๐ (หัวเราะ) ยืนยาวมาแค่ไหน คิดดู ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีอีกสักกี่วัน หรือว่าอีกกี่นาที เพราะทุกอย่างเกิดโดยเราไม่รู้เลย ว่าขณะต่อไปจะคิดหรือจะเห็น หรือจะชอบ หรือจะโกรธ หรืออะไร แล้วก็ไม่เหลือเลย
แต่ว่า มีผู้ที่ตรัสรู้ความจริง ให้เข้าใจความเป็นจริงตั้งแต่ต้น ตั้งแต่เกิด ทุกขณะจนตาย แล้วเกิดอีกก็รู้ว่าเพราะอะไร พระองค์ตรัสว่า เพราะเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม คำว่า "ธรรม" รวมทุกอย่างหมด ไม่เว้นเลยสักอย่าง เห็นไหม ไม่เว้นเลย เพราะอะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริง "แข็ง" ก็มีจริง จะเว้นไม่ให้รู้แข็ง ได้ไหม? จะเว้น ไม่ให้แข็งเกิด จะเว้นไม่ให้มีสภาพที่กำลังรู้แข็งเดี๋ยวนี้ได้ไหม?
เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรที่ใครจะไปทำ แล้วก็ไม่รู้ความจริงว่า แค่แข็งนี่ เราติดข้องแล้ว!! ติดไหม? อาหารกรอบๆ อร่อย ใช่ไหม แค่กรอบ แค่แข็ง เราก็ติดข้องแล้ว และยังรสอีก หวานหรือเปรี้ยวหรือเค็ม มีแต่เกิดมาแล้วไม่รู้ความจริงว่า ทุกอย่าง เกิดมีจริงๆ แล้วหมดจริงๆ แต่ว่ามีสิ่งอื่นซึ่งเกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่นเลย
เมื่อกี้นี้ทุกคนอยู่บ้าน แล้วทำไมมาอยู่ตรงนี้ ไม่มีระหว่างคั่น แต่ละหนึ่งขณะ จนถึงเดี๋ยวนี้ และเดี๋ยวก็จะกลับบ้าน เดี๋ยวก็จะทานอาหาร ไม่มีระหว่างคั่น ห้ามไม่ให้เป็นอย่างนั้น ได้ไหม ห้ามไม่ให้เดี๋ยวนี้ได้ยินหมดแล้ว อย่ามีอะไรเกิดต่อนะ ไม่ได้!! เพราะเหตุว่า เป็นธรรม สิ่งที่มีจริง ซึ่งจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีตาก็ไม่เห็น หูหนวกก็ไม่ได้ยินแล้ว
ห้ามคิด ได้ไหม? แลกความคิดกันได้ไหม? ไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่ว่า เราไม่เคยสนใจ ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร และชีวิตนี้ยาวสั้นแค่ไหน จะอยู่อีกนานเท่าไหร่ ไม่เคยคิดเลย มีแต่จะอยู่ จะอยู่ ไปทุกวัน ทุกวัน และจะอยู่ แล้วก็ไม่อยู่ โดยจำไม่ได้เลยว่า ที่ผ่านมาแล้วทั้งหมดเป็นอะไรบ้าง
แค่เมื่อวานนี้เราก็จำไม่ได้แล้ว ใครจำได้ลองบอกหน่อยสิ ตั้งแต่ลืมตาเมื่อวานนี้ ไม่มีทาง แล้วความจำ จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ความจริง จำทุกขณะ แม้แต่ขณะที่จำไม่ได้ ยังรู้เลยว่าจำไม่ได้
เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อนี้ ไม่ใช่ชื่อที่เราจำใจต้องเรียก แต่ว่าคุณความดีที่ถึงการตรัสรู้ความจริง ซึ่งเป็นอย่างนี้มาแสนนาน ในสังสารวัฏฏ์ ประมาณไม่ได้เลยว่านานเท่าไหร่
เพราะฉะนั้น จากนานเท่าไหร่ที่ไม่รู้ มาถึงนานจนกระทั่งได้ฟัง ผู้ที่ตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด หมดความไม่รู้ หมดความติดข้อง หมดทุกข์ทั้งปวง คือ ไม่เกิดอีก จึงหมด ถ้าเกิดอีก ไม่หมด แค่นี้ ถูกไหม? ถ้าเกิดอีกนี่ไม่หมดหรอก จะหมดต่อเมื่อ ไม่เกิดอีก ก็ไม่มีอะไรที่จะเกิดต่อ แต่กว่าจะเห็นความเป็นจริงจนกระทั่งสามารถทำให้ไม่หมด เป็นหมด ได้ น่าอัศจรรย์
แต่ว่าทุกคนนี่ พอพูดถึง การเกิด ไม่เคยคิดเลยว่าอยากเกิด หรือชาติหน้าจะเกิดอีกไหม เพราะกำลังเพลินกับสิ่งที่เกิดแล้ว มีใครไม่เพลินกับสิ่งที่เกิดแล้ว เดี๋ยวนี้ก็กำลังเพลิน แค่ "เห็น" ทำไมเพลินนักหนา ก็เห็นโน่นเห็นนี่ ถ้าลองไม่เห็นเป็นโน่นเป็นนี่ จะเพลินไหม เพียงแค่กระทบตาแล้วหมด ถ้าไม่ต่อกันแต่ละขณะ จนกระทั่งปรากฏให้เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วจำไว้ เป็นคนเป็นสัตว์ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นอย่างหนึ่งอย่างใด
แต่ความจริง ชั่วหนึ่งขณะที่เห็น จะเป็นอะไรได้ไหม ไม่ได้ เหมือนเราจรดดินสอลงไปที่กระดาษ แค่จุดเดียว ไม่เป็นอะไร แต่จรดลงไปอีก เป็นนก เป็นทะเล เป็นภูเขา เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น ฟังธรรม ฟังอะไร ฟังความจริง ซึ่งไม่เคยรู้มาเลย ตั้งแต่เกิด จนถึงวันที่ได้ฟัง ไม่เคยรู้อย่างนี้มาก่อนเลย และที่ได้ฟังนี้ น้อยมาก แต่ว่าเป็นคนที่มั่นคงต่อความจริง เราฟังเรื่องอื่นๆ มาตั้งเยอะแยะ สนุกสนานเพลิดเพลิน แต่ฟังเรื่องความจริงเสียบ้าง ดีไหม?
ขอเชิญติดตามกระทู้ที่เกี่ยวข้อง ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :
- เชฟ ติณณ์ เจนเจษฎา สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ ๑๕๓๓ กับการกลับมาของ 8/92 Private Dining
- 8/92 Private Dining โดยเชฟ ติณณ์ เจนเจษฎา สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ ๑๕๓๓
- อาหารกล่องเดลิเวอรี่ ฝีมือเชฟ ติณณ์ เจนเจษฎา สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ ๑๕๓๓