เข้าใจในความลึกซึ้ง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กิเลสของตัวเองบางครั้งก็เห็น บางครั้งก็ไม่เห็น เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุปัจจัยว่าจะเห็นหรือไม่เห็น แต่กิเลสของคนอื่นเห็นชัดมาก
พระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา แม้คำนี้คำเดียวเราก็ลืม ไม่ต้องไปไกลกี่คำ แต่ละคำให้เข้าใจในความลึกซึ้ง เพราะทั้งหมดเป็นอนัตตา
เราจะไปเลือกไม่ได้ ทุกอย่างไม่พ้นความเป็นอนัตตา แต่คำเดียวเราก็ลืมเพราะฉะนั้นฟังเพื่อจะปลูกฝังความมั่นคงว่า ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องไปทำอย่างไร ที่ถามว่าแล้วเราจะทำอย่างไร ... มันไม่ใช่อนัตตา เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าอะไรที่ไม่ใช่อนัตตา ความคิดที่ว่าแล้วเราจะทำอย่างไร ... นั่นไม่ใช่อนัตตา เป็นเราหมด ... เห็นความลึกซึ้งไหม เพียงคำเดียว กว่าจะเข้าใจถึงที่สุดว่า ทุกอย่างไม่เว้นเลย
ฟังคำของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปหวังจะรู้ตรงโน้น จะทำตรงนี้ เราจะได้รู้จักตัวเอง นั่นเราคิด แต่เราไม่ได้คิดคำของพระพุทธเจ้า ... " อนัตตา " คำเดียว
จัดการหมดว่าจะอย่างนั้นอย่างนี้ แต่อนัตตาแค่ไหน ต้องถึงคำนี้ว่าอะไรเป็นอนัตตา ไม่งั้นเราข้ามคำนี้และไปคิดละ แต่ว่าถ้าได้ยินคำว่าอนัตตา ... อะไรเป็นอนัตตา เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา
ไม่ต้องไปไหนเลย สบายๆ แล้วก็เข้าใจเองว่า กว่าจะถึงหมดหวังเมื่อไหร่ เมื่อนั้นจะรู้ว่าถึง
ฟังด้วยความไม่แยบคาย เพราะเป็นตัวฟัง เป็นตัวอยากรู้ แต่นี่ตัวไม่มี ... ไม่มีเพราะเป็นอะไร? ... เราถึงจะตรงคำของพระพุทธเจ้า ไม่ออกไปจากคำของพระองค์
ถ้าเราคิดเองเมื่อไหร่ เราหาหนทางเมื่อไหร่ ออกไปแล้วจากคำของพระพุทธเจ้า
การเข้าใจความลึกซึ้งนี่ต่างหากที่เป็นหนทาง แต่เราไปทำอย่างอื่นหมด แต่ขณะที่เข้าใจว่าลึกซึ้งนี่ละแล้ว ละความไปคิดว่าไม่ลึกซึ้ง ละความคิดว่าเราจะทำ ละความคิดว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เราทำ มันง่ายมากที่จะไม่เข้าใจคำของพระพุทธเจ้า เพราะความลึกซึ้ง
เราไม่เห็นความลึกซึ้งของคำว่าอนัตตา เราก็คิดเองหมด แต่พอคิดแล้วว่าอะไรที่เป็นธรรมะที่เป็นอนัตตา ... ก็ต้องเดี๋ยวนี้!! จะไปหาอนัตตาที่ไหนถ้าไม่ใช่เดี๋ยวนี้ นี่คือการเริ่มฝึกนิสัยไตร่ตรองให้ตรงทุกอย่าง ถ้าไม่รู้เดี๋ยวนี้ มันจะเป็นทุกอย่างและเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดได้ไหม!!! เพราะฉะนั้นไม่ต้องคอยอนัตตาที่ไหนเลย มีอนัตตาตลอดเวลา แต่ไม่รู้ว่าเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นก็ฟังว่าเราจะไปหาอนัตตาที่ไหน ... กำลังเห็นนี่เป็นอนัตตาแล้ว กำลังคิดก็เป็นอนัตตาแล้ว กำลังจำก็เป็นอนัตตาแล้ว ... อนัตตาทั้งหมด
นี่คือไม่คิดออกนอกทางของพระพุทธเจ้า คิดตามคำที่ตรัสไว้
เห็นมานะก็เรานั่นแหละ แล้วมานะมันเป็นอนัตตา ตรงนี้แหละที่จะรู้ว่าอนัตตา เราติดคำนี้มากๆ เขวกันไปเพราะไม่เห็นความลึกซึ้งของคำเดียว ... อนัตตา ลึกซึ้งแค่ไหนทุกอย่างเป็นอนัตตา เราจะต้องไปเจาะจงไหมว่าอะไรเป็นอนัตตา แต่ความเข้าใจมั่นคง ... ว่าอีกไกลมาก เพราะว่าเราลืม ไม่รู้ว่าทุกอย่างมันอะไร ทุกอย่างเหมือนรู้แต่ไม่รู้สักอย่าง แต่ต้องรู้ทีละหนึ่ง อะไรล่ะทุกหนึ่งรู้ไหมกว่าจะเป็นหนึ่งๆ ๆ ๆ ทุกอย่าง
นี่คือการคิดตามแนวของคำของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าเราคิดอย่างอื่นไม่ใช่ตามแนวนี้ ทิ้งคำว่าอนัตตา ว่าเป็นสิ่งที่จะต้องรู้อย่างเดียวคืออนัตตานี้แน่นอน แต่ไม่ใช่อนัตตาลอยๆ นะ ... เดี๋ยวนี้ทั้งหมด ... ทั้งหมดกว่าจะหมดนะทีละหนึ่ง
สมมติทำไม มัวแต่นั่งสมมติมันไม่ถึงหรอก มันไม่จริง มันตัวเราทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นทุกคนเข้ามาในพระศาสนาไม่ได้มาด้วยความมั่นคงในความลึกซึ้ง มีแต่มาเพื่อเราจะถึง เราจะเข้าใจ เราจะทำเราจะได้ แต่สักคำน่ะไกลไหม " อนัตตา " เดี๋ยวนี้เห็น เพราะฉะนั้นไม่ทำอะไรเลยนอกจากฟังในความละเอียด เพราะว่าถ้าพระพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้จะสอนความละเอียดไหมว่า เห็นเดี๋ยวนี้คืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ค่อยๆ รู้ความจริงว่าชีวิตประจำวันทุกขณะเป็นธรรมะและเป็นอนัตตา
แล้วก็จะไม่ไปไหน นอกจากอะไรเกิดขึ้นเราก็ไม่ลืม ค่อยๆ เข้าใจขึ้น มันผิดกันตรงนี้ตั้งแต่ต้น มันก็พาผิดไปตลอด
" เมื่อไตร่ตรองแล้วยังละไม่ได้ " มาจากไหน? ฟังเพื่อต้องการอะไร? เห็นไหม ... ผิด ... ถ้าไม่รู้ตัว ... เอาออกไม่ได้เลย
ตรงนี้ต่างหากที่จะต้องเข้าใจในความลึกซึ้ง ... เข้าใจในความลึกซึ้งตรงนี้แหละละ ... หนทางละอริยสัจจะที่สี่ ... ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะต้องเป็นปัญญาที่เข้าถึงความลึกซึ้งเท่านั้น
ไม่ได้ไปไกลจากคำๆ เดียว แต่ต้องไตร่ตรองจนกระทั่งมั่นคง ฟังคำเดียว "ธรรมะ" ละเอียดแค่ไหน เพราะทุกอย่างเป็นธรรมะที่มีจริงทั้งนั้นเลย แต่ไม่รู้ความจริงทั้งนั้นเลย
ฟังด้วยความเคารพครับท่านอาจารย์ ... เคารพที่จะได้ไม่ใช่เคารพที่จะเห็นความลึกซึ้ง ... ยิ่งฟังยิ่งเห็นความลึกซึ้งนั้น!! เพราะว่าเห็นความลึกซึ้งต่างหากที่ละความหวัง
ธรรมะลึกซึ้งไหม!! ทำไมว่าธรรมะลึกซึ้ง?? เพราะเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ เพราะไตร่ตรองแล้วยังไม่เข้าใจเลย เป็นเรื่องที่เราไม่ได้คิดตามธรรมะแต่คิดตามเราคิดอยู่นั่นแหละ ถ้าคิดตามธรรมะ ... ลึกซึ้งอย่างยิ่งเพราะกำลังมีก็ไม่ได้ปรากฏว่าเป็นธรรมะ ... อย่างนี้จะต้องไปหาความลึกซึ้งที่ไหน ... เดี๋ยวนี้เองลึกซึ้ง ... เห็นก็ลึกซึ้งแต่ไม่รู้ ได้ยินก็ลึกซึ้ง คิดก็ลึกซึ้ง จำก็ลึกซึ้ง ลึกซึ้งเพราะเหตุว่าแม้กำลังมีก็ไม่รู้ ไม่ใช่ว่าไม่เห็น ... เห็นแต่ไม่รู้ว่าลึกซึ้ง ไม่ใช่ว่าไม่ได้ยิน ... ได้ยินแต่ไม่รู้ว่าลึกซึ้ง ... นี่คือไม่ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ารู้จักจริงๆ ไม่ประมาทเลย ธรรมะคือสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง แสดงว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของทุกอย่าง
ขณะนี้พระองค์ก็ยังต้องแสดงทั้งๆ ที่กำลังเห็น เพราะไม่มีใครรู้ในความลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นความลึกซึ้งเท่านั้นที่เป็นหนทางที่ลึกซึ้ง คือความเข้าใจความลึกซึ้ง เพราะถ้าไม่เข้าใจความลึกซึ้งจะบอกว่าลึกซึ้งไม่ได้!!
แค่ลึกซึ้งคืออย่างไร " กำลังมีเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ " ตรงนี้แหละลึกซึ้ง นี่คือเห็นความลึกซึ้ง ... กำลังละ ... ถ้าเห็น ... ตรงนี้ยิ่งเห็นความลึกซึ้งเท่าไหร่ จึงจะรู้ว่าลึกซึ้งแล้วละความไม่ลึกซึ้ง!!
เผินมาก ... ฟังกันแบบคนไม่รู้เรื่อง แล้วก็คนประมาท แล้วก็คนไม่รู้จักพระพุทธเจ้า เพราะไม่รู้ความลึกซึ้งอย่างยิ่งที่พระองค์ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีนาาาาานเท่าไหร่ กว่าจะตรัสคำที่เราได้ยินได้ฟัง ถ้าไม่มีอะไรเกิดเดี๋ยวนี้ก็ไม่มี และสิ่งที่เกิดก็ยังมีปัจจัยให้เกิดแล้วก็ดับ ไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น แค่นี้เราข้ามไปหมด ... จะไปโน่นจะไปนี่ ... ลืมว่าเดี๋ยวนี้เห็น ... รู้หรือยัง??
เชิญชม ...
ณ กาลครั้งหนึ่ง “สนทนาธรรมที่ บ้าน ซ. พัฒนเวศม์” วันพุธที่ ๑๐ ม.ค. ๖๗ (ช่วงเช้า)
🔵 fb.watch/pvvmMz3pyl/?mibextid=cr9u03
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ