Thai-Hindi 27 Jan 2024
Thai-Hindi 27 Jan 2024
- (คุณอาช่าขอฟังเรื่องวิตกวิจารต่อ มีคำถามว่าในชีวิตประจำวัน วิตกวิจารที่เกิดเป็นเจตสิก เราสามารถรู้ได้เมื่อไหร่ เกิดตอนไหน เวลาไหนและสงสัยว่าที่เราพูดว่าคิด เจาะจงลงมาว่าเป็นวิตกวิจารหรือไม่) นี่เป็นคำถามของคนไม่รู้แน่นอนและต้องการจะรู้ แต่ว่าไม่รู้ตามลำดับแล้วจะเป็นไปได้ไหม
- (ที่ถามเพราะเคยได้ยินท่านอาจารย์กล่าวว่าจนกว่าจะเข้าใจถูกเราก็ไม่ควรจะข้าม เพราะคิดว่าถ้ายังไม่เข้าใจก็อย่าไปข้างหน้าต่อ ควรจะพยายามเข้าใจให้ถูกก่อนในแต่ละคำที่ถามถึง) ตลอดชีวิตนี้คุณอาช่าสามารถจะ “จบ” ความที่ต้องการรู้อย่างนี้ไหม
- (ติดตรงที่คำว่า วิจาร ในภาษาฮินดีซึ่งหมายถึงการพิจารณา เลยสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับที่พระพุทธองค์สอนหรือไม่ว่า วิจารคืออะไร วิตกคืออะไร กับที่เป็นอยู่ตอนนี้ที่เรากำลังพิจารณามีความเกี่ยวข้องอะไรกันหรือไม่) เวลาคนไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ตรัสให้เข้าใจวิจารหรือเปล่า (ไม่มี) ทำไมหรือ (เข้าใจว่าเมื่อมีใครมาฟังพระพุทธองค์ ท่านจะทรงให้เข้าใจสิ่งที่ปรากฏที่เข้าใจได้ตอนนั้น ตอนนี้ก็มีการพิจารณาอยู่ก็อยากเข้าใจว่าใช่อันนั้นหรือเปล่า) อันนั้นหรือเปล่าก็คือไม่เข้าใจ (รู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่มีความรู้ไม่เข้าใจ) ขอโทษนะคะ “ตัวเองไม่มีความรู้“ แล้วจะรู้อะไร จะรู้วิจารหรือ
- คุณอาช่ากำลัง ”อยาก“ รู้เรื่องวิจาร เขารู้ไหมว่า ขณะนั้นเป็นความอยากที่รู้ได้ไม่ใช่วิจาร (คุณอาช่าได้อ่านหนังสืออื่นในภาษาฮินดีที่อธิบายวิจารอีกแบบหนึ่งกับที่ได้ได้ยินได้ฟังมาทำให้ตอนนี้สับสนว่า อะไรเป็นจิต อะไรเป็นเจตสิกจึงถามแบบนี้) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร ยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้าเพราะฉะนั้นยังสงสัยในคำของพระพุทธเจ้า
- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร มีใครนอกจากพระองค์ที่ตรัสคำที่ให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ไม่ว่าในภาษาไหน เดี๋ยวนี้กำลังเห็นมีภาษาไหนที่พูดเรื่องเห็นให้เข้าใจความจริงของเห็น เพราะฉะนั้นจะฟังคำของใคร (คำสอนของพระพุทธองค์)
- เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังคิดอยากจะเข้าใจวิจารขณะนั้นเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต (เพราะเห็นอยู่ว่าไม่เข้าใจตอนนั้นไม่ใช่เข้าใจก็ต้องเป็นอกุศล) เพราะฉะนั้นโลภะ อวิชชา พูดเท่าไหร่ก็ไม่สามารถจะทำให้เข้าใจความจริงซึ่งเป็นลักษณะจริงๆ ของวิจารได้
- สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คนไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในความลึกซึ้ง ธรรมลึกซึ้งไม่มีใครสามารถจะเข้าใจธรรมได้ด้วย “โลภะ” คือความต้องการ นี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งไหมที่จะรู้ว่า ขณะใดที่มีต้องการเพราะไม่รู้แล้ว “อยากรู้” ขณะนั้นเป็นอกุศลไม่สามารถจะรู้ได้เลยเพียงแต่เข้าใจคำในภาษาต่างๆ เท่านั้น
- เดี๋ยวนี้ได้ยินคำว่า “โลภะ” รู้ว่าภาษาอะไร รู้เข้าใจความหมายของโลภะแต่ไม่รู้จักภาวะที่เป็นโลภะซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ กว่าจะรู้ว่าเป็นจิต ไม่ใช่อะไรเลยทั้งสิ้น ไม่ใช่ชื่อ “วิญญาณ” ไม่ใช่ชื่อว่า “มโน” นั่นคิดว่ารู้จักแล้วแต่ความจริงเดี๋ยวนี้มีจิตแต่ไม่รู้จักจิตเลย นี่คือความลึกซึ้งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสรู้ความจริงและทรงแสดงความจริงในภาษาที่พระองค์ใช้
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีวิจารแต่พยายามที่จะไปจำว่า วิจารคืออะไร หมายความว่าอะไร นั่นไม่ใช่การตรัสรู้ ตรัสรู้ไม่ใช่ชื่อแต่รู้ความจริงที่กำลังเป็นวิจาร คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ให้จำแล้วไปค้นหาชื่อต่างๆ แต่ว่าสิ่งนี้กำลังมี ลึกซึ้งไหมกว่าจะรู้
- เดี๋ยวนี้กำลังมีภาวะที่เป็นวิจารและชื่อต่างๆ ไม่ว่าในภาษาอะไรทั้งหมดสามารถจะทำให้เข้าใจวิจารได้ไหมถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเริ่มเคารพในความลึกซึ้งอย่างยิ่งของความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง
- (คุณอาช่าบอกว่า คำพูดคืออย่างหนึ่งแต่จนกว่าเข้าใจความจริง เราก็ยังไม่นับถือจริงๆ) ขณะนี้เห็นกำลังเห็นต้องพูดว่า “เห็น” ไหม (ไม่จำเป็น) แต่ถ้าไม่ใช้คำว่าเห็นก็รู้ว่ากำลังมุ่งที่จะพูดถึงสิ่งนี้ที่กำลังมี (ความจริงไม่ได้อยู่ในชื่อ ความจริงคือความจริง)
- เพราะฉะนั้นเมื่อทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจความจริงหรือไม่ให้ไปคิดเรื่องชื่อ ถูกต้องไหม นี่เป็นการเริ่มมั่นคงในความลึกซึ้งของพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อตรัสรู้และกล่าวถึงความจริงแต่ละคำที่ลึกซึ้ง
- สิ่งที่มีจริงๆ ชีวิตประจำวันทุกวันแม้วันนี้ใครรู้ความจริงแต่ละขณะบ้าง ใครรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้บ้าง เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจคำว่า “ธรรม” สิ่งที่มีจริงแต่ไม่มีใครรู้ความจริง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง
- พระองค์ตรัสว่า สิ่งที่มีขณะนี้ลึกซึ้งธรรมทั้งหมดทั้งปวงลึกซึ้งเพราะแม้กำลังปรากฏกี่ชาติในสังสารวัฏฏ์ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและทรงแสดงความจริงให้เราเริ่มฟัง เพราะฉะนั้นฟังทุกคำของพระองค์ด้วยความเคารพสูงสุดในความลึกซึ้งเพื่อเริ่มฟังคำของพระองค์เข้าใจแต่ละคำเพิ่มความเคารพสูงสุดในคำที่ลึกซึ้งของพระองค์ทุกคำ ถ้าไม่เข้าใจคำของพระองค์จะเคารพพระองค์สูงสุดในความลึกซึ้งไหม (ไม่ได้)
- เพราะฉะนั้นฟังแล้วเข้าใจเมื่อไหร่ เริ่มเห็นความลึกซึ้งและเคารพในพระองค์ยิ่งขึ้นทุกครั้งที่เริ่มเข้าใจถูกต้อง เพราะฉะนั้นเริ่มรู้ว่า ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่รู้ความจริงของอะไรเลยทั้งสิ้นเพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้กำลังไม่รู้อะไร ถามว่าเดี๋ยวนี้กำลังไม่รู้อะไร (ธรรมที่เกิดและดับไปตอนนี้นั่นแหละที่ไม่เข้าใจไม่รู้) ไกล ถามว่าอะไร (คำตอบคือธรรมที่มีจริงตอนนี้ไม่รู้) เพราะฉะนั้นถามว่าอะไรที่ไม่รู้ กำลังไม่รู้อะไร ไม่ใช่ตอบอย่างนั้น ถามว่า “อะไร” (เช่นเห็น) เห็นความลึกซึ้งไหม กำลังเห็นถ้าไม่ถามไม่รู้ว่า กำลังไม่รู้เห็นที่กำลังเห็น
- วันนี้เห็นเยอะไหม เฉพาะวันนี้ เมื่อวานนี้ ตั้งแต่เกิดมาชาติก่อนๆ ไม่รู้จักเห็นใช่ไหม (ใช่) การที่จะเข้าใจธรรมที่ลึกซึ้งจะขาดการไตร่ตรองจนกระทั่งสามารถเข้าถึงธรรมที่ลึกซึ้งไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเริ่มรู้ว่า ธรรมลึกซึ้งเมื่อมีคำถามเรื่องธรรม
- ทุกคำเป็นคำเตือนให้เริ่มคิดไตร่ตรองใช่ไหม ถ้าฟังแล้วไม่ไตร่ตรองจะสามารถเข้าใจความจริงได้ไหม การไตร่ตรองมีจริงหรือเปล่า (มี) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าภาวะที่ไตร่ตรองเป็นธรรมหรือเปล่า พระองค์ตรัสว่าอย่างไร (กลับมาตรงนี้แหละที่ไม่เข้าใจเพราะเคยอ่านมาได้ยินมาว่า มีการไตร่ตรอง มีการพิจารณาอยู่นั่นคือ สิ่งที่มีจริง) นี่คือความลึกซึ้งเพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องมีสภาวธรรมหลากหลายมากที่เกิดพร้อมกันทำให้ยากที่จะรู้ได้ว่า แม้คำว่าไตร่ตรองจริงแต่เป็นภาวะอะไร
- ขณะที่ไตร่ตรองเป็นจิตหรือเปล่า (มีจิต) ถามว่า ถามว่า ถามว่า กำลังไตร่ตรอง ไตร่ตรองเป็นจิตหรือเปล่า (ณ ตอนนี้เหมือนกับว่าการไตร่ตรองเป็นจิต) ไม่ใช่เลยเพราะเราได้ยินคำว่าจิตแต่เราไม่ได้เข้าใจเพราะไม่ได้คิดไตร่ตรองดีๆ จึงคิดว่า อะไรๆ ก็เป็นจิตแต่การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ตรัสรู้แล้วทรงแสดงความจริงว่า ไตร่ตรองไม่ใช่จิต (คุณอาช่าบอกว่าพระพุทธองค์สอนว่าที่วิจารไม่ใช่เป็นจิต) เราบอกเขาใช่ไหม (ครับๆ) เพราะฉะนั้นต้องให้เขาคิดถึงคำตอบของเขาว่าเขาจะตอบอย่างไร เราไม่ต้องบอกเขาใช่ไหมเพราะเขาเคยได้ยินคำว่าจิตบ่อยๆ แสดงว่าเข้าใจจิตเพิ่มขึ้นจริงๆ หรือเปล่า
- เพราะฉะนั้นจิตคืออะไร (จิตคือธรรม อย่างตอนนี้มีสิ่งที่รู้ชัดรู้ทั่ว) ยกตัวอย่าง ๑ จิต (เห็น) เห็นรู้อะไร (รู้สิ่งที่เห็น) อะไรเป็นสิ่งที่ถูกเห็นเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้จิตเห็นอะไร (สิ่งที่ปรากฏให้เห็นรู้อยู่ตอนนี้) จิตเห็นตุ๊กตาได้ไหม จิตเห็นคนได้ไหม (ไม่ได้) เห็นคน เห็นดอกไม้ เห็นภูเขาได้ไหม (ไม่ได้)
- เพราะฉะนั้นเริ่มรู้จักจิตจริงๆ ว่า ขณะใดก็ตามที่มีการเห็นเท่านั้นมีสิ่งที่กระทบตาเท่านั้นที่ปรากฏ ขณะนั้นจึงรู้ว่า ขณะอื่นที่กำลังเป็นความโลภหรือความโกรธไม่ใช่จิต
- โกรธมีจริงไหม (มี) และโกรธไม่ใช่จิตใช่ไหม (ไม่ใช่) แล้วโกรธมีจริงโกรธไม่ใช่จิต แล้วโกรธรู้อะไรไหม (โกรธรู้อารมณ์เดียวกันกับที่จิตรู้) เดี๋ยวนี้โกรธอะไร (เวลานี้ไม่ได้โกรธ) เดี๋ยวนี้ติดข้องพอใจอะไร (ติดข้องในการที่อยากจะรู้คำตอบ) เท่านั้นหรือ กำลังเห็นติดข้องในสิ่งที่ต้องการรู้คำตอบหรือ (ติดข้องในสิ่งที่เห็น) พร้อมกันกับเห็นหรือเปล่า (ตอบก่อนหน้านี้แล้วว่าไม่พร้อม)
- เพราะฉะนั้นกำลังเข้าใจธรรมเพราะได้ฟังธรรมและสนทนาเรื่องธรรมบ่อยๆ ใช่ไหมจะได้ไม่ลืมความจริง ถ้าไม่รู้จักจิตไม่รู้ความติดข้อง ไม่รู้ความโกรธ จะเข้าใจความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงหรือเปล่า (ไม่มีความเข้าใจ) เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอะไร (พระพุทธองค์สอนว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงและปรากฏอยู่และให้เข้าใจสิ่งนี้) เพื่อประโยชน์อะไร (เริ่มจากเข้าใจว่า ไม่มีเราและค่อยๆ เพิ่มความรู้ขึ้นจนดับความไม่รู้และกิเลสทั้งหมด)
- ความรู้ที่เพิ่มขึ้นทำหน้าที่อะไร (ลดความไม่รู้) ค่อยๆ ละความไม่รู้ อีกนานไหมกว่าจะหมดความไม่รู้ (ต้องใช้เวลามาก นานแค่ไหนไม่สามารถจะรู้ได้เพราะว่าความไม่รู้มีมากจริงๆ) เพราะฉะนั้นปัญญารู้ความจริงใช่ไหม (ใช่) ปัญญาตรงกันข้ามกับธรรมอะไร (ความไม่รู้) เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้รู้จักเห็นหรือยัง (ไม่) เพราะฉะนั้นไม่ใช่คุณอาช่าแต่เป็นปัญญาที่ยังไม่เกิดขึ้นเข้าใจเห็น
- การที่เราพูดเรื่องเห็นเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นมีประโยชน์อะไรไหม (เพราะเห็นเกิดขึ้นทั้งวันแล้วไม่รู้เพราะฉะนั้นฟังเรื่องเห็นบ่อยๆ ก็ค่อยๆ เริ่มมีความเข้าใจได้) เริ่มระลึกถึงเห็นเริ่มรู้ว่ายังไม่รู้เรื่องเห็นเพราะฉะนั้นก็เป็นปัญญาที่จะเห็นประโยนชน์อย่างยิ่งของการพูดถึงความจริงของสิ่งที่กำลังมีทุกครั้ง
- ถ้าเราไม่พูดถึงเห็นที่กำลังเห็นแล้วจะมีเวลาที่รู้จักเห็นเข้าใจเห็นไหม (ถ้าไม่พูดถึงไม่มีวันเข้าใจ) นี่เป็นเหตุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งที่กำลังมีกับคนที่ได้เข้าเฝ้าพระองค์ เพราะถ้าไม่พูดถึงเห็นเดี๋ยวนี้บ่อยๆ ก็ไม่คิดถึงเห็นเลยแล้วจะรู้จักเห็นได้อย่างไร
- คุณอาช่าเริ่มเบื่อไหมที่เราพูดแต่เรื่องเห็น (ตอนที่ฟังใหม่ๆ บางทีก็มีโทสะว่าทำไมพูดถึงแต่เห็น แต่ว่าตอนนี้ยิ่งฟังยิ่งรู้ว่าไม่เหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้ฟังแล้วก็เห็นความสำคัญของการฟังเรื่องเห็น) แล้วทราบไหมว่า นี่คืออริยสัจจะที่ ๔ มรรคมีองค์ ๘ ที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใกล้สิ่งที่มีจริงแล้วเห็นถูกต้องในความจริงของสิ่งนั้นได้
- เพราะฉะนั้นหนทางเดียวที่เป็นมรรคมีองค์ ๘ ที่จะเป็นอริยสัจธรรม ๔ คือ ต้องรู้ความจริงโดยการที่ฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งว่ายากที่จะรู้ได้แต่รู้ได้เมื่อค่อยๆ เข้าใจขึ้น
- เดี๋ยวนี้รู้จักจริงๆ ในความต่างของจิตเจตสิกหรือเปล่า (ยังไม่รู้จริง) ถูกต้องเพราะว่าเดี๋ยวนี้ยังไม่รู้จักเห็นแล้วจะรู้จักสภาพธรรมอื่นได้หรือ ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงความต่างของจิตเจตสิกเราก็คิดว่าเรารู้ แต่ความจริงเราไม่ได้เข้าใจแต่ละ ๑ ตามความเป็นจริง ขณะที่กำลังพูดเรื่องนี้ทำให้มีการค่อยๆ ไม่ลืมความจริงที่ได้ฟัง ไม่ใช่เพียงจำได้ว่า จิตไม่ใช่เจตสิกที่ไตร่ตรอง
- (ตอนใหม่ๆ คิดว่าเราเข้าใจแล้ว ได้ฟังว่าจิตเป็นอย่างนี้ เจตสิกเป็นอย่างนี้ แล้วทำไมท่านอาจารย์พูดเรื่องเดิมเรื่อยๆ ตอนนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว) เพราะฉะนั้นกว่าจะเป็น “ปริยัติ” รอบรู้ในความลึกซึ้งของธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ต้องเป็นผู้ที่ตรง เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพทุธเจ้าในอริยสัจ ๔ จึงมีสามรอบ
- เดี๋ยวนี้มีธรรมอะไร (ได้ยิน) ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจสิ่งที่ขณะกำลังได้ยินจะสามารถถึง “ปฏิปัตติ” ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจอีกให้ลึกซึ้งว่า ปฏิปัตติคืออะไร เพราะฉะนั้นปฏิปัตติคืออะไร (ตอนนี้รู้ว่าเห็นตอนนี้มีจริงเป็นขั้นปริยัติ เมื่อไหร่รู้มากกว่านี้ไม่ใช่เป็นแค่ขั้นปริยัติก็เป็นปฏิปัตติ) จะรู้เองได้ไหม (ไม่ได้) นี่ถูกต้องแสดงว่า ปริยัติเริ่มมั่นคงแสดงว่าถ้าความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีไม่พอเป็นเบื้องต้นจะไม่มีการ “ปฏิปัตติ” รู้ตรงลักษณะที่กำลังเป็นอย่างที่เข้าใจได้เลย
- มีเห็น ฟังเรื่องเห็น แต่ยังไม่รู้ความจริงของเห็น เพราะฉะนั้นต้องรู้ความต่างกัน เราเข้าใจว่าเห็นมีจริงแต่ขณะนั้นไม่ได้เข้าใจ “ลักษณะของเห็น“ ที่กำลังมีจริงๆ จึงเป็นความรู้ขั้นเข้าใจเป็นปริยัติ
- กำลังมีเห็น เดี๋ยวนี้ไม่รู้จักเห็น ความเป็นเห็นไม่ใช่เราไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ถ้าเราไม่พูดถึงเห็นจนมั่นคงว่า ถ้าไม่รู้จักเห็นที่กำลังเห็นก็จะไม่รู้อะไร กำลังเห็นจริงๆ และยังไม่รู้จักเห็นควรรู้จักไหม (ต้องรู้เห็น)
- เพราะฉะนั้นความจริงของเห็นคืออะไร (ตอนนี้เห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่) ไม่ใช่อย่างนั้นเลยต้องรู้ว่า เห็นเป็นเห็น สัจจธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่อะไรทั้งหมดแต่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเห็น (เข้าใจว่า เห็นเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม ตอนนี้ที่กำลังเห็นก็มีจริง ถูกทั้งสองอย่าง) แต่ว่าขณะนี้เป็นเราเห็นจริงไหม (ตอนนี้เราเห็น) ผิดหรือถูก (ผิด) อะไรถูก (ถูกคือ ธรรม ๑ เกิดขึ้นทำหน้าที่เห็น) ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราหรือของใคร)
- เพราะฉะนั้นเข้าใจที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ”ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา“ ทีละน้อยใช่ไหม เพราะฉะนั้นความเห็นผิดเป็นเรามีจริงไหม (ความเห็นผิดก็เป็นธรรม) เป็นธรรมอะไร (เป็นเจตสิก) เจตสิกอะไร (ไม่ใช่อวิชชาแต่เป็นเจตสิกไหนไม่ทราบ) เคยได้ยินคำว่า “ทิฏฐิเจตสิก” ไหม (เคยได้ยิน) กำลังเห็นเป็นเราเป็น "ทิฏฐิ“ หรือเปล่า (เป็น) เป็นเจตสิกหรือเปล่า (เป็นเจตสิก) กำลังมีทิฏฐิรู้จักทิฏฐิเจตสิกหรือยัง (ไม่รู้) มีหนทางรู้ไหม (มี ๑ หนทาง) อะไร (ที่ทำอยู่คือ ฟัง พิจารณา เช้าใจ) แล้วเมื่อไหร่จะปฏิปัตติ (เมื่อความเข้าใจนี้เพิ่มขึ้นจนถึงระดับนั้น) เพิ่มขึ้นสัก ๑ ว่าอะไรที่เป็นหนทางที่จะรู้ตรงลักษณะ (เข้าใจอย่างที่ตอบก่อนหน้านี้คือ ฟัง พิจารณา) พอไหม (ไม่พอแต่เป็นทางเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ไปถึงจุดนั้นได้
- ถ้าไม่พึ่งคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้ไหมว่า ขณะนั้นต้องมีธรรมอะไรเป็นเหตุให้สามารถรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่เข้าใจแล้วที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ (เข้าใจว่าต้องเข้าใจทุกอย่าง) ใช่ค่ะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเท่านี้หรือ หรือมากกว่านี้เพราะธรรมมีมากกว่านี้ (คือฟังพิจารณาในชีวิตประจำวันถ้าไม่มีการเจริญกุศลอื่นๆ ก็ไม่มีหนทาง) ถูกต้อง เพราะฉะนั้นคิดเองไม่ได้แน่ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถูกต้องไหม
- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกขณะในชีวิตประจำวันทั้งหมดทุกชาติให้รู้ว่าเราไม่รู้อะไรบ้าง เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงแสดงสิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นธรรมเป็นปรมัตถธรรมว่ามีเท่าไหร่ พระองค์ทรงแสดงความต่างกันของจิตว่ามีทั้งหมดเท่าไหร่อย่างใหญ่ๆ และความละเอียดอีกมาก นอกจากจิตแล้วมีอะไรอีกที่พระองค์ตรัสให้รู้ว่ามีแต่ไม่ใช่จิต (ปรมัตถธรรมมี ๔ จิต เจตสิก รูป นิพพาน) เริ่มพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเพื่อที่จะได้เข้าใจว่าสิ่งที่มีมีอะไรบ้างมากมายที่เราไม่รู้
- พระองค์ตรัสรู้ว่า ทุกขณะต่างกันตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นจิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วเจตสิกมีเท่าไหร่ (๕๒) ลองบอกมาสิคะว่าอะไรบ้าง (มีความโกรธ ๑) และอะไรอีกจะได้รู้ว่า คุณอาช่าได้ยินมาเท่าไหร่ จำได้เท่าไหร่ เข้าใจเท่าไหร่ (ความเข้าใจ) ๒ (สมาธิ…….) ไม่เป็นไร ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้มีสมาธิ
- สมาธิที่ไม่ใช่ปัญญาสามารถที่จะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ได้ไหม (ไม่ได้) เวลาที่คุณอาช่าพูดถึงเจตสิก ๒-๓ เจตสิก คุณอาช่าคิดถึงสติเจตสิกไหม (ไม่ได้คิดถึง) เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันทุกขณะที่เป็นจิตที่ดีจะต้องมีเจตสิกที่ระลึกเป็นไปในสิ่งที่ดี (ถ้าเป็นการที่ระลึกในสิ่งที่ดีในการกระทำที่ดีมีคำภาษาอินที่ใช้คำนั้น) ไม่ใช่เข้าใจคำแต่เข้าใจลักษณะของธรรมที่เป็นสติ เพราะฉะนั้นคำที่เราพูดถึง เราจะเริ่มให้เข้าใจไม่ใช่เป็นการพูดถึงคำ ให้เข้าใจสิ่งนั้นที่มีจริงๆ เป็นคำที่เราเรียก
- เพราะฉะนั้นคนดีมีไหม คนไม่ดีมีไหม (มีคนดี มีคนไม่ดี) เราเข้าใจว่าเป็นคนแต่ความจริงเป็นธรรมที่ไม่ดี เราเข้าใจว่าคนดีแต่ความจริงเป็นธรรมที่ดี เพราะฉะนั้นให้รู้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมเป็นอนัตตา นี่เป็นสิ่งที่เราจะลืมไม่ได้เพื่อให้เข้าใจถึงความประจักษ์แจ้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
- เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันเราเริ่มรู้ความจริงว่าเป็นธรรมอะไร ทุกคนไม่สามารถจะเข้าใจสิ่งที่มีจริงได้เลยถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษาเพื่อให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ทุกขณะ
- ความจริงเดี๋ยวนี้มีคุณอาช่าไหม (ไม่) เป็นอะไรถ้าไม่เป็นคุณอาช่า (เป็นธรรม) เป็นธรรมอะไร เห็นไหมต้องเพิ่มความเข้าใจขึ้นตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษาจนกว่าจะถึง ”ปฏิปัตติ“ ตรงลักษณะที่เป็นธรรมจริงๆ (มีจิตเจตสิกรูป)
- เดี๋ยวนี้มีคุณสุขินไหม (ไม่) แล้วเป็นอะไรเดี๋ยวนี้ที่ปรากฏ (มีสิ่งที่เห็นได้) แล้วสิ่งที่ถูกเห็น ”รู้“ อะไรได้ไหม (ไม่ได้) เดี๋ยวนี้ไม่มีคุณสุขินแล้วมีคุณอาช่าไหม (ไม่) มั่นคงไหม (มั่นคง) ถ้ารู้เพียงเท่านี้มั่นคงไหม (ตามระดับความเข้าใจรู้ว่าเข้าใจแค่นี้ไม่พอ ความมั่นคงก็ไม่ขนาดนั้น) คิดว่าสมควรจะรู้มากกว่านี้ยิ่งขึ้นไหม
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ได้ยินคำว่า ”เจตสิก“ เจตสิกที่ดีก็มีที่ไม่ดีก็มีใช่ไหม ถ้ารู้เพียงเท่านี้ละกิเลสละความเป็นเราได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นต้องฟังต่อไปใช่ไหม (ใช่) ฟังต่อไปแล้วรู้ว่า สามารถเข้าใจอะไรได้และไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เพราะอะไร (เพื่อที่จะรู้ว่าเราเข้าใจแค่ไหน) เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เราจะพูดถึงอะไรที่เรายังไม่เข้าใจ ควรเข้าใจใช่ไหม
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงทั้งหมดทั้งที่ปรากฏและไม่ปรากฏใช่ไหม (ใช่) อะไรเป็นสิ่งที่ควรเข้าใจได้เดี๋ยวนี้ (อะไรที่ปรากฏตอนนี้) ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเรากำลังพูดถึงว่า ขณะนี้มีอะไรบ้างที่เรายังไม่รู้เพื่อจะค่อยๆ รู้ขึ้น ขณะที่กำลังเข้าใจธรรมมีจริงๆ หรือเปล่า (ตอนที่เข้าใจก็แปลว่าธรรมตอนนั้นมีจริง) หมายความว่าอย่างไร (ท่านอาจารย์ถามว่าตอนที่เกิดความเข้าใจตอนนั้นมีธรรมจริงๆ ไหม)
- เพราะนั้นความเข้าใจเป็นคุณอาช่าหรือเปล่า (ไม่) ขณะนั้นมีโลภะไหม (ไม่) มีโทสะไหม (ไม่) มีโมหะความไม่รู้ไหม (ถ้ามีความเข้าใจตอนนี้มีอวิชชาพร้อมกันไม่ได้) เพราะฉะนั้นขณะนั้นมีสภาพธรรมที่ไม่ใช่ฝ่ายไม่ดีเกิดขึ้นจึงเป็นสภาพธรรมที่ดีได้ แม้ขณะนั้นเป็นสภาพจิตที่ดีงามก็ยังไม่รู้ว่า มีเจตสิกอะไรเกิดพร้อมกับจิตนั้น แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงละเอียดยิ่งเพราะฉะนั้นต้องเริ่มค่อยๆ เข้าใจมิฉะนั้นจะไม่รู้เลย
- จิตที่ไม่ดีกับจิตที่ดี จิตอะไรสะอาด (กุศลจิตสะอาด) แต่ไม่รู้จักสภาพธรรมที่สะอาดทำให้จิตขณะนั้นไม่มีอกุศล (ไม่รู้) เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำ ๑ ไม่ต้องไปคิดถึงว่าภาษาอะไร หมายความถึงคำไหนในภาษานั้นๆ แต่พระองค์ตรัสว่า สภาพธรรมนั้นมีจริงๆ พระองค์ตรัสใช้คำว่า “สัทธาเจตสิก“
- ปรกติจิตไม่สะอาดเลยมีอกุศลมากมายเพราะศรัทธาไม่ได้เกิดขึ้น ทุกอย่างเป็นอนัตตาเราจะไม่รู้เลยเพราะอะไรจิตบางครั้งเป็นกุศลบางครั้งเป็นอกุศล ลึกซึ้งไหมธรรมแม้แต่เพียงฟังก็ต้องไตร่ตรองให้เข้าใจความจริงว่า ไม่ใช่เราเป็นธรรมแต่ละอย่าง
- ตามธรรมดาเราไม่เคยเห็นโทษของอกุศล เราไม่รังเกียจ เราไม่ละอายในความเป็นอกุศล เพราะฉะนั้นเมื่อสภาพธรรมที่ไม่เห็นโทษในอกุศล ไม่ละอายในสภาพที่เป็นอกุศลจึงมีอกุศลธรรมเกิดขึ้นได้ ในขณะที่สภาพที่เป็นกุศลเกิดขึ้นไม่มีใครรู้ว่า มีศรัทธาและมี ”หิริโอตตัปปะ” หิริคือความไม่ละอายในความไม่ดี โอตตัปปะคือการรู้ว่าเป็นภัย
- ขณะที่กำลังเข้าใจธรรมคุณอาช่ารู้ไหมว่า ขณะนั้นมีความ…. (ขอถาม ๑ คำถามเพราะไม่แน่ใจว่าอธิบายถูกไหม ความหมายของโอตตัปปะคืออะไร) เห็นโทษเห็นอันตรายของอกุศล (กลายเป็นว่าเห็นโทษตรงนี้จะไปสับสนทีหลังจะมาคิดว่ามีแต่ปัญญาที่เห็นโทษ) ปัญญาเห็นโทษของความไม่รู้จึงได้รู้ว่าปัญญาดีกว่า แต่ความโลภะหรือโทสะ อกุศลอื่นๆ ความทุจริตต่างๆ เห็นโทษไหม แม้ไม่มีความเข้าใจในความเป็นธรรมแต่ก็มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเห็นโทษของอุกศล เป็นปัญญาที่รู้จักอกุศล
- (ตอนนี้เข้าใจว่า โอตตัปปะตรงข้ามกับอโนตตัปปะที่ว่าไม่ละอายใจ) นั่นคือคิดเผินๆ แต่ถ้าเราจะรู้จักธรรมจริงๆ ลึกซึ้งไหมว่า ขาดกุศลธรรมที่จะต้องอาศัยกันเกิดขึ้นสัก ๑ ไม่ได้เลยในขณะที่จิตเป็นกุศลและประเภทต่างๆ ก็ต้องมีปัจจัยที่ทำให้หลากหลายไปด้วย
- (เข้าใจได้ว่าตอนนี้เราเข้าใจได้แค่ไหนก็เข้าใจว่า คนละเจตสิกกัน คนละธรรมกันซึ่งทำหน้าที่ของตัวเอง) นี่เป็นเหตุที่จะทำให้ค่อยๆ ละการยึดถือว่า “เราทำดี” “เราเห็นโทษ” “เราละอายต่อความไม่ดี” เพราะฉะนั้นในขณะนั้นถ้ามีความเข้าใจเพียงเล็กน้อยเริ่มต้นว่า ไม่ใช่เราขณะนั้นก็เป็นการเริ่มต้นของปัญญาที่จะรู้ความจริง
- นี่เป็นสิ่งที่พอจะเข้าใจได้แต่ว่ายังไม่ถึงการที่รู้ความจริงของแต่ละ ๑ ทั้งๆ ที่รู้ว่ากำลังมี เพราะฉะนั้นคุณอาช่าอยากจะรู้อะไรอีกหรืออยากจะเข้าใจสิ่งที่มีทีละน้อยด้วยความเข้าใจที่มั่นคงว่า ไม่ใช่เราและไม่มีเราเป็นธรรมเท่านั้น
- การศึกษาธรรมที่ไม่ถูกต้องเป็นโทษไหม (เห็นโทษเข้าใจว่าไม่ควรเป็นเพราะว่าพาไปทางที่ผิดได้) เพราะฉะนั้นทรงแสดงโทษของการศึกษาธรรมโดยวิธีที่ไม่ถูกต้องวิธีที่ผิดว่า เปรียบเสมือนงูพิษที่จะทำร้ายบุคคลนั้นเพราะไม่ทำให้เกิดความเข้าใจอะไรเลยและทำให้เกิดความเห็นผิดด้วย
- ทางผิดมีง่ายมากถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงโดยละอียดใครจะรู้บ้างว่าผิดเพราะว่าศึกษาด้วยความอยากความต้องการแต่ไม่รู้จักธรรมเลยเข้าใจเพียงแต่ชื่อ เพราะฉะนั้นต้องฟังคำของพระพุทธเจ้าละเอียดขึ้นๆ เพื่อจะรู้ว่าพระองค์ทรงแสดงให้สามารถประจักษ์ความจริงตามที่พระองค์ได้ประจักษ์แล้วไม่ใช่ให้จำ
- ขอบคุณคุณสุขินและยินดีกับกุศลของคุณสุขินที่ช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจธรรม
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์
กราบยินดีในกุศลกับคุณสุขิน คุณอาช่าและสหายธรรมชาวอินเดีย
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลของคุณอัญชิสา (พี่สา) ที่กรุณาช่วยตรวจทาน
กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นในกุศลทุกประการครับ
"สิ่งที่มีในชีวิตประจำวันเราเริ่มรู้ความจริงว่าเป็นธรรมอะไร ทุกคนไม่สามารถจะเข้าใจสิ่งที่มีจริงได้เลยถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษาเพื่อให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ทุกขณะ"
"ทางผิดมีง่ายมากถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงโดยละอียดใครจะรู้บ้างว่าผิดเพราะว่าศึกษาด้วยความอยากความต้องการแต่ไม่รู้จักธรรมเลยเข้าใจเพียงแต่ชื่อ เพราะฉะนั้น ต้องฟังคำของพระพุทธเจ้าละเอียดขึ้นๆ เพื่อจะรู้ว่าพระองค์ทรงแสดงให้สามารถประจักษ์ความจริงตามที่พระองค์ได้ประจักษ์แล้ว ไม่ใช่ให้จำ"
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดี
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ เป็นอย่างยิ่ง ที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ ทุกคำ เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง
และยินดีในกุศลของผู้ช่วยตรวจทานและยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ