ภาษาบาลีสัปดาห์ละคำ [คำที่ ๖๔๕] สปฺปุริสจินฺตี
ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “สปฺปุริสจินฺตี”
โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย
สปฺปุริสจินฺตี อ่านตามภาษาบาลีว่า สับ - ปุ - ริ - สะ - จิน - ตี มาจากคำว่า สปฺปุริส (สัตบุรุษ, บุคคลผู้สงบจากกิเลส, คนดี) กับคำว่า จินฺตี (คิด) รวมกันเป็น สปฺปุริสจินฺตี แปลว่า คิดอย่างสัตบุรุษ, คิดอย่างคนดี เป็นคำที่ส่องให้เข้าใจถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ เพราะการคิดอย่างสัตบุรุษ ก็คือ คิดดี คิดช่วยเหลือผู้อื่น คิดที่จะเจริญกุศลประการต่างๆ คิดที่จะเว้นจากอกุศล เป็นต้น ก็เป็นกุศลธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ข้อความในพระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ แสดงความเป็นจริงของการคิดอย่างสัตบุรุษ ดังนี้
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัตบุรุษเป็นผู้มีความคิดอย่างสัตบุรุษเป็นอย่างไร คือสัตบุรุษในโลกนี้ ย่อมไม่คิดเบียดเบียนตนเอง ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น ไม่คิดเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล สัตบุรุษ ชื่อว่าเป็นผู้มีความคิดอย่างสัตบุรุษ”
ทุกชีวิต เป็นการเกิดขึ้นของสภาพธรรมคือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และรูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) ซึ่งไม่มีใครจะสามารถยับยั้งได้เลย ในชีวิตประจำวันก็จะเห็นได้ว่ากิเลสหรืออกุศลธรรม เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของอกุศลธรรมนั้นๆ อยู่ตลอดเวลาที่กุศลจิตไม่เกิดขึ้น นี้คือความจริง คงไม่ต้องกล่าวถึงอดีตชาติที่ผ่านๆ มาว่าจะมากสักแค่ไหน แม้แต่วันนี้วันเดียว อกุศลจิตก็เกิดมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นอกุศลจิตประเภทที่มีโลภะ ความติดข้องต้องการเกิดร่วมด้วย อกุศลจิตประเภทที่มีโทสะ ความขุ่นใจ ความโกรธ ความไม่พอใจ เกิดร่วมด้วย เป็นต้น ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ตามการสะสมมาของแต่ละบุคคล แสดงให้เห็นเลยว่า ปุถุชนมักจะตกไปจากกุศลจริงๆ ขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นกิเลสระดับขั้นต่างๆ เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ สะสมสิ่งที่ไม่ดีไว้ในจิตแล้ว แม้คิด ก็คิดไม่ดี เพราะเป็นอกุศล ขณะที่อกุศลเกิด จะคิดดีไม่ได้เลย, ขณะที่จิตเป็นกุศลเท่านั้น ซึ่งคั่นกิเลสในชีวิตประจำวันชั่วครั้งชั่วขณะ กล่าวคือ ขณะที่เป็นไปในทาน เป็นไปในศีล เป็นไปในความสงบของจิต และเป็นไปในการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งเกิดน้อยมากในชีวิตประจำวัน
ตามความเป็นจริงแล้ว บุคคลที่ได้สะสมความคิดดี ความเห็นถูก ความเข้าใจสภาพธรรมอย่างถูกต้อง บุคคลนั้นจะคิดไม่ดีไม่เป็น คิดใส่ร้ายคนอื่นไม่เป็น คิดประทุษร้ายเบียดเบียนคนอื่นไม่เป็น คิดเหน็บแนมเยาะเย้ยคนอื่นไม่เป็น แต่จะคิดในทางที่ดีที่ถูกที่ควร คิดที่จะมีเมตตา เห็นใจคนอื่นซึ่งเป็นผู้ที่มีกิเลสด้วยกัน คิดเกื้อกูลกันและกัน และเห็นใครทำดี ก็ชื่นชมสรรเสริญ เป็นต้น แต่ถ้าไม่ได้สะสมเหตุที่ดีมา ไม่เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม ก็จะคิดในทางตรงกันข้าม กล่าวคือคิดในทางที่เป็นอกุศล ซึ่งขณะนั้นก็เบียดเบียนทำร้ายตนเองด้วยอกุศลธรรมนั่นเอง ไม่ใช่คนอื่นที่ทำร้าย แต่เป็นอกุศลธรรมที่เกิดกับตนเองเท่านั้นที่ทำร้ายตนเอง
เป็นที่น่าพิจารณาว่า ทุกคนย่อมคิด ไม่มีใครที่ไม่คิด แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม จนกว่าจะได้มีโอกาสได้ฟังคำจริงซึ่งเป็นวาจาสัจจะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ในฐานะที่ยังเป็นผู้มีกิเลส ขณะที่คิด ย่อมเป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง ขึ้นอยู่กับการสะสมมาของแต่ละบุคคลจริงๆ ว่าจะเป็นจิตประเภทไหน เพราะเหตุว่าเวลาที่จิตเกิดนั้น ไม่ได้เกิดเพียงจิตเท่านั้น ยังมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ปรุงแต่งจิตให้เป็นจิตที่ดี ก็มี ปรุงแต่งให้เป็นจิตที่ไม่ดีก็มี
ดังนั้น การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ย่อมเป็นสิ่งที่ดี และ มีค่าต่อชีวิตเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อความรู้ความเข้าใจค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กุศลธรรมประการต่างๆ เจริญขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน คิด ก็คิดดี ซึ่งเป็นการคิดอย่างสัตบุรุษหรือคิดอย่างคนดี เมื่อคิดดีแล้ว การกระทำทางกาย และทางวาจา ก็ย่อมจะดีด้วยเหมือนกัน คล้อยตามความคิดที่ดี เพราะฉะนั้น ความเข้าใจพระธรรม จึงเกื้อกูลให้กุศลธรรมทั้งหลายเจริญขึ้นในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง และต้องไม่ลืมความเป็นจริงที่ว่า เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ไม่มีเราแทรกอยู่ในสภาพธรรมเหล่านั้นเลย
อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ