กาลกิริยาอันไม่เลวทราม
สนทนาปัญหาธรรม วันอังคารที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๗
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 325
สรกานิวรรคที่ ๓
๑. ปฐมมหานามสูตร
ว่าด้วยกาลกิริยาอันไม่เลวทราม
[๑๕๐๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ครั้งนั้น พระเจ้ามหานามศากยราชเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทรงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนครกบิลพัสดุ์นี้ เป็นพระนครมั่งคั่ง เจริญรุ่งเรือง มีผู้คนมาก แออัดไปด้วยมนุษย์ มีถนนคับแคบ หม่อมฉันนั่งใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า หรือนั่งใกล้ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นที่เจริญใจแล้ว เมื่อเข้าไปยังพระนครกบิลพัสดุ์ในเวลาเย็น ย่อมไม่ไป (๑) พร้อมกับช้าง ม้า รถ เกวียน และแม้กับบุรุษสมัยนั้น หม่อมฉันลืมสติที่ปรารภถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ หม่อมฉันมีความดำริว่า ถ้าในเวลานี้ เรากระทำกาละลงไป คติของเราจะเป็นอย่างไร อภิสัมปรายภพของเราจะเป็นอย่างไร.
[๑๕๐๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร อย่ากลัวเลยๆ การสวรรคตอันไม่เลวทรามจักมีแก่มหาบพิตร กาลกิริยาอันไม่เลวทรามจักมีแก่มหาบพิตร ดูก่อนมหาบพิตร จิตของผู้ใดผู้หนึ่งที่อบรมแล้วด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ตลอดกาลนาน กายนี้ของผู้นั้น มีรูปประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ มีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด เจริญขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสด มีความไม่เที่ยง ต้องขัดสี นวดฟั้น และมีอันแตกกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา พวกกา แร้ง นกตะกรุม สุนัข สุนัขจิ้งจอก หรือสัตว์ต่างชนิด ย่อมกัดกินกายนี้แหละ ส่วนจิตของผู้นั้นอันศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญาอบรมแล้วตลอดกาลนาน ย่อมเป็นคุณชาติไปในเบื้องบน ถึงคุณวิเศษ.
[๑๕๐๙] ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนบุรุษลงไปยังห้วงน้ำลึกแล้ว พึงทุบหม้อเนยใสหรือหม้อน้ำมัน สิ่งใดที่มีอยู่ในหม้อนั้นจะเป็นก้อนกรวดหรือกระเบื้องก็ตาม สิ่งนั้นจะจมลง สิ่งใดเป็นเนยใสหรือน้ำมัน สิ่งนั้นจะลอยขึ้นถึงความวิเศษ ฉันใด จิตของผู้ใดผู้หนึ่งที่อบรมแล้วด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญาตลอดกาลนาน กายนี้ของผู้นั้น มีรูป ประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ ... ส่วนจิตของผู้นั้นซึ่งอบรมแล้วด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญาตลอดกาลนาน ย่อมเป็นคุณชาติไปในเบื้องบน ถึงคุณวิเศษ ฉันนั้นเหมือนกัน ขอถวายพระพร มหาบพิตรอย่ากลัวเลยๆ การสวรรคตอันไม่ลามกจักมีแก่มหาบพิตร กาลกิริยาอันไม่ลามกจักมีแก่มหาบพิตร.
จบปฐมมหานามสูตรที่ ๑
[เล่มที่ 48] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ ๒
เทพธิดานั้นดีใจ ครั้นถูกท่านพระมหาโมคคัลลานเถระถามแล้ว จึงพยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า “ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์ ดิฉันได้ถวาย อาสนะแก่เหล่าภิกษุที่มาถึงเรือน ได้กราบไหว้ ได้ทำอัญชลี (ประนมมือ) และได้ถวายทานตามกำลัง เพราะบุญนั้น วรรณะของดิฉันจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ดิฉัน และโภคะทุกอย่างที่น่ารัก จึงเกิดแก่ดิฉัน ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดิฉันขอบอกแก่ท่าน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ดิฉันได้ทำบุญอันใดไว้ เพราะบุญอันนั้น ดิฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของดิฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ” (ข้อความบางตอนจาก ... พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ปฐมปีฐวิมาน)
อ.อรรณพ: กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ รู้สึกอัศจรรย์แล้วก็ปลาบปลื้มสำหรับผู้ที่ได้สะสมศรัทธาสะสมปัญญาในพระศาสนามา ซึ่งพวกเราก็เห็นการจากไปของคุณนีน่า ก็ไม่ทราบว่าคุณนีน่าตอนนี้อยู่ที่ไหน และท่านอาจารย์ก็กล่าวแล้วว่า ด้วยกุศล ด้วยศรัทธา ด้วยปัญญา ของคุณนีน่า แล้วก็การเจริญกุศลมาอย่างต่อเนื่องก็คงเป็นเหตุปัจจัยให้คุณนีน่าได้พบสิ่งที่ดี ผมเลยระลึกถึงช่วงนี้กำลังจะเดินทางไปที่เนปาลในวันที่ ๑๑ - ๑๗ เดือนเมษายน ๒๕๖๗ เราก็จะไปที่กรุงกบิลพัสดุ์ด้วย ก็การผเอิญการจากไปของคุณนีน่า ก็เลยนึกถึงว่า ทุกคนต้องตาย ตายหรือกระทำกาละ กาลกิริยา ก็คือต้องตาย แล้วเราก็กลัวกันว่า ตายแล้วทุกคนยอมรับว่าทุกคนต้องตาย
เพราะฉะนั้น ประการหนึ่ง ก็คือในเมื่อรู้ว่าต้องตาย ก็ปราถนาว่า ตายแล้วขอให้ได้ไปสุคติ แต่ว่าการจะไปสุคติก็ต้องมีเหตุ ผมขอกราบเท้าสนทนากับท่านอาจารย์ ข้อความในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค พระสูตรแรกในวรรคนี้ ก็คือ ปฐมมหานามสูตร เจ้ามหานามะเป็นพระญาติกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าด้วยกาลกิริยาอันไม่เลวทราม อันนี้ไม่ใช่ให้เราหวัง แต่ว่าให้รู้เหตุซึ่งข้อความขึ้นต้นพระสูตรก็ซาบซึ้งแล้ว เพราะเรากำลังจะไปกรุงกบิลพัสดุ์กับท่านอาจารย์กัน
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ครั้งนั้นพระเจ้ามหานามศากยราชเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วผมก็ขอกล่าวโดยสรุป แล้วเจ้ามหานามะพระองค์ได้ปรารถว่า พระนครกบิลพัสดุ์นี่ก็เป็นพระนครที่คับคั่ง มีความเจริญในยุคนั้นมากเลย เราก็จะได้น้อมระลึกถึงกรุงกบิลพัสดุ์ในสมัยนั้น ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นสักกะ เพราะฉะนั้น ก็มีความคับคั่งมาก จะเป็นช้าง ม้า ผู้คนต่างๆ แล้วเจ้ามหานามะพระองค์ก็คิดไปว่า หม่อมฉันลืมสติที่ปรารถถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วท่านก็มีความดำริว่า ถ้าในเวลานี้ท่านกระทำกาละลงไป คติของท่านจะเป็นอย่างไร อภิสัมปรายภพ คือภพหน้าของท่านจะเป็นอย่างไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่า อย่ากลัวเลยๆ การสวรรคตอันไม่เลวทรามจะมีแก่มหาบพิตร กาลกิริยาอันไม่เลวทรามจะมีแก่มหาบพิตร พระองค์ก็ทรงแสดงเหตุว่า
ดูกร มหาบพิตร จิตของผู้ใดผู้หนึ่งที่อบรมแล้วด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ตลอดกาลนาน กายนี้ของผู้นั้นมีรูปประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ มีมารดา บิดานั้นเป็นแดนเกิด เป็นต้น ค่อยๆ เจริญวัย ...
ส่วนจิตของผู้นั้นอันศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญา อบรมแล้วตลอดกาลนาน (ซาบซึ้งมาก) ย่อมเป็นคุณชาติไปในเบื้องบนถึงคุณวิเศษ กราบเท้าท่านอาจารย์ นั่นคือคุณธรรมของพระอริยบุคคลครับ คือเจ้ามหานามะ เจ้าสักกะ พระมหานามะนี่แหละครับ ทีนี้ก็ไม่ใช่เรื่องหวังว่า อยากจะไปสุคตินะครับ แต่การจากไปของคุณนีน่าก็พอที่จะอนุมานให้เห็นได้เลยว่า ผู้ที่สะสมศรัทธาสะสมปัญญามานี่ แน่นอน ศรัทธา ศีล ความประพฤติที่ดีงามในกาย วาจาจากกุศลจิตกุศลศีลนี้ สุตะ การฟัง การสละขัดเกลากิเลสอกุศล ความเข้าใจพระธรรมซึ่งมีคุณค่า
ขอกราบเท้าท่านอาจารย์ให้กล่าวถึงคุณค่าอันเป็นคุณชาติเหล่านี้ที่จะทำให้ทุกคน ผู้ที่ทุกคนต้องตาย แต่มีคุณชาติเหล่านี้ ก็สุคติเป็นอันหวังได้ครับท่านอาจารย์ อันนี้ไม่ได้หวังอยากไปอย่างเดียวโดยไม่มีเหตุครับ กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ เหตุอันที่จะทำให้เป็นกาลกิริยาอันไม่เลวทรามครับ กาลกิริยาอันไม่เลวทรามมีเหตุอย่างนี้ในความละเอียดคืออย่างไรครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: ทุกคนต้องไม่ลืม ทุกคำที่เป็นความจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธตรัส เพราะฉะนั้น การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงนี้ ทุกคำ ประมาทไม่ได้เลยว่า เข้าใจแล้ว
เพราะฉะนั้น แต่ละคนเพียงฟังข้อความนี้ที่คุณอรรณพกล่าว แล้วรู้สึกอย่างไร ขึ้นอยู่กับการอบรมการสะสมของแต่ละบุคคลซึ่งต่างๆ กัน
เพราะฉะนั้น บางคนก็รู้สึกยินดีมากสำหรับผู้ที่ได้ทำกุศลมามากมายก่อนที่จะจากโลกนี้ไป แต่ว่า ต้องไม่ลืม ผลของกุศลนำสิ่งที่ดีมาให้ แม้แต่จากโลกนี้ไปแล้วก็ไปสู่สุคติ แต่ต้องไม่ลืมทุกคำ ผลของกุศล ประมาทได้ไหม ถึงจะทำไว้มากมายมหาศาลเท่าไหร่ก็ตาม แต่สังสารวัฏฏ์ที่สะสมมาเกิดดับไปๆ ๆ แต่ละชาติ ใครรู้ ชาติก่อนเป็นอย่างไร ชาติที่ผ่านมาแล้วทั้งหมดเป็นอย่างไร สามารถที่จะเป็นเหตุปัจจัยให้ผลเกิดขึ้นได้ จนกว่าจะถึงกาละที่ปรินิพพาน จึงไม่มีกรรมใดๆ ที่จะให้ผลอีกต่อไปได้เลย ไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นต่อจากนั้นได้เลย ปริ โดยรอบ ไม่มีอะไรเกิดเลย
เพราะฉะนั้น ตราบใดก็ตามผู้ที่ได้ทำกุศลแล้ว เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า ต้องมีผลที่ดีแน่นอน แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่า กุศลกรรม หรืออกุศลกรรมใดๆ ที่ได้กระทำมีโอกาสจะให้ผลเมื่อไหร่ไม่มีใครหยั่งรู้ได้
เพราะฉะนั้น จึงเป็นผู้ที่ไม่ประมาทอย่างยิ่ง ฟังแล้วกุศลย่อมนำมาซึ่งสิ่งที่มีประโยชน์ ไม่ให้โทษเลย แม้แต่ผลที่ได้รับก็เป็นสิ่งที่ดี ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ หรือว่าเป็นทุกข์ทรมานต่างๆ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 382
๙. มหานามสูตร
ผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการเป็นพระโสดาบัน
[๑๖๑๙] กบิลพัสดุ์นิทาน. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะพระเจ้ามหานามศากยราชผู้ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า ดูก่อนมหาบพิตร อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา ... อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเป็นพระโสดาบันมีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.
จบมหานามสูตรที่ ๙
ขอเชิญอ่านได้ที่ ...
ระลึกลักษณะของสังขารทั้งหลายที่มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ขอเชิญฟังได้ที่ ...
มหาปรินิพพานสูตร - พระปัจฉิมโอวาท
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ