เข้าใจคำของพระองค์ถูกต้อง

 
เมตตา
วันที่  20 ม.ค. 2567
หมายเลข  47295
อ่าน  375

คุณสุคิน: อาช่าได้ยินเกี่ยวกับวิตกเจตสิก และวิจารเจตสิก ทั้งสองจะเกิดพร้อมกันทุกครั้ง วิจารเจตสิกนั้นแกเข้าใจในภาษาฮินดีในชีวิตประจำวันทั่วไปหมายถึงพิจารณา เพราะฉะนั้น แกอยากรู้ว่าตามคำสอนของพระพุทธองค์จะให้เข้าใจสองธรรมนี่อย่างไร

ท่านอาจารย์: นี่เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เราไม่สามารถจะรู้ได้ แต่เราสามารถที่จะไตร่ตรอง ค่อยๆ คิดพิจารณาธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

คุณอาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมละเอียดมาก แม้สภาพธรรมที่เป็นรูปธรรมก็ละเอียด แต่นามธรรมที่ไม่มีลักษณะปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่เกิดรู้ตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่เริ่มเกิดจนถึงเดี๋ยวนี้เป็นสภาพที่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น ฟังแล้วค่อยๆ ไตร่ตรอง เพราะฉะนั้น เราจะต้องเข้าใจว่า แม้เดี๋ยวนี้นามธรรมที่คุณอาช่ากล่าวถึง (วิตกเจตสิก วิจารเจตสิก) ก็กำลังมี แต่ยังไม่รู้เลยทั้งสิ้น แม้ในสภาพที่มีจริง แต่ไม่ใช่เรา แต่เป็นนามธรรม

เพราะฉะนั้น จะข้ามอะไรไม่ได้เลย ต้องเริ่มละเอียดถึงคำว่า จิตเป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ แต่เจตสิกเกิดขึ้นเป็นนามธรรม แต่ไม่เป็นใหญ่ในการรู้แจ้ง เราต้องพิจารณาตั้งแต่ผัสสะ

เดี๋ยวนี้ผัสสเจตสิกปรากฏไหม?

คุณอาช่า: ไม่ปรากฏ

ท่านอาจารย์: จิตซึ่งเป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่ในขณะนี้ในการรู้ปรากฏหรือยัง?

คุณอาช่า: ไม่เข้าใจจิต

ท่านอาจารย์: ไม่ปรากฏทั้งสองอย่างใช่ไหม?

คุณอาช่า: ค่ะ ไม่ปรากฏ

ท่านอาจารย์: ฟังธรรมต้องละเอียดยิ่ง ไม่คิดเองเลย ไม่คิดเองหมายความว่าอะไร คิดเองเท่าไหร่ก็ไม่รู้ลักษณะที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ทั้งหมด

คุณอาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งหมายความว่าอะไร? ถ้าไม่ละเอียดลึกซึ้งจริงๆ จะไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้น ได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง คือเข้าใจคำของพระองค์ถูกต้อง

คุณอาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: ถ้าฟังคำของพระองค์ แล้วคิดเอง ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้น มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง หมายความว่าได้ยินคำของพระองค์ ไตร่ตรองให้เข้าใจแต่ละคำของพระองค์ตามที่พระองค์ตรัส

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธาตุรู้มี ๒ อย่าง อย่าง ๑ คือจิต เป็นใหญ่เป็นประธาน แต่ธรรมอื่นที่รู้อารมณ์เดียวกัน เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน มีลักษณะหลากหลายต่างๆ กัน ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งจะเกิดเองตามลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยกันเกิดขึ้น

จิตเกิดเองไม่ได้ ต้องมีสภาพรู้ที่อาศัยกันเกิดขึ้น คือเจตสิก ทำกิจของเจตสิกนั้นๆ พร้อมกับจิต

เขาไม่สงสัย คือคุณอาช่าไม่สงสัยในผัสสเจตสิกใช่ไหม?

คุณอาช่า: ไม่สงสัย

ท่านอาจารย์: ถ้าจิตมีแต่ผัสสเจตสิกเพียงอย่างเดียว จะเกิดขึ้นรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏไหม?

คุณอาช่า: ไม่ได้

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องมีเจตสิกอื่นเกิดร่วมด้วย ขณะที่เห็นเกิดขึ้นมีผัสสเจตสิกไหม?

คุณราจิฟ: มี แต่ว่าเราไม่เข้าใจ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวก่อนนะ ขณะนี้จิตเห็นเกิดขึ้น มีผัสสเจตสิกไหม?

คุณราจิฟ: มี

ท่านอาจารย์: มีวิตกเจตสิกไหม?

อาช่า: คิดว่า ไม่มี

ท่านอาจารย์: เขาคิดเอง หรือว่าเขาฟังมา

คุณอาช่า: จำได้ว่า ไม่มี

ท่านอาจารย์: จำได้ แต่ไม่เข้าใจใช่ไหม?

คุณอาช่า: ใช่

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เรียนธรรมอย่างนี้จะไม่รู้ความจริง ถ้าคิดเองอย่างนี้จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เมตตา
วันที่ 20 ม.ค. 2567

ท่านอาจารย์: เริ่มรู้จักพระพุทธเจ้า เริ่มเคารพพระองค์ว่า เราไม่สามารถที่จะรู้ว่า ขณะนี้มีเจตสิกอะไรเกิดกับจิต ถ้าไม่รู้ว่าธรรมทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะ เหตุปัจจัย ละเอียดขึ้นๆ จะละความเป็นตัวตนความเป็นเราไม่ได้

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า จักขุวิญญาณ ๑ ขณะเกิดขึ้นเห็น เพราะมีการกระทบของรูป กับสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้ รู้การกระทบนั้น ถ้าผัสสเจตสิกเป็นสภาพรู้อารมณ์ที่กระทบเกิด จิตจะไม่รู้ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น แล้วแต่ว่าขณะนั้น ผัสสเจตสิกกระทบอารมณ์อะไร จิตต้องรู้เฉพาะอารมณ์ที่ผัสสะกระทบเท่านั้น

เพราะฉะนั้น เมื่อผัสสเจตสิกกระทบอะไร ใครจะยับยั้งไม่ให้จิตรู้อารมณ์นั้นไม่ได้ จึงไม่ต้องมีวิตกเจตสิก ขณะที่จิต และผัสสเจตสิกเกิดรู้อารมณ์ มีเจตสิกอื่นเกิดร่วมด้วยที่ไม่ใช่ผัสสเจตสิก ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงจากที่พระองค์ตรัสรู้ยิ่งทุกประการมากกว่านี้อีก เราจะรู้ไม่ได้เลยขณะเห็นเกิดขึ้น ๑ ขณะ มีเจตสิกอะไรบ้างที่เกิดพร้อมจิตเห็น

พระองค์ทรงแสดงว่า ขณะเห็นเกิดขึ้น ๑ ขณะ มีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย ซึ่งไม่ใช่วิตกเจตสิก ใครจะรู้ว่าจิตเห็นเกิดขึ้นเพียง ๑ ขณะแล้วดับ จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นไม่เห็น ไม่ใช่จักขุวิญญาณ แต่อารมณ์ยังไม่ดับไป เพราะฉะนั้น จิตที่เกิดเพราะจักขุวิญญาณเห็นแล้วก็ดับ ทำให้จิตนั้นเกิดต่อรู้อารมณ์นั้น โดยมีวิตกเจตสิกเกิดร่วม การที่จิตต่อจากจิตเห็นเกิดขึ้นรู้อารมณ์เดียวกับจิตเห็น โดยไม่เห็น ต้องอาศัยเจตสิกที่ จับ เราใช้คำว่า จับ หมายความว่า ผัสสะกระทบแล้วดับแล้วพร้อมกับจิตเห็น ขณะต่อไปมีผัสสะกระทบอีกแต่ไม่เห็น จึงต้องจับอารมณ์ที่เห็นเกิดแล้วดับเพื่อที่รู้อารมณ์นั้นต่อไป และขณะนั้นไม่มีใครรู้ว่า ขณะที่วิตกเจตสิกเกิดขึ้นจับอารมณ์นั้นรับอารมณ์นั้น มีเจตสิกอีก ๑ เกิดพร้อมกับวิตกประคองวิตกให้จับอารมณ์นั้น

เพราะฉะนั้น หลังจากจิตเห็น จิตได้ยิน จิตรู้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ๑๐ ดวงนี้ดับไปแล้ว จิตที่เกิดต่อต้องมีวิตก และวิจารเกิดเพื่อที่จะรู้อารมณ์นั้นต่อโดยไม่เห็น แต่ทำหน้าที่ของตนๆ .

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 20 ม.ค. 2567

ท่านอาจารย์: นี่แสดงให้เห็นว่า ถ้าเราไม่อาศัย คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะคิดเองได้ไหม? พระองค์ทรงแสดงว่า จิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ ๖ โลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นจิตที่มีกำลังอ่อนมาก นี่ก็เป็นการเริ่มเห็นความลึกซึ้ง ซึ่งถ้าคิดเองจะไม่มีความเข้าใจความจริง จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ทั้งหมดที่ฟังลึกซึ้งอย่างยิ่ง ที่สามารถจะค่อยๆ ละความเป็นเรา เพราะธรรมไม่ใช่เราเป็นอนัตตา

จุดประสงค์ของการฟังพระธรรมความจริง เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เพื่อรู้ความจริงมั่นคงว่า ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา เป็นอนัตตาทั้งหมด เมื่อยังไม่รู้ว่าไม่ใช่เราก็เป็นเราที่เห็น เราที่ฟัง เราที่คิด เราที่จำ ยังเป็นเราตลอดไปจนกว่าจะเข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อยจนหมดสิ้นความเป็นเรา เห็นมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ขณะที่ฟังเรื่องวิตกฟังเรื่องวิจารฟังทุกเรื่องเป็นเราทั้งนั้น จนกว่าจะเข้าใจธรรมที่มีจริง ซึ่งละเอียดลึกซึ้งเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณ เข้าใจแต่ละหนึ่งจนสามารถที่จะรู้ทั่วในขั้นของปริยัติ การฟังมั่นคงว่าไม่มีเราแต่เป็นธรรม เพราะถ้าไม่รู้ว่าเป็นธรรมก็ยังเป็นเรา

ความไม่รู้ และการยึดถือธรรมว่าเป็นเรามีมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น ยากแสนยากที่จะทำให้หมดความเข้าใจผิด และความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นเรา

ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงในการที่จะรู้ทีละเล็กทีละน้อยว่า เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ใช่เรา หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย

คุณมานิช: อย่างวันนี้ที่ท่านอาจารย์พูดถึงธรรม จิต เจตสิกต่างๆ เวลาฟังก็รู้ว่ามีแต่ความจริงพวกนี้ ยกตัวอย่างเวลาออกไปจากห้องนี้ออกไปจากการสนทนาแล้วทุกอย่างก็เป็นเหมือนเดิมว่า เราคิดในแง่ว่า นี่เป็นเห็นของเรา นี่เป็นของเขาอย่างนี้ อย่างเมื่อกี๊ที่เรายกตัวอย่างว่า เราสะสมอวิชชามาเยอะ ตรงนั้นจะให้เข้าใจว่า อย่างไรว่า เวลาเดียวกันเราก็พูดว่ามีแต่ธรรม และตอนที่เราพูดว่าเราสะสมความไม่รู้มาเยอะ มันสอดคล้องกันอย่างไรจะให้เข้าใจว่าอย่างไร

ท่านอาจารย์: จริงไหม?

คุณมานิช: ถ้าไม่จริง ป่านนี้เราฟังอะไรเราก็เข้าใจหมดแล้ว

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น คุณมานิชพูดจริงตามที่พูดใช่ไหม?

คุณมานิช: พูดจริงครับ

ท่านอาจารย์: เปลี่ยนความจริงไม่ได้เปลี่ยนคำพูดไม่ได้ใช่ไหม?

คุณมานิช: เปลี่ยนไม่ได้ครับ

ท่านอาจารย์: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงว่า ธรรมลึกซึ้งยากที่จะเห็นได้ เพราะว่าพระองค์ขณะที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี ยังไม่รู้ความจริงอย่างที่พระองค์ตรัสเมื่อพระองค์บรรลุแล้ว

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 20 ม.ค. 2567

ท่านอาจารย์: ยังสงสัยไหมว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ ฟังคำจริงๆ จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ กี่พระองค์ กว่าจะสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ เพราะฉะนั้น เราฟังความจริงเพื่อรู้ว่า ความจริงลึกซึ้ง

คุณอาช่า: ขอสนทนาเรื่องวิตก วิจารต่อ

ท่านอาจารย์: ยังไม่จบหรือ?

คุณอาช่า: อยากถามเรื่องวิตก วิจาร อยากฟังเพิ่มเติมเกี่ยวกับตอนจิตเห็น จิตได้ยิน ปัญจวิญญาณ ผัสสะตอนนั้นทำหน้าที่กระทบอารมณ์แล้วตอนนั้นถ้าผัสสะเกิดจิตต้องเกิดอยู่แล้ว

ท่านอาจารย์: ต้องรู้สิ่งที่ผัสสะกระทบ

คุณสุคิน: ต้องรู้สิ่งที่ผัสสะกระทบ ตอนนั้นจิตที่เหลือต้องมีวิตกเพราะทำหน้าที่ จับ อารมณ์ และถ้ามีวิตกก็ต้องมีวิจารที่ประคองวิตก

ท่านอาจารย์: ถูกต้อง เพื่อที่จะรู้อารมณ์นั้น เพราะฉะนั้น การรู้อารมณ์แต่ละครั้งต้องมีเจตสิกที่ยากที่จะรู้ได้

คุณสุคิน: คือตอนนี้อาช่าอยากฟังเพิ่มเติม ฟังแค่นี้ไม่พอครับ

ท่านอาจารย์: เขาต้องการแค่ไหน? กุศลจิตมีวิตก วิจารเจตสิกไหม?

คุณอาช่า: มี

ท่านอาจารย์: อกุศลจิตมีวิตก วิจารเจตสิกไหม?

คุณอาช่า: มี

ท่านอาจารย์: สติปัฏฐานมีวิตก วิจารเจตสิกไหม?

คุณอาช่า: มี

ท่านอาจารย์: ปฐมฌานมีวิตก วิจารเจตสิกไหม?

คุณอาช่า: มี

ท่านอาจารย์: ฌานที่ ๒ มีวิตก วิจารเจตสิกไหม?

คุณสุคิน: ท่านอาจารย์ครับ ตรงนี้ผมคิดว่า อาช่าแกยังไม่เคยได้ยิน

ท่านอาจารย์: นั่นซิ แล้วจะรู้ไปทำไม ยังไม่รู้อะไรเลย จะไปถึงตรงโน้นแล้วเข้าใจอะไรนอกจากชื่อ

คุณอาช่า: ตอนที่วิตก จับ อารมณ์หมายถึงอย่างไร

ท่านอาจารย์: เคยจับอะไรไหม?

คุณอาช่า: อย่างตอนนี้ถือโทรศัพท์อยู่ คือจับโทรศัพท์อยู่

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ขณะที่จิตกำลังรู้แข็ง กายวิญญาณมีวิตกเจตสิกไหม?

คุณอาช่า: ไม่มี

ท่านอาจารย์: ทันทีที่กายวิญญาณดับ จิตอะไรเกิดต่อ?

คุณอาช่า: สัมปฏิจฉันนะ

ท่านอาจารย์: สัมปฏิจฉันนะเห็นไหม?

คุณอาช่า: ไม่เห็น

ท่านอาจารย์: สัมปฏิจฉันนะรู้สิ่งที่ตาเห็นไหม?

คุณสุคิน: เมื่อกี๊นี้ท่านอาจารย์พูดนัยของ จับ

ท่านอาจารย์: ถูกต้อง กำลังจะให้เขาเข้าใจว่า ขณะเห็นจับอะไรหรือเปล่า?

คุณอาช่า: รู้

ท่านอาจารย์: สัมปฏิจฉันนะเห็นไหม?

คุณอาช่า: ไม่เห็น

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น สัมปฏิจฉันนะรู้อารมณ์ที่จิตเห็น เห็น แต่ไม่เห็นจึงต้องมีการ จับ อารมณ์นั้นจึงจะสามารถรู้อารมณ์นั้นด้วย

คุณอาช่า: เวลาเราบอกว่า จับ ก็มาคิดถึงแบบกระทบทางกายหลายอย่าง ก็ยังมีความคิดว่าอย่าง วิจาร ที่พูดตอนต้นนั้น เวลาเราพูดถึง วิจาร ในภาษาฮินดีหมายถึงพิจารณา เพราะฉะนั้น ก็เลยสับสนหลายอย่างก็เลยอยากได้คำตอบเพราะคิดมา ๒ อาทิตย์แล้วว่าคืออะไรและพยายามจะเข้าใจ

คุณสุคิน: ผมเลยบอกอาช่าของเก่าทิ้งไปให้หมด เวลานี้เราค่อยๆ ตั้งใจเริ่มต้นฟังใหม่อย่างน้อยก็ไม่เป็นอย่างที่เราคิด ค่อยๆ ฟังไป

ท่านอาจารย์: ไม่ว่าจะคนอินเดียคนอังกฤษ หรือคนไทยเข้าใจคำนั้นในขณะที่ไม่รู้สภาพธรรม คนไทยก็บอกว่าวิจารเขาพูดถึงเขาเยอะๆ แต่ไม่ใช่วิจารเจตสิก เพราะฉะนั้น เรามีคำที่ใช้ในภาษาของเรา แต่ต้องเข้าใจความหมายว่า ไม่ใช่คำที่เราคิด และไม่ใช่คำที่เรารู้จัก แต่เป็นคำที่เราเริ่มรู้ว่าคืออะไร อย่างคำว่าวิจาร อย่าไปวิจารณ์เขาหนังสือพิมพ์วิจารณ์อย่างนี้คนไทยก็พูดหมด อะไรๆ คนไทยก็พูด พูดถึงวิตก ก็พูดว่า ไปวิตกทำไมคนไทยก็พูด แต่ไม่ใช่สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ภาวะ ความเป็นจริงของธรรม ซึ่งอาศัยคำนั้น แต่อธิบายให้ละเอียดว่า ไม่ใช่เหมือนที่เราคิดว่า มีคน แต่เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น ที่เราคิดว่าเป็นอย่างนั้นๆ ความจริงคือเจตสิกอะไร

คุณอาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: ตอนนี้รู้แล้วหรือยังว่า ตั้งแต่เกิดมาทุกชาติพูดคำที่ไม่รู้จัก

คุณอาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: พูดคำว่า จิต รู้จักจิตไหม?

คุณอาช่า: ไม่รู้จัก

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง?

คุณอาช่า: เริ่มรู้

ท่านอาจารย์: พระองค์ตรัสรู้ความจริง เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงแสดงความจริงด้วยคำ แต่ว่าต้องอธิบาย คำ นั้นให้ชัดเจนว่า หมายความถึงอะไร ไม่ใช่อย่างที่เราคิด

คุณอาช่าได้ยินคำว่า วิตก และคิดเองตั้งสองอาทิตย์ ไม่ได้คิดตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 20 ม.ค. 2567

ท่านอาจารย์: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะว่าธรรมคิดเองไม่ได้ ทุกคำต้องรู้ว่าลึกซึ้ง ความเคารพสูงสุด คือรู้ว่าทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และจริง ถ้าไม่รู้ว่าพระองค์ตรัสอย่างไร และคำนั้นหมายความว่าอย่างไร เขาไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ไม่ต้องรีบร้อนที่จะเข้าใจ คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีเดียวมากมาย แต่เริ่มฟัง เริ่มไตร่ตรอง เริ่มเข้าใจความจริงที่มั่นคง ต้องไม่ลืมว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

ทุกคนคิดเองว่า ธรรมเป็นอย่างโน้น ธรรมเป็นอย่างนี้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่มีจริงๆ มีจริงแน่นอน เพราะฉะนั้น คำว่า ธรรม หมายถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เพราะฉะนั้น ยังไม่พูดถึงอนัตตา พูดถึงธรรม เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม?

คุณโซฮาน: มีครับ

ท่านอาจารย์: อะไรเป็นธรรมเดี๋ยวนี้?

คุณโซฮาน: ได้ยิน และเห็น

ท่านอาจารย์: ทำไมเป็นธรรม?

คุณสุคิน: ท่านอาจารย์ครับ ดูเหมือนคุณโซฮานยังไม่มีพื้นฐานที่ดี แกจะพูดเวลาเดียวกันว่า เห็นเป็นธรรม แล้วผมก็ถามเขาว่า ความหมายของธรรมคืออะไร แกก็ตอบว่า ตอนที่ได้ยินแล้วเข้าใจนั่นคือธรรมครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มต้น เราไม่ให้เขาไปในความไม่รู้เรื่อยๆ แต่ต้องเริ่มมีความเข้าใจถูกทีละคำซึ่งลึกซึ้ง จึงจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ไม่ใช่ให้คนอื่นฟังแล้วจำ แต่ให้เข้าใจความจริงที่ลึกซึ้ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรม ธรรมมีจริงไหม?

คุณโซฮาน: มีครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เมื่อตอบว่า มี ต้องรู้ว่า อะไรมีจึงตอบว่ามี

คุณโซฮาน: ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม?

คุณโซฮาน: มี แต่ว่ายังไม่มั่นใจว่า ถามว่าคืออะไรแล้วจะตอบว่าอะไรครับ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้ที่ตอบว่ามี มีอะไร?

คุณโซฮาน: ตอนนี้ธรรม คือ ผมได้ยิน ผมพูด ...

ท่านอาจารย์: ไม่ใช่เลยค่ะ คุณโซฮานไม่ได้ฟังคำถาม ดิฉันถามว่า เดี๋ยวนี้มีอะไร? เพราะคุณโซฮานตอบว่า เดี๋ยวนี้มีธรรม เพราะฉะนั้น ดิฉันถามให้คิดว่า ธรรมเดี๋ยวนี้ที่มีคืออะไร กำลังมีอะไร?

คุณโซฮาน: กำลังฟังธรรมอยู่

ท่านอาจารย์: ฟัง มีจริงไหม?

คุณโซฮาน: มีครับ

ท่านอาจารย์: เสียง มีจริงไหม?

คุณโซฮาน: มี

ท่านอาจารย์: ฟัง เป็นอะไร?

คุณโซฮาน: ฟังเป็นสิ่งที่มีจริงที่รู้เสียงครับ

ท่านอาจารย์: แล้ว คิด ด้วยใช่ไหม?

คุณโซฮาน: มี คิด ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น คิดเป็นเสียงหรือเปล่า?

คุณโซฮาน: ไม่ครับ

ท่านอาจารย์: อะไรมีจริง?

คุณโซฮาน: ทั้งสองครับ

ท่านอาจารย์: เหมือนกันไหม?

คุณโซฮาน: ไม่เหมือนกัน

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น อะไรเป็นธรรม?

คุณโซฮาน: ทั้งสองครับ

ท่านอาจารย์: ทั้งสองค่ะ เป็นโซฮานหรือเปล่า?

คุณโซฮาน: ไม่เป็นโซฮาน

ท่านอาจารย์: แล้วเป็นอะไร?

คุณโซฮาน: เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมครับ

ท่านอาจารย์: ก็เริ่มนะ แต่ยังไม่พอ คุณโซฮานต้องมั่นคงว่า ธรรมคืออะไร และอนัตตาคืออะไร คราวหน้าจะได้สนทนากันต่อว่าเพื่อที่จะรู้ว่าคุณโซฮานมั่นคงในคำว่า ธรรม และอนัตตาบ้างไหม

หวังว่า สหายธรรมที่ใช้ภาษาฮินดีคงจะช่วยสนทนากับคุณโซฮานนะ วันนี้ก็ยินดีมากในกุศลของทุกคนที่อดทนที่จะรู้ว่า ฟังทั้งหมด ทุกคำ เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามที่ได้ฟัง

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 21 ม.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
swanjariya
วันที่ 22 ม.ค. 2567

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณยิ่งและยินดีในกุศลของน้องเมตตา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ