Thai-Hindi 03 Feb 2024
Thai-Hindi 03 Feb 2024
- (เบื้องต้นให้ทุกคนทราบว่าวันนี้ขอให้เป็นวันของโซฮานเกื้อกูลเขา คุณโซฮานมีคำถามแต่ยังหาสมุดที่จดไว้ไม่เจอ) ถ้าอย่างนั้นจะคอยหรือจะให้ดิฉันถามคุณโซฮาน (ถามได้เลย)
- ธรรมคืออะไร (เวลานี้ที่เรากำลังอยู่ตอนนี้คือธรรม นั่นคือการเข้าใจ)
- เพราะฉะนั้นเข้าใจหรือยังว่า ธรรมคืออะไร (ธรรมคือคำสอนที่กำลังฟังกำลังสนทนากัน)
- คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่าธรรมคืออะไร (ธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนคือสิ่งที่เป็นจริงตอนนี้ที่เราทำอยู่และการเข้าใจตรงนี้เป็นธรรม) หมายความว่า ธรรมมีจริงไหม (มีจริง)
- เพราะฉะนั้นไม่ใช่ให้คุณโซอานตอบตามตำราแต่ต้องรู้ความลึกซึ้งว่าเข้าใจแล้วหรือยัง (แยกให้เขาเข้าใจว่าการศึกษาธรรมไม่ใช่เพื่อฟังแล้วจำแล้วคิดแต่ฟังเพื่อเข้าใจธรรมที่ปรากฏอยู่ตอนนี้ นี่คือธรรมที่กำลังศึกษาค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น) นี่คือสิ่งที่เราคิดว่า เขาควรจะเข้าใจและเราก็บอกให้เขารู้แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำลึกซึ้งไม่ใช่ให้ตรัสตามสิ่งที่ได้ฟังยาวๆ ไม่ใช่ให้คิดว่าถ้าถามอย่างนี้เรื่องที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแต่ต้องละเอียดทุกคำที่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น เราจะพูดทีละคำ
- ไม่ใช่บอกอะไรเขาแต่เขาจำแล้วตอบ แต่ทุกคำลึกซึ้งที่เขาจะต้องคิดเองจนกระทั่งเขาไม่ลืมเพราะเขาคิดเอง เพราะฉะนั้นเป็นความเข้าใจของเขาที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ไปจำของคนอื่นด้วยคำที่มีอยู่ในหนังสือทั้งหมดเพราะเราเคยสนทนามาแล้ว ทุกคนตอบเก่งมากในพระสูตรในพระวินัยแต่ไม่รู้จักธรรม
- เพราะฉะนั้นเมื่อกี้นี้เขาได้ยินคุณสุขินพูดเรื่องธรรม เพราะฉะนั้นตอนนี้ดิฉันจะถามให้เขาคิดเป็นความคิดของเขาเองว่าเขาเข้าใจแค่ไหน ดิฉันจะถามเขาทีละคำ ต้องคิดแล้วตอบ ธรรมคืออะไร (…..) เห็นไหมเขากำลังคิด ถ้าไม่คิดจะไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจได้แต่ฟังแล้วจำ
- ธรรมคืออะไรเป็นความคิดของเขาเองที่กำลังคิดว่าเขาเข้าใจแค่ไหนหรือไม่เข้าใจเลยได้แต่ฟัง นึ่คือประโยชน์สูงสุดของการฟังธรรมเพื่อเป็นความเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟังของตัวเอง ตอบได้หรือยังธรรมคืออะไร
- (สิ่งที่เป็นไปอยู่ตอนนี้นั่นคือธรรม) อะไรกำลังเป็นไป (มีได้ยินและสิ่งที่ท่านอาจารย์สอนอยู่นั่นก็คือเป็นสิ่งที่จริง)
- ได้ยินมีจริงไหม (มีจริงเพราะเวลานี้กำลังได้ยินอยู่) ได้ยินไม่ใช่ธรรมจริงไหม (ไม่จริงเพราะว่าได้ยินเป็นธรรม) เพราะอะไร (เพราะการได้ยินจริงเพราะเวลานี้ก็ได้ยินเสียงอยู่) เพราะได้ยินมีจริง
- ได้ยินเป็นคุณโซฮานได้ยินหรือเปล่า (เป็นโซฮานได้ยินเพราะเสียงนี้โซฮานเป็นคนได้ยิน) เพราะฉะนั้นคุณโซาฮานได้ยิน ไม่ใช่ได้ยินกำลังได้ยินหรือ (ได้ยินเป็นธรรมส่วนโซฮานเป็นบัญญัติ)
- มีโซฮานไหม (มี) มีโซฮานหรืออะไรเป็นโซฮาน (โซฮานเป็นรูปร่างกายนี้ซึ่งถ้าไม่มีหูก็ไม่ได้ยินถ้าไม่มีสมองก็ไม่เข้าใจคำพูด) แสดงให้เห็นว่าต้องฟังทุกคำเพื่อไตร่ตรองทุกคำว่า อะไรจริง
- เพราะฉะนั้น “ได้ยิน” ได้ยิน หรือ “โซฮาน” ได้ยิน (ได้ยินได้ยิน) เป็นโซอานได้ยินได้ไหม (โซฮานเป็นบัญญัติเพื่อที่จะแยกว่าเป็นโซฮานได้ยินไม่ใช่….) ขอโทษนะคะ เราไม่ได้พูดเรื่องบัญญัติอะไรเลย พูดแต่ว่าได้ยินได้ยินไม่ใช่โซฮานได้ยินใช่ไหม (ตอบว่าได้ยินได้ยิน) เพราะฉะนั้นอะไรเป็นโซอาน (ตอบไปแล้วว่าโซฮานแค่เป็นบัญญัติ) ไม่เอาคำว่าบัญญัติ ไม่ต้องการคำว่าบัญญัติ ไม่รู้จักคำว่าบัญญัติ เอาคำที่เราเข้าใจกันได้ ไปเอาคำที่ไม่รู้จักมาพูด กำลังพูดให้เขาคิด เพราะฉะนั้นบัญญัติมีจริงไหม (ท่านอาจารย์ถามใหม่)
- บัญญัติมีจริงไหม (มีจริง) บัญญัติแข็งไหม (แข็ง) บัญญัติแข็งหรือ หรือไม่ต้องใช้คำอะไรเลยก็แข็ง (ตอนแรกได้ยินผิด ตอนนี้ตอบว่าความแข็งไม่ใช่โซฮาน) เพราะฉะนั้นไม่ต้องเรียกอะไรก็แข็งใช่ไหม (ใช่)
- เพราะฉะนั้นมีโซฮานไหม (ถ้าเช่นนั้นไม่มี) เพราะฉะนั้น กว่าเราจะเข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อยต้องคิดไตร่ตรองไม่ใช่เพียงฟังแล้วตอบ เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่า คนที่ได้ตอบตามที่ได้ฟังตามที่อ่านมาจะเข้าใจพระธรรม
- เพราะฉะนั้น เพื่อคุณโซฮานจะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอถามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร (ตรัสรู้ความเข้าใจ) ความเข้าใจอะไร ตรัสรู้เป็นความเข้าใจมิใช่หรือแล้วจะตรัสรู้ความเข้าใจอะไร เห็นไหมถ้าเราไม่ละเอียดเราไม่สามารถจะให้ใครมีความเข้าใจธรรมได้เลย (ตรัสรู้ธรรม)
- ธรรมคืออะไร (คือสิ่งที่เวลานี้เราไม่เข้าใจเลย) ไม่มีหรือ (มีจริง) เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร (ธรรม) ธรรมคืออะไร (ความจริง พูดได้แค่นี้ไม่สามารถตอบได้มากกว่านี้) เพราะฉะนั้น ฟัง ไตร่ตรอง คิด ถึงจะเข้าใจขึ้นไม่อย่างนั้นเราจะมาฟังทำไม
- เพราะฉะนั้นดิฉันจะถามโดยที่ไม่มีคำที่จะให้เขาคิดว่าเป็นคำตอบของดิฉัน เดี๋ยวนี้มีอะไร (มีการศึกษาธรรมได้ยินธรรม) เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงมีแน่นอนหลายๆ อย่าง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ธรรม ๑ อย่างที่มีคืออะไร (เห็น ได้ยิน) ทีละคำ (ได้ยิน) เป็นคุณโซฮานได้ยินหรือได้ยินเป็นสิ่งที่มีจริงเท่านั้นไม่เป็นใครเลย (เป็นธรรม ๑)
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของได้ยินหรือเปล่า พระองค์ตรัสว่า ธรรมทั้งหมดทั้งปวงไม่เว้นเลยว่าอย่างไร (เป็นสิ่งที่มีจริง) สิ่งที่มีจริงพระองค์ตรัสรู้ว่าอย่างไร (ไม่ทราบ) เคยได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา” หรือเปล่า (เคยได้ยินแต่ลืม) เพราะไม่เข้าใจใช่ไหมถึงลืม (เข้าใจว่าเพราะไม่เข้าใจ)
- เพราะฉะนั้นธรรมสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ไม่มีใครรู้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้หรือเปล่า (พระพุทธองค์รู้) เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหมว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่มีจริงทุกอย่าง
- พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสให้คนเชื่อแต่ให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้ไหมว่าพระองค์ตรัสรู้อะไร (ไม่รู้)
- เพราะฉะนั้นอีกครั้งหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร (ธรรม) ตรัสว่าธรรมเท่านั้นหรือ หรือตรัสว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอะไร (ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา)
- ตอนนี้คุณโซฮานรู้จักธรรมหรือยัง (ยังไม่รู้ดี) ถามว่ารู้จักหรือยังไม่ได้ถามว่ารู้ดีหรือยัง (รู้จักแต่ยังไม่เข้าใจ) เพราะฉะนั้นจะเข้าใจได้ไหม (ต้องได้ถ้าฟังต่อไปจะเพิ่มความเข้าใจ)
- เพราะฉะนั้นเพียงฟังไม่พอใช่ไหมต้องเข้าใจด้วยใช่ไหม (ต้องมีความเข้าใจ) ถ้าไม่ถามคุณโซฮานจะรู้ไหมว่าเข้าใจแค่ไหนหรือไม่เข้าใจอะไรเลย (ถ้าไม่มีใครถามก็ไม่รู้เลย) เพราะฉะนั้นคุณโซฮานอยากรู้ว่าเข้าใจแค่ไหนใช่ไหม (ใช่) นี่เป็นเหตุที่เราสนทนากันเพื่อที่จะเข้าใจธรรม
- มีคุณสุขินไหม (มี) อะไรเป็นสุขิน (ที่กำลังพูดนั่นคือสุขิน) กำลังพูดเป็น “คิด” กับ “เสียง” ใช่ไหม (มีคิดและมีได้ยิน) คิดเป็นคิดหรือคิดเป็นสุขิน (คิดเป็นคิด) มีสุขินไหม (เข้าใจว่า สุขินไม่มีแต่สรุปว่า คิดเป็นสมองที่คิด)
- สมองคืออะไร (สมองเป็นสิ่งที่คิด) เห็นสมองไหม (ไม่…แต่เห็นได้) เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เรากำลังพูดว่าเห็นสมองได้ไหม (ตอนนี้มองไม่เห็น) เห็นได้ไหม ไม่ได้ถามว่าตอนนี้เห็นไหม ถามว่าเห็นสมองได้ไหม (ถ้าผ่าตัดเห็นได้) เห็นอะไรผ่าตัด (เห็นรูปลักษณะของสมอง) เป็นอย่างไรรูปลักษณะ (อธิบายตามลักษณะที่เคยเห็นในหนังสือว่าติดกับไขสันหลัง) เดี๋ยวนี้เห็นไหม (ตอนนี้ไม่เห็นแต่สามารถจินตนาการได้) เพราะฉะนั้นจินตนาการคืออะไร (เป็นธรรม ๑ ที่ทำหน้าที่คิด) เพราะฉะนั้นไม่ได้เห็นสมองใช่ไหม
- (คิดคือคิดที่เราเรียกว่าสมองเป็นรูปร่างลักษณะ ๑) เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเห็น “อะไร” ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ (เป็นรูป ๑ ที่เห็น) รูปมีหลายรูปหรือรูปเดียว (รูปหมายถึงสัตว์บุคคล คอมพิวเตอร์ ฯลฯ )
- ถ้าไม่คิดถึงสิ่งที่เห็นจะเห็นอะไร (เห็นแสง) นี่คือสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงทุกอย่างละเอียดยิ่ง จะเรียกว่าแสงหรือไม่เรียกว่าแสงก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็นใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้าไม่สนทนาจะรู้ไหมว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร (ไม่) เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งไหม (ลึกซึ้งมาก) คิดเองได้ไหม (มีสองคำตอบ ๑ ถ้าไม่ฟังไปเรื่อยๆ ความเข้าใจไม่มีแน่นอนไม่สามารถจะคิดได้ลึกซึ้งพอ และ ๒ ถ้าไม่ได้ฟังคำสอนของพระพุทธองค์เลยก็ไม่มีวันคิดเรื่องแบบนี้) จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหมถ้าไม่ฟังคำของพระองค์ ต้องรู้จักพระองค์เมื่อเข้าใจทีละคำที่ลึกซึ้งใช่ไหม (ใช่)
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา” เพราะฉะนั้นเราจะสนทนากันเพื่อให้รู้ว่า เข้าใจคำว่า “ธรรม” แค่ไหน เข้าใจคำว่า “อนัตตา” แค่ไหน เพราะฉะนั้น เราจะสนทนากันจนกว่าจะเข้าใจชัดเจนขึ้น
- เราเข้าใจคำว่า ธรรม เราเข้าใจคำว่า อนัตตา แต่ยังไม่พอเพราะฉะนั้นทบทวนอีกครั้ง ธรรมอะไรเป็นอนัตตา (ได้ยิน) เพราะฉะนั้น คุณโซฮานได้ยินหรือเปล่า (ไม่ใช่ ได้ยินได้ยินอย่างเดียวไม่ใช่โซฮาน) เพราะฉะนั้นได้ยินเป็นธรรมไม่ใช่โซฮานใช่ไหม (ใช่)
- วันนี้มีธรรมอะไรบ้าง (มีได้ยิน มีเห็น มีพูด มีคิดและไตร่ตรอง) แต่ก็ยังเป็นคุณโซฮานใช่ไหม (เป็นเช่นนั้นทั้งๆ ที่สามารถตอบได้ว่า เห็นไม่ใช่โซฮาน ได้ยินไม่ใช่โซฮาน คิดไม่ใช่โซฮาน แต่ก็ยังเป็นโซฮานที่เห็น ที่ได้ยิน ที่คิด) เพราะอะไร (เพราะสะสมอุปนิสัยที่คิดอย่างนั้นมานาน) เพราะไม่รู้ความจริง ถูกต้องไหม (เพราะไม่เข้าใจความจริง) ถูกต้อง ใครเข้าใจ (พระพุทธองค์เข้าใจ) เพราะฉะนั้นถ้าฟังแล้วเข้าใจขึ้นจะรู้ความจริงอย่างพระพุทธองค์ไหม (รู้ได้) เพระฉะนั้นรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีละนิดทีละหน่อยใช่ไหม (ใช่)
- เมื่อกี้นี้ได้ยิน เดี๋ยวนี้ยังได้ยินอยู่ไหม (ที่ได้ยินตอนนี้กับได้ยินก่อนหน้านี้คนละขณะ) แสดงว่า ได้ยินเกิดจึงได้ยินถ้าไม่เกิดไม่ได้ยินใช่ไหม (ใช่) ได้ยินเกิดแล้วไม่ได้ยินหมายความว่าได้ยินที่เกิดนั้นดับไปใช่ไหม (ได้ยินได้ยินแล้วไม่ได้ยินแปลว่าได้ยินดับ) ที่ได้ยินเมื่อกี้นี้ดับแล้วจะกลับมาได้ยินอีกได้ไหม (ไม่กลับ) เริ่มเข้าใจความจริงตั้งแต่เกิดจนตายใช่ไหม (ใช่)
- เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจคำที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สพฺเพ สงฺขารา อนจฺจา” ใช่ไหม คุณโซฮานทำให้ได้ยินเกิดได้ไหม (ตัวเองทำให้เกิดไม่ได้ถ้าไม่มีใครพูด ถ้ามีคนพูดได้ยินจะเกิดเอง) คนที่บ้านคุณโซฮานกำลังพูดหรือเปล่า (ไม่ทราบ) เพราะฉะนั้นไม่ได้ยินใช่ไหม (ไม่ได้ยิน) ใครทำให้ได้ยินเกิด (เมื่อไหร่มีเสียงมาถึงจะมีได้ยิน) เสียงมาหรือ ไหนเสียงอยู่ไหนถึงจะได้มา (มาหมายถึงถ้าเราได้ยิน เสียงมันมาหาเรามาถึงเราแต่ถ้าคนอื่นได้ยิน เราไม่ได้ยินหมายถึงเสียงไปหาเขา)
- เพราะฉะนั้นเสียงมาแล้วได้ยินหรือยัง (ถ้าเสียงมาแล้วก็ได้ยิน) ถ้าไม่มีหูได้ยินไหม (ไม่ได้) ทำไมต้องมีหูจึงจะได้ยิน (เพราะเป็นเหตุ ๑ ที่ทำให้เกิดได้ยิน) เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เกิดต้องมีเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้เกิดใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกอย่าง ทุกสิ่งทั้งปวงทั้งหมดและทรงแสดงความจริงให้เข้าใจถูกต้องว่า ทุกอย่างที่มีจริง มีจริงเป็นธรรมแต่เป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถจะทำให้เกิดขึ้นและสิ่งที่เกิดแล้วดับไปไม่ใช่ใครทั้งสิ้น
- สิ่งที่เกิดไม่ดับได้ไหม (ถ้าเกิดต้องดับ) มีใครบังคับได้ไหมว่าไม่ให้ดับ (ไม่ได้) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำให้สิ่งที่เกิดไม่ดับได้ไหม (พระพุทธองค์ก็ทรงบังคับไม่ได้)
- ความจริงต้องเป็นความจริง นี่คือความเข้าใจธรรมที่เป็นอนัตตา เข้าใจมั่นคงขึ้นไหม เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นไหม
- (มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นแต่ขณะเดียวกันก็ยังมีคำถามอยากให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายความหมายของธรรม) ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้อะไรกำลังมีนั่นเป็นธรรม ไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจว่าเป็นคน สัตว์ ฯลฯ แต่เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑
- ถ้าเราไม่สนทนาให้เขาคิดไตร่ตรองให้ละเอียด เขาก็เพียงแต่จำว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาแต่ไม่เข้าใจเดี๋ยวนี้ (ก็ต้องเป็นอย่างนี้เพราะถ้ามีคนมาถามแล้วจะตอบให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างไรถ้าเรายังไม่เข้าใจ) เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นไม่รู้ใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจคำว่า “ธรรม”
- มีอะไรบ้างที่ไม่ใช่ธรรม (ทุกอย่างทุกขณะเป็นธรรม) เพราะอะไร (เพราะเป็นสิ่งเดียวกันเพราะทุกคนก็เป็นอย่างนี้) ขอโทษ ฟังคำถามก่อน มีอะไรบ้างที่ไม่ใช่ธรรม (ตอบแล้วว่ามีแต่ธรรมทุกขณะ) เพราะฉะนั้นไม่มีใครสามารถทำให้ธรรมเกิดใช่ไหม (ไม่มีใครทำได้) ตั้งแต่เกิดจนตายมีอะไรบ้างที่ไม่ใช่ธรรม (ไม่มีเพราะทุกอย่างเป็นธรรม)
- เพราะฉะนั้นธรรมเป็น “สัจจธรรม” ใช่ไหม (ใช่) ใครเปลี่ยนไม่ได้ใช่ไหม (ใช่) แต่เมื่อเข้าใจขึ้นๆ ก็ทำให้รู้ความจริงของธรรมแต่ละ ๑ ในชีวิตประจำวันใช่ไหม เพราะฉะนั้นธรรมทุกอย่างเป็นจริงจึงเป็น “สัจจธรรม” ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นความจริงเป็นสัจธรรมไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้เลยจึงเป็น “ปรมัตถธรรม” ใช่ไหม
- (ไม่เคยได้ยินคำว่า ปรมัตถธรรม ความหมายเดียวกันกับสัจจธรรมไหม) สัจจธรรมคือความจริงที่ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมที่ใครทำอะไรไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็นปรมัตถธรรม
- ความจริงของธรรมเดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับเร็วที่สุดจนไม่ปรากฏว่าเกิดดับ เขาเชื่อไหม มั่นใจไหมว่า ธรรมเกิดแล้วดับ (เป็นความจริงไม่สงสัย) นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือประจักษ์แจ้งการเกิดดับที่กำลังเกิดดับของธรรมแต่ละ ๑ เดี๋ยวนี้
- ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ ไม่ทรงแสดงให้คนอื่นเข้าใจ คนอื่นสามารถจะเริ่มเข้าใจความจริงได้ไหม (ถ้าไม่ได้ยินก็ไม่สามารถรู้ได้) เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางให้สามารถประจักษ์ความจริงคือการเกิดดับของสิ่งที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้อย่างที่พระองค์ได้ทรงประจักษ์แล้วด้วยใช่ไหม เพราะฉะนั้นจึงเริ่มรู้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มรู้จักสิ่งที่มีจริง เริ่มรู้จักความจริงของธรรมว่าเป็น “ปรมัตถธรรม” เป็น “สัจธรรม” ที่สามารถจะประจักษ์แจ้งได้เมื่อเข้าใจขึ้นๆ เป็นหนทางที่พระองค์ได้ทรงดำเนินแล้ว
- มั่นใจว่าธรรมกำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้แต่สามารถที่จะเข้าใจขึ้นจนประจักษ์แจ้งความจริงที่กำลังเกิดดับได้ (มั่นใจว่ามีหนทางนี้เป็นหนทางเดียวแต่สามารถรู้ได้) ถ้าไม่มีความเข้าใจอะไรเลยที่กำลังมีเดี๋ยวนี้สามารถจะประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสิ่งที่กำลังมีได้ไหม (ไม่สามารถรู้ได้ ยกตัวอย่างตัวเองและครอบครัวเคยได้ยินมาแต่ไม่รู้เลยสิ่งที่ได้ยิน ความเข้าใจไม่มีอย่างที่เวลานี้ที่เริ่มเข้าใจ) ถ้าเข้าใจขึ้นๆ ค่อยๆ ละความไม่รู้และการยึดถือว่ามีเรา จะค่อยๆ ประจักษ์แจ้งว่าเป็นธรรมแต่ละ ๑
- สงสัยไหมว่า เมื่อไหร่จะรู้ความจริงนี้ได้ (ไม่เคยคิดว่าเมื่อไหร่จะเกิดขึ้นได้แต่รู้ว่านี่คือหนทางเพราะรู้ว่า ที่ฟังอยู่เป็นสิ่งที่เข้าใจยากมากลึกซึ้งมากแต่ถ้าฟังต่อไปความเข้าใจต้องเพิ่มขึ้น) เพราะฉะนั้นยิ่งเข้าใจยิ่งรู้ความลึกซึ้งของสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้ง
- เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเดี๋ยวนี้มีจริงเกิดแล้วต้องดับเป็นธรรม เขาสามารถที่จะรู้สิ่งที่ขณะนี้ดับและมีสิ่งอื่นเกิดต่อทีละหนึ่งๆ ได้ไหม มั่นคงไหมที่รู้ว่า หนทางเดียวที่จะประจักษ์แจ้งคือ ความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้ได้เริ่มเข้าใจจนกว่าจะค่อยๆ ละความไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้าไปทำอย่างอื่นพยายามที่จะประจักษ์การเกิดดับแต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏจะเป็นไปได้ไหม
- (เมื่อก่อนคิดว่าหนทางทางคือต้องไปทำนี่ทำโน่นเพื่อเข้าใจแต่ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ใช่) นี่คือ “สจฺจธมฺม” เป็นสัจจบารมี ถ้ามีความมั่นคง หนทางเดียวคือ ไม่เคยเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ๔๕ พรรษาให้เป็นความเข้าใจของเขาในความจริง ให้มั่นคงว่านี่เป็นหนทางที่จะรู้ความจริงนั่นคือ “สัจจบารมี”
- ความเข้าใจที่รู้ว่า ต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังมีมากขึ้นลึกซึ้งขึ้นจึงสามารถที่จะประจักษ์ความจริงได้เป็น “ปัญญาบารมี” ความเข้าใจอย่างนี้ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจมั่นคงอย่างนี้ก็ทำให้เข้าใจถูกต้องว่า ความรู้เท่านี้ไม่พอจึงมีความเพียรที่จะศึกษาให้เข้าใจเพิ่มขึ้นเป็น ”วิริยะบารมี“
- (คุณโซฮานเข้าใจว่าความขยันพยายามคือวิริยะซึ่งไม่ใช่ คุณสุขินอธิบายว่า เพราะถ้าขยันพยายามทำสิ่งใดเพราะอยากได้ผลก็ไม่ใช่กุศลและถ้าเป็นวิริยะบารมีเป็นกุศลต้องมีปัญญาด้วย) เพราะฉะนั้นความละเอียดความลึกซึ้งถ้าเข้าใจผิดก็เป็นเราพยายามมากๆ ที่อยากจะรู้ความจริงซึ่งเป็นไปไม่ได้
- ขณะนี้กำลังเพียรที่จะเข้าใจหรือเปล่า (ถ้ามีความเข้าใจตอนนี้ก็มีความเพียร) เพราะฉะนั้นรู้ว่า ไม่ใช่เพียรไปทำอะไร ไม่ใช่เพียรไปทำสมาธิซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้แต่เพียรอย่างยิ่งคือ เพียรที่จะเข้าใจความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
- ถ้าเพียรเพราะรู้ว่า พระธรรมลึกซึ้ง เพียรฟัง เพียรไตร่ตรอง เพียรเข้าใจซึ่งทำให้ลดความไม่รู้ทีละเล็กที่ละน้อยนั่นจึงจะเป็น “วิริยะบารมี”
- ชีวิตประจำวันจริงๆ มี ”อวิชชา“ คือความไม่รู้มาก หรือ มีปัญญามาก (ความจริงคือเป็นอวิชชาส่วนใหญ่) เพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เกิดเพราะความไม่รู้ก็ทำให้ความไม่ดีต่างๆ เกิดเพิ่มขึ้น
- ความโกรธกับความไม่โกรธอะไรดี อะไรไม่ดี (โกรธไม่ดี ไม่โกรธดี) ทุกคนพยายามจะไม่โกรธแต่ไม่สำเร็จ (คนทั่วไปไม่อยากโกรธแต่ห้ามโกรธไม่ได้) เพราะอะไร (เพราะไม่ดำเนินไปในหนทางที่ถูก) ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่าไม่ใช่เราก็ยังต้องโกรธใช่ไหม เดี๋ยวนี้รู้ว่าไม่มีเราแต่เป็นธรรมทั้งหมดแต่ก็ยังมีโกรธได้ใช่ไหม (ใช่) เพราะอะไร (เพราะขาดความเข้าใจ) เพราะยังไม่รู้ความจริงซึ่งเป็นธรรมแต่ละ ๑ ชัดเจน
- การไม่รู้ธรรมแต่ละ ๑ ตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เราไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดฝังแน่นมานานแสนนานในแสนโกฏิกัปป์ เพราะฉะนั้น ต้องตรงตามความเป็นจริงว่า ทำไมมีอกุศลมาก เพราะไม่รู้ว่าไม่ใช่เราและเป็นเหตุให้สะสมสิ่งที่เป็นอกุศลมาก เพราะฉะนั้น อกุศลมีปัจจัยที่จะเกิดมากกว่ากุศลมากทีเดียว
- มีอะไรที่เขาสงสัยไหมวันนี้ (ที่เนปาลจะไปเข้าวัดไหนทุกที่จะให้นั่งสมาธิเป็นอย่างแรกและให้สวดมนต์ ฯลฯ แม้หนังสือธรรมที่พิมพ์ออกมาแจกก็จะแนะนำให้เริ่มด้วยการนั่งสมาธิตลอด แม้ทุกวันนี้คุณโซฮานก็นั่งสมาธิทุกวันตอนเช้าตื่นมาก็นั่งสมาธิ ๑๐ นาที ทำให้รู้สึกสงบและเรียนหนังสือดีขึ้น อยากให้ท่านอาจารย์กล่าวถึงตรงนี้) แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร
- (เท่าที่ก่อนมาฟังทุกคนก็สอนอย่างนี้ว่า พระพุทธองค์สอนให้นั่งแม้รูปที่พระพุทธองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิอยู่ก็เหมือนสิ่งเดียวกันที่แต่ละคนสอนคือให้ทำอย่างนี้) แล้วพระพุทธเจ้าตรัสให้ทำอย่างนั้นหรือเปล่า (ตอนนี้รู้ว่า พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงสอนอย่างนั้น)
- เพราะฉะนั้นนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า (นับถือพระพุทธองค์) ไม่ใช่เลยเพราะไม่รู้จักว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร
- (ไม่ใช่ว่าสงสัยว่าถูกหรือผิด หรือไม่รู้ว่าพระพุทธองค์สอนอะไร แต่คำถามเกิดจากที่ตอนนั่งสมาธิแล้วได้ผลอย่างนั้นซึ่งคิดว่าดี แล้วตอนนี้ถ้าจะทิ้งอย่างนั้นจะเอาอะไรมาแทนจะทำอย่างไรดี) เอาอะไร เขาจะเอาอะไรมาแทนอะไร (ฝึกความสงบ อยากได้ความสงบ) แต่ไม่รู้ความจริงใช่ไหม (เป็นเช่นนั้นเพราะไม่ได้สนใจที่จะเข้าใจแต่อยากได้ความสงบ) เพราะฉะนั้นไม่ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยเพราะไม่ได้นับถือพระองค์จะรู้จักพระองค์ได้อย่างไร (เข้าใจ) เข้าใจแล้วยังไง บอกหน่อย (คุณสุขินบอกว่า พระพุทธองค์สอนให้เข้าใจไม่ใช่สอนให้จะเอานี่จะเอาโน่น เพราะฉะนั้นตอนที่เราอยากได้ความสงบเราก็ไม่ได้เคารพพระพุทธองค์)
- เพราะฉะนั้นสำหรับคุณโซฮานเองรู้จักพระพุทธเจ้าแล้วหรือยัง (ยังไม่รู้) นับถือไหม (นับถือ) ไม่ได้ เพราะไม่รู้จักพระพุทธเจ้าแล้วจะนับถืออะไร ถ้าเรามีความนับถือใครเราต้องรู้จักคนนั้นมีคุณอะไรที่เรานับถือเหนือกว่าบุคคลใดทั้งสิ้น
- เรานับถือคนที่สอนให้เราทำเพราะเราคิดว่า นั่นคือสงบแต่เขาไม่เข้าใจอะไรตามความเป็นจริงว่านั่นคืออะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ขณะที่ต้องการสิ่งใดแม้ต้องการความสงบ ความต้องการขณะนั้นไม่สงบ ถ้าสงบจะต้องการอะไรไหม (ไม่) เพราะฉะนั้น ความสงบไม่ใช่ขณะที่ต้องการแน่นอน เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจความลึกซึ้งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสความลึกซึ้งของธรรม
- ลองฟังคำนี้แล้วลองไตร่ตรองว่าอะไรถูกอะไรจริง “ขณะใดที่มีความเข้าใจความจริง ขณะนั้นสงบจากความไม่รู้” (เวลาเข้าใจไม่มีการเอียงไปทางนี้ เอียงไปทางโน้น) เพราะฉะนั้นต้องไตร่ตรองความลึกซึ้งของธรรมจึงจะเริ่มรู้จักพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เข้าใจอะไรเลยจะนับถือพระองค์ตรงไหน
- ความเข้าใจเป็นธรรมหรือเปล่า (เป็นธรรม) ความไม่เข้าใจเป็นธรรมหรือเปล่า (นั่นก็เป็นธรรม) เพราะฉะนั้นวันนี้คุณโซฮานจะต้องไตร่ตรองให้เข้าใจความจริงที่จะมั่นคงขึ้นที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเข้าใจธรรมจะทำให้เกิดความเพียรที่จะคิดถึงและไตร่ตรองธรรมและไม่เว้นที่จะรู้ความจริงทีละเล็กทีละน้อยมั่นคงขึ้น
- คราวหน้าพบกันใหม่เพื่อจะรู้ว่า มีความเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนมั่นคงแค่ไหนเพราะอะไร สำหรับวันนี้ยินดีในกุศลของทุกท่านที่เห็นประโยชน์ในการฟังเพื่อรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อรู้สิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดง สวัสดีค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ยินดีในกุศลของคุณสุขิน คุณโซฮาลและสหายธรรมชาวอินเดีย
ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณอัญชิสา (พี่สา) ในความอนุเคราะห์ช่วยเหลือตรวจทาน
กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นในกุศลทุกประการครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดี
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ เป็นอย่างยิ่ง ที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ ทุกคำ เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง
และยินดีในกุศลของผู้ช่วยตรวจทานและยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ